H Exclusive : คุยกับ ‘สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา’ ...จาก 155 พยางค์ของเสียงร้อง ‘บิ๊ก D2B’ สู่เพลง ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’
เมื่อวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา COOLFahrenheit ได้จัดคอนเสิร์ต ‘ธนาคารทิสโก้ Presents D2B INFINITY CONCERT 2019’ ขึ้น ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งงานครั้งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งให้กับ D2B นั่นคือบัตรขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น!


และแม้ว่าคอนเสิร์ตดังกล่าวจะผ่านพ้นไปได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว แต่ความประทับใจจากแฟนเพลงซึ่งได้ไปดูคอนเสิร์ตในวันนั้นก็ยังถูกนำมาบอกเล่าสู่กันฟังอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ หลายคนถึงกับบอกว่ายังหาทางออกจากอิมแพคฯ ในคืนนั้นไม่ได้ ด้วยความรู้สึกประทับใจสุด ๆ กับคอนเสิร์ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมหัศจรรย์จากเพลง ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’


นี่คือความมหัศจรรย์ที่สร้างความประทับใจให้กับบรรดาแฟนคลับได้ยิ้มทั้งน้ำตา เพราะนี่คือเพลงใหม่ล่าสุดของ D2B ที่มีเสียงร้องครบทั้งสามหนุ่ม แดน–วรเวช ดานุวงศ์, บีม–กวี ตันจรารักษ์ และ บิ๊ก-ปาณรวัฐ กิตติกรเจริญ
มีหลายคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากได้ยินได้ฟังเพลงนี้ว่า “ทำได้ยังไง ?” รวมถึงหลายเสียงชื่นชมจาก Sniper (ชื่อเรียกของคนที่เป็นแฟนคลับ D2B ซึ่งแดนและบีมตั้งให้และใช้เรียกเป็นครั้งแรกในคอนเสิร์ตนี้เอง) ที่ต่างพากันบอกว่า “ขอบคุณทีมงานที่ทำเพลงนี้ขึ้นมา ขอบคุณที่พาพี่บิ๊กกลับมาร้องเพลงกับพี่แดนและพี่บีมให้พวกเราฟังอีกครั้ง”
วันนี้ HORRORISM ได้มีโอกาสคุยกับ พี่บั๋ง–สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา คนเขียนเนื้อร้อง และเป็นหนึ่งในทีมงานที่ได้สรรค์สร้างเพลงนี้ให้ทุกคนได้ฟังคลายความคิดถึงที่มีต่อ D2B ซึ่งพี่บั๋งเป็นนักแต่งเพลงฝีมือดีที่เขียนเพลงให้ D2B มาตั้งแต่อัลบั้มแรก ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าทุกตัวอักษรที่พี่บั๋งแต่งให้กับเพลงนี้นั้น มาจากความรู้สึกในหัวใจจริง ๆ ซึ่งมันก็คงไม่ต่างจากความรู้สึกของแฟนคลับทุกคนที่ยังรักและคิดถึง D2B เสมอ

พี่บั๋ง – สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา
ช่วยเล่าที่มาของเพลง ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’ ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ
ต้องบอกว่า ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’ นี่เป็นความพอดีของอะไรหลาย ๆ อย่าง คือก้อนความคิดแรกเนี่ย มันเริ่มจากไม่มีอะไรเลยนะ เราแค่ได้เห็นภาพคอนเสิร์ตของ D2B ที่เค้าทำ Hologram ของบิ๊ก ด้วยความเป็นคนชอบคิดอะไรไปเรื่อย ๆ ก็แวบขึ้นมาว่า...ภาพมาแล้วอะ ถ้าจะมีอะไรที่ตื่นเต้นกว่านี้ก็น่าจะเป็นเสียง คือเรารู้สึกเองว่ามันจะครบ ลองคิดดู...ถ้ามีคอนเสิร์ต D2B อีกครั้ง แล้วมีเพลงใหม่ที่ D2B ร่วมกันร้องครบทั้ง 3 คน แฟนคลับ D2B หรือคนที่ชื่นชอบและยังรู้สึกผูกพันกับบิ๊กจะมีความสุขแค่ไหน ตอนแรกเราคิดแค่นั้นจริง ๆ
