‘Tom and Jerry’ การ์ตูนสุดคลาสสิกของเด็กทั่วโลก...เรื่องราวของแมวที่ชื่อ ‘ทอม’ และหนูที่ชื่อ ‘เจอร์รี่’ คู่กัดตลอดกาลของโลกการ์ตูนที่โด่งดังที่สุด และเรียกได้ว่า Tom and Jerry นั้นเติบโตมาพร้อมกับใครหลาย ๆ คน เป็นการ์ตูนระดับตำนานแห่งฮอลลีวูดอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความสุขและช่วงเวลาอันแสนงดงามให้แก่เด็ก ๆ มาหลายทศวรรษ
แต่จะเป็นอย่างไรเมื่อ Tom and Jerry การ์ตูนเบาสมองสำหรับเด็กที่เคยสร้างความสนุกสนานด้วยเรื่องราวสุดป่วนของ ทอม และ เจอร์รี่ กลับเลยเถิดจนกลายเป็นเรื่องราวสยองขวัญโหดร้ายและรุนแรงเกินกว่าที่จะปล่อยออกมาให้กับเด็ก ๆ ได้ชม จนในที่สุดก็เกิดเป็นปริศนาว่าแท้จริงแล้ว Tom and Jerry ตอนที่ 14 ในชื่อตอนที่ว่า Tom’s Basement นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ?
‘เรื่องราวของปริศนาในตอนที่ 14 ของ Tom and Jerry นั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า คุณพร้อมไหมที่จะมาร่วมพิสูจน์ปริศนานี้ไปพร้อม ๆ กับเรา ?’
Tom and Jerry เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ วิลเลี่ยม ฮันน่า กับ โจเซฟ บาร์เบร่า และได้ผ่านมือของผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้างมากความสามารถหลายต่อหลายคน ซึ่งตัวการ์ตูนที่ทั้งสองคนได้คิดค้นนั้นเป็นตัวการ์ตูนแมวกับหนูในภาพยนตร์แอนิเมชันชื่อ Puss Gets the Boot ซึ่งสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1939 และฉายในโรงภาพยนตร์ เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ค.ศ. 1940 โดยภาพยนตร์ดังกล่าวจะเน้นเรื่องราวของแมวสีเทาที่ชื่อว่า แจสเปอร์ ที่พยายามจะจับหนูตัวหนึ่งจนข้าวของภายในบ้านพัง และเจ้าแจสเปอร์ก็ถูกคุณแม่ 2 ขาจับโยนออกนอกบ้านไป และนั่นก็กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘Tom and Jerry’ การ์ตูนสุดคลาสสิกขวัญใจเด็ก ๆ ตลอดกาล

ที่มาของภาพ : wikimedia

ที่มาของภาพ : kartoon-discovery
จากนั้นฮันน่ากับบาร์เบร่าก็ทำแอนิเมชันเรื่องสั้นอื่น ๆ อีกมากมาย กระทั่งโปรดิวเซอร์คนหนึ่งชื่อ เฟรด ควิมบี้ ขอร้องให้ทั้งคู่กลับมาทำแอนิเมชันเกี่ยวกับหนูและแมวอีกครั้ง จึงได้เกิดจัดการประกวดชื่อของตัวการ์ตูนคู่หูหนูแมวคู่ใหม่ของเขาภายในสตูดิโอ และก็มีคนเสนอหลายชื่อจนกระทั่ง จอห์น คาร์ แอนิเมเตอร์คนหนึ่ง ได้เสนอชื่อ Tom กับ Jerry ขึ้นมา จึงได้กำเนิดชื่อของตัวการ์ตูนที่โด่งดัง Tom and Jerry นั่นเอง
การ์ตูนเรื่อง Tom and Jerry ถูกจัดทำขึ้นซ้ำหลายครั้ง โดยผู้กำกับมากความสามารถหลายต่อหลายท่าน แต่ที่เกิดเป็นประเด็นกล่าวขวัญกันอย่างมากในโลกออนไลน์เห็นทีจะเป็นผลงานการกำกับในยุคของ จีน ไดทช์ ซึ่งเล่ากันต่อมาว่า จีน ไดทช์นั้นไม่ค่อยเห็นด้วยกับคอนเซปต์ของเรื่องนี้ ทำให้เขาใส่เนื้อหาที่มีความรุนแรงผ่านภาพและการกระทำของทอมและเจอร์รี่ และยังมีการเปิดเผยว่าจริง ๆ แล้วการ์ตูนเรื่อง Tom and Jerry ในยุคที่จีน ไดทช์กำกับนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มี 13 ตอน แต่มีอีก 1 ตอนที่ถูกระงับการเผยแพร่ เนื่องจากเนื้อหามีความรุนแรงเกินกว่าที่จะนำมาเผยแพร่ให้เด็ก ๆ ได้รับชมได้

