3 ชั่วโมงก่อนพิธีกรรมจะเริ่ม
แสงสีส้มทองทอดผ่านผืนฟ้าและผืนน้ำหลังโรงเรียนระริ้วไปตามแรงกระเพื่อมของผืนน้ำดูน่ามอง เทวกานต์มองภาพนั้นพลันหวนคิดถึงภาพเก่าในความทรงจำที่เขามักจะไปนั่งเล่นมองผืนน้ำผืนฟ้าและท้องนาในละแวกบ้าน แต่ต่างกันเพียงความรู้สึกในตอนนั้นช่างเบาสบายราวกับจะล่องลอยไปกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านมา ส่วนตอนนี้แม้ว่าภาพตรงหน้าจะสวยงามเพียงใด สารวัตรเทวกานต์กลับรับรู้ได้เพียงความรู้สึกอันผิดแผกที่ไม่เข้ากัน เรื่องราวบางอย่างไม่เชื่อมโยง และช่างไร้เหตุผล ลางสังหรณ์ของสายสืบกำลังบอกเขาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในรั้วโรงเรียนแห่งนี้นั้นยากจะขุดค้นให้พบกับต้นตอที่ซ่อนอยู่
เทวกานต์เหม่อมองผืนน้ำตรงหน้าได้ไม่นานเท่าไหร่แสงสีอ่อนก่อนก็เริ่มลาขอบฟ้าเหลือไว้เพียงความมืดของยามค่ำคืน แม้ช่วงนี้จะไม่ใช่ฤดูหนาวแต่อากาศที่นี่กลับเย็นมากกว่าปกติ ความรู้สึกในตอนกลางวันและกลางคืนช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
“สารวัตรครับ!” เสียงแข็งขันของนายตำรวจหนุ่มรุ่นน้องดังมาจากด้านหลังเรียกให้เทวกานต์ตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด
“จะเรียกกันอย่างนั้นไปถึงเมื่อไหร่” นนทการอึกอักพยายามจะเถียงคำตำหนิของตำรวจรุ่นพี่แต่ก็ทำไม่ได้ เขาเพิ่งเข้ามาสังกัดในหน่วยนี้ได้ไม่นานนัก ยังไม่รู้จักธรรมเนียมปฏิบัติดีเท่าที่ควร
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นตำรวจมือดีที่มีชื่อเสียงอยู่พอตัวในสายงานหนึ่งที่น้อยคนนักจะรู้จัก และคนที่เป็นผู้นำหน่วยนี้ที่เป็นเหมือนกับตัวแทนของความสมบูรณ์แบบด้านฝีมือการทำงานทั้งบู๊ทั้งบุ๋นกลับไม่ถือตัวและไม่ชอบให้ลูกน้องในหน่วยทำตัวห่างเหินอย่างการเรียกกันด้วยยศเสียอย่างนั้น
ทั้งสองใช้เวลาประมาณชั่วโมงหนึ่งในการเดินสำรวจไปตามที่ต่างๆ ทั่วบริเวณของโรงเรียนทรัพย์สถิตวิทยา นนทการจดและถ่ายภาพทุกอย่างเก็บไว้เพื่อประกอบการวิเคราะห์คดีเป็นการส่วนตัวโดยที่ไม่รู้เลยว่าเทวกานต์กำลังมองหาหลักฐานบางอย่างที่ต่างออกไป
ทุกก้าวที่เหยียบย่างอยู่ในพื้นที่นี้สารวัตรหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้เดินอยู่บนพื้นคอนกรีต พื้นกระเบื้อง ทุกความรู้สึกที่สัมผัสได้อยู่ทุกอณุรูขุมขนของตัวเองกำลังบอกเขาว่าที่นี่อาจไม่ใช่ที่ที่ควรจะถูกสร้างเป็นโรงเรียน ที่ดินแห่งนี้ต้องมี ‘ประวัติ’ บางอย่างแอบซ่อนไว้อย่างแน่นอน
เมื่อสำรวจครบทุกตารางนิ้วของพื้นที่แล้วยกเว้นอาคารบางอาคารที่ถูกใช้เป็นห้องเก็บของและบางแห่งที่เก่าเกินกว่าจะเหยียบเข้าไปได้อย่างวางใจในช่วงกลางคืนอย่างนี้
“ว่าไงหมวด” เทวกานต์รับสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาอย่างกะทันหัน เขาเงียบฟังสักครู่หนึ่งแล้วตอบรับกลับไปไม่กี่คำก่อนจะวางสายแล้วกันกลับมามองรุ่นน้องที่เดินตามหลัง