ที่คิดแค่นั้นมันมีสาเหตุ เพราะเรามีข้อแม้ในใจว่า ถ้าจะมีเสียงบิ๊กในเพลงใหม่ ก็อยากให้เป็นเสียงบิ๊กจริง ๆ ซึ่งคิดเร็ว ๆ แล้วมันก็มีวิธีเดียว คือใช้จากเสียงที่บิ๊กทิ้งไว้ในเพลงที่เคยร้อง พอนึกถึงตรงนี้ก็มองเห็นความยากเย็นขึ้นมาทันที เพราะเรากำลังพูดถึงเรื่องของข้อจำกัดมากมายในการทำสิ่งนี้ พูดง่าย ๆ คือ ในฐานะคนทำงานที่รู้กระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบของเพลงเพลงหนึ่งนี่ แทบจะต้องใช้คำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ เลยทีเดียว
โชคดีที่หลังจากคิดค้างไว้ วันหนึ่งก็มีโอกาสได้คุยเรื่องที่คิดกับ พี่เกี้ย (อนุชา อรรจนาวัฒน์) หัวหน้าที่ทำงานในอาร์เอสฯ ร่วมกันมายี่สิบปี ซึ่งพี่เกี้ยก็บอกเหมือนที่เราคิดในใจแหละว่า “มันน่าสนใจมากเลยนะบั๋ง แต่มันจะต้องเป็นงานที่แสนสาหัสมากแน่ ๆ และที่สำคัญ ตราบใดที่ยังไม่ได้เห็น source ทั้งหมดที่จะมาประกอบกันเป็นเพลงนี้ จะไม่มีทางให้คำตอบได้เลยว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้”
ที่บอกว่าเป็นความพอดีของอะไรหลาย ๆ อย่างก็คือ สี่ปีหลังจากได้พูดคุยกันวันนั้น พี่เกี้ยมีโอกาสได้ขายไอเดียกับทาง COOL ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการจัดคอนเสิร์ตของ D2B ครั้งนี้ และทาง COOL ก็ให้ความสนใจ มีการเข้าประชุมกันถึงความเป็นไปได้ที่จะทำเพื่อเป็นอีกสิ่งที่พิเศษในคอนเสิร์ต ผมกับพี่เกี้ยคุยกันถึงเวลากับความเป็นไปได้ ซึ่งเราก็คุยกันกว้าง ๆ ว่า ถ้ามันไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรนะ เพราะไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าสุดท้ายแล้วจะทำได้มั้ย ? ถ้าทำได้...มันจะดีมั้ย ? มันจะได้อย่างที่ใจเราอยากได้ แล้วมันจะสมบูรณ์พอที่จะเป็นสิ่งพิเศษในคอนเสิร์ตครั้งนี้อย่างที่ตั้งใจไว้มั้ย ? ฯลฯ ซึ่งทาง COOL ก็เข้าใจในกระบวนการร่วมกัน
...เราจึงเริ่มพัฒนา ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’ จากตรงนั้นครับ

พี่เกี้ย – อนุชา อรรจนาวัฒน์

พี่ป้อม – วุฒิชัย สมบัติจินดา
ขั้นตอนของการทำงานในการผลิตเพลงนี้ มีความยากง่ายและแตกต่างจากการเขียนเพลงอื่น ๆ ยังไงบ้างคะ เขียนก่อนหาคำ ? หรือหาคำ (เสียงของบิ๊ก) ก่อนเขียน ? ใช้เวลาในการเขียนนานแค่ไหน ?
สำหรับผมนะ...ตัวเพลงไม่ยากหรอก ยิ่งเพลงที่โจทย์ชัดเจนว่าจะต้องเขียนอะไร สื่อสารอะไร และเป้าหมายคืออะไร เราแน่ใจมาก ๆ ว่าเราคงจะไม่ได้ใช้เวลาในตอนเขียนเยอะ แต่กระบวนการที่จะกินเวลาของงานมากที่สุดเป็นกระบวนการที่อยู่รอบ ๆ การเขียน ทั้งก่อนหน้าและหลังจากนั้นมากกว่า