ที่มาของภาพ : 2.bp.blogspot
เรื่องราวของปริศนาเกี่ยวกับ Tom and Jerry นั้นถูกพูดถึงอย่างมาก โดยมีคำที่ใช้ในการค้นหาคือ ‘Tom and Jerry the lost episode’ โดยตอนที่หายไปนั้นมีชื่อว่า ‘Tom’s Basement’ หรือ ‘ห้องใต้ดินของทอม’
เนื้อหาของ Tom and Jerry ในตอน Tom’s Basement นั้นเล่ากันว่าเป็นเรื่องราวที่โหดร้ายและทารุณอย่างถึงที่สุด ทั้งยังมีเนื้อหาที่รุนแรงและมีภาพที่ดูแตกต่างไปจากตอนอื่น ๆ ของ Tom and Jerry

ที่มาของภาพ : i.ytimg
เนื้อหาในตอนนี้จะเปิดมาด้วยภาพของทอมที่โดนเจ้าของดุด่าอย่างรุนแรงด้วยเหตุผลที่ว่าทอมไปเดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ กับห้องใต้ดินนั่นเอง เจ้าของบ้านดุด่าทอมพร้อมกับกำชับอย่างหนักแน่นว่า ‘ห้ามลงไปที่ห้องใต้ดินนั่น เด็ดขาด!’ แต่ในตอนนั้นเองเจ้าหนูเจอร์รี่ที่กำลังแอบฟังอยู่ ก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากรูหนูของมัน และทำท่าเหมือนกับว่ากำลังมีแผนร้ายอะไรบางอย่าง หลังจากที่เจอร์รี่ได้ยินเกี่ยวกับข้อห้ามเรื่องห้องใต้ดิน เจอร์รี่ก็มักจะแกล้งให้ทอมต้องไปวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กับห้องใต้ดินอยู่เสมอ เพื่อหวังให้เจ้าของบ้านโกรธ และทำร้ายร่างกายทอมเหมือนเช่นทุกที และก็ไม่ผิดคาดเพราะทุกครั้งที่ทอมเข้าใกล้ห้องใต้ดิน ก็มักจะถูกเจ้าของบ้านทำร้ายจนบาดเจ็บทุกครั้งไป จนทอมทนไม่ไหวเพราะเขาเริ่มบาดเจ็บในทุกส่วนของร่างกาย ทอมตัดสินใจขอร้องเจอร์รี่ว่า ได้โปรดอย่าแกล้งเขาอีกเลย เขาไม่อยากเข้าใกล้ห้องนั่นอีกแล้ว แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะนอกจากเจอร์รี่จะไม่ฟังคำขอร้องของทอมแล้ว เจอร์รี่ยังเผยรอยยิ้มที่ดูน่าสยดสยองพร้อมกับผลักทอมอย่างแรง ทำให้ทอมตกลงไปที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง และก็เป็นเหมือนเดิม ทอมถูกเจ้าของบ้านทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงและถูกโยนออกไปนอกบ้าน เจอร์รี่เผยรอยยิ้มที่ชวนสยดสยองอีกครั้ง และค่อย ๆ หยิบมีดแทงเข้าไปที่ร่างของเจ้าของบ้านในขณะที่เขาเผลอ จากนั้นทอมกับเจอร์รี่ก็ช่วยกันแบกศพเจ้าของบ้านลงไปยังห้องใต้ดิน แต่แล้วก็ต้องตกใจเพราะภายในห้องใต้ดินนั้นเต็มไปด้วยซากศพนับสิบที่มีสภาพน่าสะอิดสะเอียนถูกแขวนเรียงรายไว้ทั่วห้อง จากนั้นเจอร์รี่ก็ใช้มีดจ้วงแทงไปที่ร่างของทอมอย่างทารุณ และเก็บศพของเขาไว้ในที่เดียวกันกับร่างของเจ้าของบ้านนั่นเอง ส่วนตัวเจอร์รี่ก็ประกาศขายบ้านและเดินทางไปหาที่อยู่ที่ใหม่ต่อไป