สิ่งที่ยากที่สุดของ ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’ คือข้อจำกัดที่มีในแง่ของเทคนิค เราเริ่มต้นจากการรวบรวมเสียงร้องของบิ๊กทั้งหมดที่มี ซึ่งกว่าจะได้ source มาก็เหนื่อยกันไปแล้วรอบนึง คือได้ไฟล์เสียงมาแล้ว แต่เปิดไฟล์ไม่ได้ เพราะระบบการบันทึกเสียงในช่วงที่ D2B ทำอัลบั้มเมื่อก่อนกับยุคนี้มันมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ประกอบกับทางห้องบันทึกเสียงเคยมีการถ่ายโอนไฟล์เพื่อเก็บข้อมูลไว้ แล้วโปรแกรมปัจจุบันก็ไม่ยอมอ่านข้อมูลนั้นอีก พูดง่าย ๆ คือ มันเปิดไฟล์ไม่ได้นั่นแหละ พี่เกี้ยก็ใช้ทุกวิธีในการพยายามแก้ปัญหา ทั้งปรึกษาผู้ที่สันทัดด้านนี้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แล้วในที่สุดเราก็หาวิธีเปิดจนได้ แต่พอไล่เช็กทั้งหมดอย่างละเอียดแล้วก็เจอปัญหาเพิ่ม คือเสียงร้องบางส่วน เช่น จากการแสดงสดต่าง ๆ ก็ไม่สามารถจะเอามาใช้ได้อีก เพราะมีความแตกต่างของเสียงมากเกินไป เวลาเอามาต่อกันมันจะทำให้ขาดความกลมกลืน วัตถุดิบสำหรับการทำงานก็น้อยลงไปอีกส่วนหนึ่ง จนสุดท้ายเราก็ได้เสียงร้องของบิ๊กที่พร้อมจะใช้งานจำนวนหนึ่ง หลังจากใช้เวลาเฉพาะในการแก้ปัญหาเฉพาะส่วนนี้อยู่เกือบเดือน
พอได้เสียงร้องทั้งหมดมา ก็เข้าสู่ส่วนของผมเต็มรูปแบบแล้วทีนี้ กระบวนการต่อไปคือ เช็กทั้งหมดว่าบิ๊กร้องคำไหนไว้บ้าง โดยผมใช้วิธีการพิมพ์ทุกคำที่บิ๊กร้องไว้ แยกเป็นเพลง ๆ ว่าเพลงนี้มีคำไหนบ้าง ประโยคไหนบ้าง เพื่อให้ง่ายในตอนค้นหา
จากนั้นก็เอาทำนองที่ ป้อม (วุฒิชัย สมบัติจินดา) ทำให้ มานั่งฟังไปเรื่อย ๆ ซึ่งตอนที่บรีฟทำนองเค้า เราก็แจ้งไปก่อนแล้วว่าอยากได้โทนเป็นแบบ D2B เดิมที่ฟังไม่ยากนะ คือให้เมโลดี้เข้าใจง่าย ๆ แล้วส่วนใหญ่ของเพลงให้เอียงไปทางเพลง ‘คนใจอ่อน’ หรือ ‘หึง’ เพราะอยากให้ซีนกับบิ๊กเยอะ ๆ
ตอนที่บรีฟทำนอง เราคิดคำว่า ‘ยังคิดถึงกันหรือเปล่า’ ไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากตอนที่เราเช็กคำร้องของบิ๊กทั้งหมด เรามองเห็นแล้วว่าคำนี้มีเสียงร้องของบิ๊กอยู่ครบ ซึ่งทำนองก็ออกมาเป็นอย่างที่เราได้ยินกัน ไม่ได้แก้โน้ตของเขาเลย จะมีก็แต่ขยับส่วนบางตำแหน่ง เพราะตอนพี่เกี้ยจัดวางแล้วมันจัดการให้ลงทั้งคำและส่วนไม่ได้จริง ๆ
ได้ทำนองมาแล้วก็ลงมือเขียน ตอนนี้แหละที่ค่อนข้างจะต้องออกแรงเยอะหน่อย เพราะปกติเวลาเราเขียนเพลง เราก็ฟังทำนองของเราไป นึกคำไหนได้เราก็เขียนคำนั้นลงไป ดูแค่อย่าให้เพี้ยนโน้ต อย่าให้คำฟังแล้วมันประหลาด แต่กับเพลงนี้ เหมือนเราต้องใส่กรอบเข้าไปในระหว่างเขียนด้วย เพราะมันมีจำนวนคำให้ใช้สอยค่อนข้างจำกัด แล้วยิ่งเราเป็นคนชอบเขียนคำที่กว้าง ๆ ในเพลง หลาย ๆ คำก็จะเป็นคำที่นึกไม่ถึงว่าจะเอามาเขียนเป็นเพลงปกติ ประเภท ‘ถูกพิษของงูเห่า แล่นเข้าไปที่ใจ’ หรือแบบ ‘น้ำใจนักกีฬา ฉันว่าฉันมีพอ’ ฯลฯ คือมันจะโฟกัสอาการที่เราอยากให้รู้สึกได้ตรงกว่า ซึ่งเราทำไม่ได้กับ ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’ เพราะพอนึกบางคำได้ ก็ต้องกลับไปใช้โปรแกรมหาคำจากเสียงร้องบิ๊กที่เราพิมพ์ไว้ ว่ามีคำนี้มั้ย มีคำนั้นมั้ย...ถ้ามี เอามาจากตรงไหนบ้าง บางคำที่ผ่าครึ่งคำมา โน้ตมันแตกต่างกันอยู่เยอะมากมั้ย ฯลฯ มันต้องคิดเรื่องแบบนี้ทั้งหมดตลอดการเขียน ตรงนี้แหละที่มันใช้เวลาเยอะ
ถามว่าเหนื่อยมั้ย ? มันเหนื่อยอยู่แล้วล่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าข้อจำกัดมันมากกว่าการทำเพลงปกติอยู่หลายเท่า...แต่มันท้าทาย ยิ่งทำไปยิ่งรู้สึกเหมือนเรากำลังทำสิ่งเล็ก ๆ ที่มันยิ่งใหญ่ มันก็มีแรงขับ
ซึ่งพอเขียนจบเพลงแล้ว...แน่ใจแล้วว่ามีเสียงร้องของบิ๊กครบทุกพยางค์ เน้น...ทุกพยางค์ คือเราไม่ได้ว่ากันเป็นคำ ๆ แต่ว่ากันเป็นหน่วยพยางค์ เพราะบางคำถึงแม้จะติดกัน เช่น ‘คิดถึง’ เราก็อาจจะต้องไปเอาคำว่า ‘คิด’ มาจากเพลงนึง แล้วไปดึงคำว่า ‘ถึง’ มาจากอีกเพลงนึง ซึ่งหลังจากตรวจสอบแน่ใจแล้ว ก็ส่งไม้ต่อให้พี่เกี้ย ทำหน้าที่จัดเรียงคำทั้งหมดตามเนื้อร้องที่เสร็จนั่นให้เป็นเพลง
ทีนี้ผมว่าไปยากสุดที่พี่เกี้ยแล้วล่ะ เพราะมันไม่ใช่แค่การตัดคำมาต่อ ๆ กันตามแผนที่ แต่พอมันขึ้นชื่อว่า ‘เพลง’ มันมีเรื่องของโน้ต, ของความสั้นยาวของคำ, ของเสียงลมหายใจ เข้ามาเกี่ยวข้อง พี่เกี้ยก็หยุดทุกงานในช่วงนั้น เพื่อให้เวลากับเพลงนี้อย่างเต็มที่ที่สุด เพราะมันยากมากจริง ๆ คนที่ทำงานเกี่ยวกับดนตรี พวกโปรดิวเซอร์นี่จะรู้กัน แต่ถ้าเป็นเพลงปกติมันมีวิธีแก้หลากหลายหน่อย เก็บเสียงร้องไปแล้ว ถ้ามันเพี้ยนนิดเพี้ยนหน่อยก็ใช้โปรแกรมอีดิตช่วย หนัก ๆ ถึงขั้นเอาไม่อยู่ก็อาจตามนักร้องมาร้องใหม่เฉพาะประโยคนั้นหรือคำนั้นได้ แต่พี่เกี้ยไม่มีตัวช่วยเหล่านี้ โน้ตนี่...เอาแค่ Pitch สักเสียงครึ่งเสียงนี่ เราก็ไม่ค่อยอยากทำอยู่แล้ว นี่บางคำโน้ตต่างกัน 5-6 เสียง, บางคำอยากได้คำยาว แต่ source เป็นคำสั้น, บางคำวิธีออกเสียงไม่เหมือนกัน พอเราเอาไปวางตำแหน่งที่ต่างกัน ลมหายใจหรือธรรมชาติของการออกคำมันก็ไม่ได้อีก ฯลฯ คือสุด ๆ แล้วสำหรับกระบวนการนี้ ต้องยกนิ้วให้พี่เกี้ยที่อดทนและก้มหน้าก้มตาทำงานไปวันละนิดละหน่อย ตรงไหนติดก็พักไว้ เลยไปตรงอื่นก่อน หรือควานหาโปรแกรมที่สามารถทำให้ค่าของเสียงเดิมมันผิดเพี้ยนไปน้อยที่สุดมาใช้
เราคุยกันว่า...ตรงไหนที่เอาไม่อยู่จริง ๆ บอกผมนะพี่ เดี๋ยวผมเอากลับมาแก้เนื้อให้ ถ้าบางคำมันหนักหนาจริง ๆ เดี๋ยวผมหาคำแทนที่ความหมายมันไม่เปลี่ยนใส่ให้ ก็มีการส่งกลับไปกลับมา มีการขอตัดบางคำ หรือขอเปลี่ยนโน้ต เปลี่ยนส่วนบางที่ เพื่อให้ฟังแล้วยังเป็นธรรมชาติมากที่สุด ส่วนคำไหนที่ไม่อยากเปลี่ยนจริง ๆ ก็ขอให้พี่เกี้ยช่วยหาวิธีทำให้มันเป็นไปได้ อาจต้องใช้เวลาหน่อย อย่างท่อนที่ร้องว่า ‘ช่วยบอกคิดถึงกัน...เหมือนที่ฉันคิดถึงเธอ’ จากเสียงร้องของบิ๊กทั้งหมดที่เรามี มีคำว่า ‘ช่วย’ อยู่คำเดียวโดด ๆ แถมมาจากเพลงเร็ว คือจากเพลงที่ร้องว่า ‘ไปต่อด้วยกันเหอะนะ เหอะนะ ช่วยช่วยกันที’ ซึ่งการออกคำก็ต่างจากที่เราอยากจะได้ในวรรคนั้น ก็บอกพี่เกี้ยไปว่า คำนี้สำคัญว่ะพี่ แต่สุดท้าย...พี่เกี้ยก็เอาจนได้น่ะนะ
155 พยางค์ของเสียงร้องบิ๊กที่ถูกใช้ในเพลงนี้ เชื่อได้เลยว่า มีผลต่อการดำรงชีวิตและกระบวนความคิดในช่วงนั้นของผม...น้อยกว่าของพี่เกี้ยเยอะ (หัวเราะ)
...ทั้งหมดก็ใช้เวลาในการเขียนสักประมาณหนึ่งอาทิตย์ครับ ค่อย ๆ ต่อแขนต่อขาไปเรื่อย ๆ ไม่ชอบก็มารื้อ แต่ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มคิดว่าจะทำประมาณสี่ปีกว่า และใช้อีกสองเดือนทั้งส่วนของผมและของพี่เกี้ย นับตั้งแต่วันที่ได้เสียงร้องทั้งหมดของบิ๊ก จนเสร็จออกมาเป็นมาสเตอร์






บรรยากาศในห้องอัดสำหรับการทำงานเพลงนี้ เป็นยังไงบ้างคะ ได้ข่าวว่ามีน้ำตาด้วย ?