เรื่องราวที่น่าสยดสยองของ Tom’s Basement ดูแล้วโหดร้ายเกินกว่าที่จะเชื่อได้ว่าเป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก จึงถูกตั้งคำถามจากผู้คนมากมาย ทำให้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับข่าวลือดังกล่าวว่าเรื่องราวที่ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางนั้นมีที่มาที่ไปจากไหนกันแน่
มีข้อมูลว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวของ Tom’s Basement นั้น ถูกโพสต์ขึ้นผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ creepypasta.fandom โดยผู้ใช้งานที่ชื่อว่า KI_Simpson ซึ่งเป็นการบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับ Tom and Jerry ในตอนที่ 14 และกลายเป็นเรื่องราวที่เล่าต่อ ๆ กันไปอย่างกว้างขวางทำให้เกิดความสับสนว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวของ Tom’s Basement นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
คลิปรายการ มิติที่ 6
ภาพรอยยิ้มอันน่าสยดสยองของเจอร์รี่ที่ถูกนำมาใช้ประกอบเรื่องเล่าของ Tom’s Basement นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Tom and Jerry ในตอน The invasion of the body slammers ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวของสัตว์นอกโลกที่บังเอิญมาโผล่ที่บ้านของทอมและเจอร์รี่เพียงเท่านั้น
คลิป Tom and Jerry : The invasion of the body slammers
เรื่องราวของ Tom and Jerry the lost episode คล้าย ๆ กับกรณีของการ์ตูนดังอีกเรื่องหนึ่งก็คือ Mickey Mouse กับปริศนาการฆ่าตัวตายจากการดูคลิปสั้น ๆ คลิปหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยใช้ชื่อว่า Mickey Mouse in hell โดยเป็นเพียงภาพของ Mickey Mouse ที่ดูหดหู่ในขณะที่เดินไปเรื่อย ๆ และเริ่มมีเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนและหลอนขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครทราบว่าต้นฉบับนั้นมาจากไหน และคนเผยแพร่นั้นต้องการอะไร แต่มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่ค่ายการ์ตูนยักษ์ใหญ่จะโดนโจมตีจากผู้ไม่หวังดีในการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าหวาดกลัวให้กับตัวการ์ตูนขวัญใจเด็ก ๆ เพื่อลดทอนความนิยม
คลิป Mickey Mouse in hell
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนหรือสื่อประเภทใดก็ตามถึงแม้จะให้ความเพลิดเพลิน ดูแล้วสนุกสนาน แต่ก็ล้วนแฝงไปด้วยข้อดีและข้อเสียทั้งสิ้น ดังนั้น ควรรับชมสื่อนั้น ๆ ภายใต้การมีวิจารณญาณและคิดไตร่ตรองอยู่เสมอ รวมทั้งผู้ปกครองเองก็ควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดพร้อมทั้งให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เพื่อป้องกันการเกิดค่านิยมผิด ๆ ตลอดจนพฤติกรรมที่อาจจะส่งผลกระทบต่อบุตรหลานในระยะยาวได้