ตั้งแต่บิ๊กไม่อยู่ ผมเจอกับ แดน-บีม ในเพลงที่เกี่ยวข้องกับบิ๊ก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมาหลายเพลงแล้ว แต่ทั้งหมดจะเป็นเพลงที่ แดน-บีม ร้องให้กับบิ๊ก เพลงนี้แตกต่างตรงที่เราพยายามทำให้เป็นเพลงใหม่ของ D2B ซึ่งถ้าเอาเฉพาะเรื่องตัวเพลง ไม่ได้นับเรื่องของการทำงาน ก็คงจะแตกต่างกันแค่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นด้วยความคุ้นเคยกัน มันก็ทำให้การทำงานไม่มีปัญหาอะไร ก็พูดคุยกันสนุกสนานในฐานะที่หลัง ๆ นี่ก็ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมานานด้วย
ก่อนจะเข้าห้องอัดจริง เราก็มีการส่งเดโมที่ตัดเสียงร้องของบิ๊กเรียบร้อยแล้วให้กับแดน-บีมเช็กก่อนแล้วว่ามีตรงไหนหรือมีอะไรที่ไม่ชอบ อยากให้ปรับ อยากให้เปลี่ยน ซึ่งโดยภาพรวมก็ไม่มีอะไร จะมีแต่บางประโยคที่ยังรู้สึกว่าเนียนได้กว่านี้อีกนิดมั้ยพี่ แดน–บีม เขาก็จะขอเน้นเป็นประโยค ๆ ไป
ซึ่งผมว่าร้องเพลงเก่งขึ้นทั้งคู่นะ คอรัสอะไรนี่เนียนเลยทีเดียว ทั้งแดน ทั้งบีม ใช้เวลาในห้องอัดไม่นาน เรื่องของบรรยากาศหรือความซาบซึ้งนี่ เราก็เข้าใจกันอยู่แล้ว คือโจทย์ที่ทำให้เรามาอยู่ร่วมกันในห้องอัดวันนั้นมันคืออะไร ทุกคนรู้ดี เราคนทำงานก็รับรู้และรู้สึกได้ว่าน้อง ๆ มันก็คงคิดถึงกันแหละ เพราะเราเองก็เป็น ก็ทำงานกันอย่างเต็มที่
ที่อินสุดน่าจะเป็นพี่เกี้ย เพราะแกอยู่กับเสียงร้องของบิ๊ก กับเพลงนี้มาเป็นเดือน ๆ ตอนอัดงานแกก็ดูซาบซึ้งอยู่ คือช่วงทำงานแกก็มาบ่นให้ฟังบ่อย ๆ ว่าเอาเพลงออกจากหัวไม่ได้เลย พอตัดเสียงร้องเสร็จเช้าก็นอน นอนตื่นขึ้นมาก็ยังมีเสียงร้องท่อนนั้นท่อนนี้ยังติดอยู่ในหัว เป็นอย่างนี้อยู่อย่างน้อย ๆ ก็สามอาทิตย์ แกนั่งทำงานไป ตัดเสียงร้องไป ก็น้ำตาไหลไป เป็นคนใจอ่อนไปอีกคนโดยสมบูรณ์แบบ

พี่บั๋ง – สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา
จากบนเวทีในคอนเสิร์ต หลังจาก แดน-บีม ร้องเพลงนี้จบ บีมพูดว่า “ทีมพี่ที่ทำเพลงตั้งใจและทุ่มเทมาก และบอกว่างานนี้คือมาสเตอร์พีซของเขา” ไม่ทราบว่าพี่บั๋งในฐานะคนเขียนเพลง และเป็นส่วนหนึ่งในทีมงานที่ทำเพลงนี้ รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ใช่ไหมคะ อยากให้พี่บั๋งเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกที่บอกว่านี่คืองานมาสเตอร์พีซ
ในแง่ของแนวคิดนี่...มันก็นับเป็นสิ่งที่ยังไม่ค่อยเห็นใครในประเทศนี้ทำอยู่แล้วนะ คือมันอาจจะคิดได้ไม่ยากหรอก ซน ๆ ก็คิดเรื่อยเปื่อยไป แต่ตอนทำงานนี่ แค่คิดมันก็เป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่พอสมควร ส่วนตัวผม ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’ เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราทำสิ่งที่ ‘มีค่า’ ตลอดการทำงาน พอเพลงเสร็จ มันเหมือนเราได้ตอบทีเดียวหลาย ๆ โจทย์พร้อมกัน อย่างในฐานะคนทำงาน เราถือว่าเราได้ตอบโจทย์เรื่องความท้าทาย เรื่องของการทำสิ่งที่อยู่ในความคิดให้ออกมาเป็นชิ้นงานในความจริง ในแง่ของความพยายามนี่...ต้องบอกว่าสุดสุด คือตอนอยู่ในหัวเราน่ะ เรารู้สึกว่ายากแน่ ๆ แต่พอลงมือทำจริง ๆ โว๊ะ! แม่งยากและวุ่นวายกว่าที่คิดไว้หลาย level ...เลยไปในแง่ของความพึงพอใจ เราก็เหมือนรู้สึกว่า เราได้ลงมือทำของขวัญให้แฟนคลับของ D2B ซึ่งเราถือว่าเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่นชนิดที่เราเองก็แทบไม่เชื่อ...เกือบยี่สิบปีน่ะ บางคนแต่งงานมีลูกมีเต้าไปถึงไหนแล้ว แต่ความรักที่พวกเค้ามีให้ D2B แม่งโคตรบริสุทธิ์เลย เราพอใจที่ได้ทำสิ่งนี้ และอีกหลาย ๆ แง่ ซึ่งผมว่ามันเป็นด้านบวกหมดเลย ก็นับว่าเป็นงานทรงคุณค่าอีกงานที่ได้ทำในชีวิต
แต่ถ้าสำหรับพี่เกี้ยนี่...แกพูดคำนี้บ่อย ๆ วันที่ แดน–บีม เข้ามาอัดเสียง แกก็บอกให้น้อง ๆ ฟังว่า นี่คือมาสเตอร์พีซของแก ซึ่งถ้านับจากทุกสิ่งที่แกเทลงไปให้กับ ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’ ผมว่าแกมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะรู้สึกอย่างนั้น และผมเชื่ออย่างหมดใจเลยว่า ตัดส่วนงานของผมออกไป ให้เหลือแต่ส่วนงานของพี่เกี้ย เฉพาะงานส่วนนั้น...ในประเทศนี้ มีคนที่จะทำได้แบบที่เราได้ยินในตอนสุดท้ายกัน...ไม่เกินนิ้วมือนับแน่ ๆ

พี่บั๋งเคยไปดูคอนเสิร์ตของ D2B หรือเปล่าคะ อยากทราบว่าในความเห็นของพี่บั๋ง เสน่ห์ของ D2B เมื่ออยู่บนเวทีคืออะไร ?
ผมไม่ค่อยชอบที่ที่มีคนเยอะ ๆ เลยต้องสารภาพว่า ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ตเท่าไหร่นัก ยิ่งเป็นคอนเสิร์ตของ D2B ที่ส่วนใหญ่บัตรจะเป็นที่ต้องการอย่างมาก อย่างรอบนี้ก็ขายกันห้านาทีเกลี้ยง คนข้างในก็ยังบ่นกันว่าหาบัตรลำบากมาก ก็เลยคิดว่าเราอย่าไปเบียดเบียนเค้าเลย เอาที่นั่งให้แฟนคลับที่เค้ารอดูกันมาเป็นปีปีน่าจะเป็นประโยชน์กว่า (หัวเราะ)
แต่ถ้าถามถึงเสน่ห์ของ D2B ผมว่า D2B เป็นแบบที่คนจะชอบมากกว่าหมั่นไส้นะ คือเราทำงานด้วย เราเห็น ‘ของ’ ที่เค้ามีอยู่เต็มล่ะ ไม่ว่าจะแดน หรือบิ๊ก หรือบีม แต่เวลาเค้าไปอยู่ต่อหน้าผู้คน ต่อหน้าแฟนคลับ ผมก็ไม่ได้เห็นว่าเค้าจะออกอาการรู้สึกว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์จนทำให้ใครหมั่นไส้เลย อันนี้คือจากที่เราสัมผัสนะ ส่วนอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนี้ก็ว่ากันไป
รวม ๆ กับ story ของการเดินทาง ทุกอย่างที่ผ่านมา ทั้งก่อน...ระหว่าง...รวมถึงหลังการจากไปของบิ๊ก ผมว่าพวกนี้รวม ๆ กันแล้วทำให้เสน่ห์มันมากขึ้นไปอีก เพราะคนก็ติดตามดูกันมาตลอด ได้เห็นความรักความผูกพันของทั้งพวกเขาและก็ครอบครัวของบิ๊ก ของแบบนี้มันหลอกกันไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านมาเป็นสิบปีแล้วเนี่ย ผมว่างานและการใช้ชีวิตของพวกเขา มันก็ approve เสน่ห์ของเขาอยู่แล้วล่ะ
ตอนเป็น D2B ผมก็พูดมาตลอดว่า เป็นบอยแบนด์ที่คาแรกเตอร์มันครบ คือพอสามคนมายืนด้วยกัน องค์ประกอบมันเต็มหมด จะเอาแบบไหน แบบพี่ชายนิ่ง ๆ แบบเพื่อนขรึม ๆ หรือแบบน้องน่ารักขี้อ้อน ซึ่งพวกนี้มันเป็นประกายที่มีอยู่ในตัวพวกเค้าอยู่แล้ว ใครก็สร้างให้ได้ไม่คมขนาดนี้หรอก
...เอาเป็นว่า สมมติผมไม่ได้ทำงานกับ D2B ผมอยู่ข้างนอกก็คงชอบวงนี้ไม่น้อยเหมือนกัน

เพลงที่พี่บั๋งเขียนให้ D2B พี่บั๋งชอบเพลงไหนมากที่สุด ? เพราะอะไร ?
ชอบทุกเพลงครับ...ก็ตอบแบบนี้ทุกครั้งที่มีคนถาม คือเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว จะไม่ค่อยแบบ...อันนี้ชอบมาก อันนี้เด็ดที่สุดในชีวิต เพราะคนทำงานแบบนี้ เราก็อยากให้เพลงที่เรากำลังจะทำต่อไปเป็นเพลงที่เราชอบมากที่สุด เป็นเพลงที่ดีที่สุดอยู่แล้ว...อันนี้ไม่ได้กวนตีนนะครับ รู้สึกแบบนี้จริง ๆ
อีกอย่างที่สำคัญคือ เวลางานสักงานจะประสบความสำเร็จนี่ องค์ประกอบมันมากมายกว่าที่ตาเรามองเห็น D2B ประสบความสำเร็จไม่ใช่ศิลปินหล่อ ร้องเพลงเพราะ ขี้อ้อน หรือเพลงมันเพราะ หรือค่ายผลักดันดี ฯลฯ มันมีหลายอย่างที่อยู่รอบ ๆ แล้วถูกจับมารวมกันในจังหวะที่พอดี
เอาเฉพาะเรื่องงานเพลงของ D2B จริง ๆ แล้วผมเป็นแค่คนเขียนเพลงคนหนึ่ง ที่บังเอิญรายล้อมด้วยทีมงานที่มีความสามารถ อย่าง พี่ต๋อง (นิพันธ์ คีตวัชรานันท์) โปรดิวเซอร์ที่ดูแลงานของ D2B มาตั้งแต่ต้น เป็นคนที่ทำให้ D2B เป็นแบบที่ทุกคนรู้สึก หรือ พี่ก๊อป (ธานี วงศ์นิวัติขจร) ซึ่งเป็นคนวางโครงสร้างเนื้อหาเพลงของ D2B ทั้ง 2 ชุด ว่าเราจะเดินทางไหน จะพูดอะไร ซึ่งผมโชคดีที่ได้เขียนเพลงให้กับ D2B เยอะกว่าคนอื่น จะมาได้ดูแลเยอะหน่อยก็ช่วงหลัง ๆ
ดังนั้นถ้าถามเพลงที่ชอบมากที่สุด ก็คงตอบแบบที่ตอบไป แต่ถ้าถามว่ามีอะไรเป็นพิเศษกับเพลงไหนของ D2B อันนี้ก็ตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า เพลง ‘ไม่มีเธอวันนั้น ไม่มีฉันวันนี้’ เพราะเป็นเพลงที่เขียนจากความรู้สึกจริง ๆ ตอนเขียนก็นึกถึงแม่ที่นอนไอซียูอยู่ 3 เดือนแล้วจากไปอย่างสงบ ซึ่งตอนนั้นก็พอดีเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทีมได้รับมอบหมายให้ทำอัลบั้มพิเศษของ D2B พี่เกี้ยก็แวะมาเยี่ยมแม่แล้วก็นั่งคุยงานกันอยู่หน้าโรงพยาบาลนั่นแหละ เลยยังรู้สึกอะไรบางอย่างในใจทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้
...ถือว่าเป็นเพลงที่ touch ใจตัวเองที่สุดเพลงหนึ่งของ D2B ละกันครับ


เวลาที่พี่บั๋งคิดถึงบิ๊ก แวบแรกของความคิดถึงคืออะไรคะ ?
ตอนทำงานกับ D2B ใหม่ ๆ ผมจะจำแดนได้แม่นหน่อย แล้วก็จะจำบิ๊กกับบีมสลับกัน ช่วงนั้นเรามีห้องประชุมของทีม ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนที่มาถึงห้องประชุมเป็นคนแรก ๆ แล้วบ่อยครั้งที่เข้าห้องมาแล้วจะเจอกับบิ๊กนั่งเล่นเกม หรือนอนเล่นอยู่บนโซฟาในห้อง พอเจอผม บิ๊กก็จะหันมาทางผม ยิ้ม ๆ แล้วบอกว่า “ผมบิ๊กพี่”
...สัมภาษณ์ D2B ในรายการสี่ทุ่มสแควร์ ตอนที่ D2B เริ่มดังหมาด ๆ เป็นสัมภาษณ์ที่ผมชอบมาก ๆ และทำให้ผมเห็นถึงบางมุมที่ไม่เคยเห็นของบิ๊ก โดยเฉพาะจังหวะมุกเสี่ยว ผมว่าบิ๊กโดดเด่นเหลือเกินในรายการนั้น ดูแล้วยังนึกในใจว่า “มันไปได้อีกยาว ๆ แน่วงนี้”
...ผมกับพี่เกี้ยเดินมาส่งบิ๊กที่หน้าลิฟต์ เรายืนคุยอะไรกันนิดหน่อย แล้วผมก็บอกบิ๊กกับเพื่อนว่า “กลับบ้านดีดีนะมึง ขับรถดีดี ขอบคุณมาก ๆ เว้ย” ซึ่งก่อนจากกันผมยังถามบิ๊กว่า “ใครขับวะ ?” แล้วบิ๊กก็ชี้มือไปทางเพื่อน ก่อนที่รุ่งเช้าผมจะได้รับข่าวเรื่องอุบัติเหตุของบิ๊ก
ผมเห็นภาพของบิ๊กในสามจังหวะนี้ แทบจะทุกครั้งที่นึกถึงบิ๊ก อาจเพราะช่วงที่เข้าห้องอัดงานของ D2B ในชุดแรก ผมไม่ค่อยได้เข้าไปมีส่วนในการทำงานห้องอัดเท่าไหร่ มีพี่ต๋องกับพี่ก๊อปซึ่งรับผิดชอบงานของ D2B โดยตรงเป็นคนดูแล เลยทำให้ภาพจำของผมอยู่กับสามภาพที่ว่ามา
มีความเห็นไม่ตรงกับบิ๊กระหว่างทำงานอยู่เรื่องสองเรื่อง
ซึ่งผมพยายามนึกในตอนนี้...แต่ก็นึกไม่ออกจริง ๆ
อยากให้พี่บั๋งพูดอะไรถึงบิ๊ก เพื่อส่งความรู้สึกและความคิดถึงที่มีตอนนี้ไปให้เขา
ไม่มีอะไรครับ ผมว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดพูดแทนหมดแล้วล่ะ
และอยากให้พี่บั๋งพูดอะไรถึงแดนกับบีมด้วยค่ะ
เอาแบบที่บอกกันประจำนะ “รักกันมาก ๆ เว้ยพวกมึง”
ที่มาของคลิป Youtube chanel : rsfriends
ไม่รู้ว่าแฟนคลับของ D2B จะรู้สึกตื้นตันแค่ไหนตอนที่ได้ฟังเพลงนี้ในคอนเสิร์ต แต่ HORRORISM เชื่อเหลือเกินว่าเพลง ‘ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า)’ คือเพลงที่เรียกได้ว่าเป็น ‘ปรากฏการณ์ความสุข’ ที่ ‘มีพลังที่สุด’ ในคอนเสิร์ต D2B INFINITY CONCERT 2019 และยิ่งพอมาได้ฟังที่มาที่ไปของเพลงนี้ รวมถึงเมื่อได้ทราบขั้นตอนการทำงานที่น่าทึ่ง ซึ่งทีมงานคงใช้แค่ฝีมืออย่างเดียวไม่ได้แน่ ๆ แต่ต้อง ‘ใช้หัวใจ’ ด้วยจึงจะสามารถสร้างผลงานมหัศจรรย์เช่นนี้สำเร็จ...นี่จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งเพลงของ D2B ที่จะอยู่ในใจของแฟนคลับทุกคนไปอีกนาน
และเราก็เชื่อว่า Sniper คงอยากตอบคำถามที่เป็นชื่อของเพลงนี้ด้วยการตะโกนดัง ๆ ว่า “ยังคิดถึงทุกวัน (เหมือนเดิม)”
ที่มาของภาพและคลิปจากคอนเสิร์ต ‘ธนาคารทิสโก้ Presents D2B INFINITY CONCERT 2019’
เฟซบุ๊ก : COOLfahrenheit