“นนท์ ไปรับหมวดเสือเขาหน่อย อีกสักพักน่าจะมาถึงที่สนามบิน” เทวกานต์สั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เอ่อ แต่ว่า ผมยังไม่เคยพบกับหมวดเลย” นนทการรู้สึกลังเลเมื่อต้องไปพบหน้ากับคนที่ถูกเรียกว่า ‘หมวดเสือ’ เพราะพอจะได้ยินกิตติศัพท์ของตำรวจลึกลับนอกเครื่องแบบคนนี้มาพอสมควร
ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรแต่สุดท้ายนนทการก็ต้องขับรถออกไปรับตำรวจรุ่นพี่อีกคนหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะนั่นคือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับงานและการสืบคดีอีกด้วย
เทวกานต์ยืนมองรถที่เพิ่งลับสายตาออกไปจากรั้วโรงเรียนจนแน่ใจแล้วว่าภายในโรงเรียนแห่งนี้ไม่เหลือใครอยู่อีกแล้วนอกจากเขาและเจ้าหน้าที่ที่ทำการเฝ้าประตูอยู่ด้านนอกไม่กี่คน
ท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืนและความกว้างใหญ่ของโรงเรียนมัธยมชื่อดังใจกลางเมือง เทวกานต์เลือกที่จะเดินตรงไปยังสถานที่เล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นนัก
ที่ตรงนั้นมีศาลาไม้ขนาดกลางตั้งอยู่ พระประทานสีท่องอร่ามนั่งอยู่ในท่าสงบตามปกติ แสงจากเปลวเทียนเล่มเล็กถูกจุดและปักไว้บนเชิงเทียนใกล้ๆ กลิ่นหอมของธูปเริ่มขจรขจายไปทั่วบริเวณ
ไออุ่นจางๆ จากเปลวเทียนช่วยให้ใจสงบ แสงสีส้มจากเปลวเทียนวูบไหวไปตามแรงลมปะทะและสะท้อนกับเนื้อทองเหลือขององค์พระดูงดงามด้วยศรัทธาและเชิงศิลป์
เทวกานต์ก้มกราบลงกับพื้นอย่างช้าๆ ห้าครั้งจึงเปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิอย่างหลวมๆ สองมือประสานไว้ที่ตักพอให้ไม่หลุดจากกันไม่ออกแรงกดใดๆ แผ่นหลังตั้งตรงแต่ไม่ฝืนกล้ามเนื้อให้แข็งเกร็ง ต้นคอตั้งตรงไม่เอนไม่ด้านใดด้านหนึ่ง
เมื่อจัดท่าทางของร่างกายให้อยู่ในตำแหน่งที่สบายตัวที่สุด สารวัตรหนุ่มก็หลับตาท่ามกลางความมืดที่มีเพียงไฟดวงเล็กๆ จากปลายเทียนอย่างไม่หวาดกลัวสิ่งใด
ลมหายใจเคลื่อนตัวผ่านริมฝีผากและปลายจมูก หนัก เนิบช้า จากนั้นจึงค่อยเบาบางลงจนเชื่องช้าไร้การเคลื่อนไหว จิตที่เคยฟุ้งซ่านพลันสงบขึ้นเมื่อตั้งใจเข้าสู่สมาธิ
การเข้าสู่สมาธินั้นไม่ใช่การบังคับหรือไขว่คว้า จิตที่แส่ส่ายจะวุ่นวายจนยากจะมองหาความสงบ ‘ยิ่งมองหายิ่งเลื่อนลอย’ คำคำนี้ใช้ได้เสมอ และอีกคำหนึ่งที่ให้ความหมายไปในทิศทางเดียวกัน ‘เมื่อไม่ไขว่คว้าคำตอบจะมาหาเราเอง’
เทกานต์วางความคิดทุกอย่างลงไว้เบื้องหลังเหลือไว้เพียงความสงบที่ใครหลายคนต่างใฝ่หาจากพระอาจารย์ชื่อดังทั้งที่จริงแล้วความสงบเหล่านั้นอยู่กับจิตของเราเสมอมา แต่มันเพียงถูกบดบังด้วยกิเลสและความกังวลก็เท่านั้น
จิตของเทวกานต์หมุนคว้างจากนั้นคล้ายดำดิ่งจมลงสู่ห้วงแห่งความสงบแก้วหูทั้งสองข้างรับรู้ถึงเสียงแหลมสูงชั่วครู่หนึ่งก่อนจะกลายเป็นความเงียบที่ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ มีเพียงจิตเท่านั้นที่ยังจับได้ถึงการเคลื่อนไหวช้าๆ ของลมหายใจที่คอยประคองให้ร่างกายยังคงไว้ซึ่งความมีชีวิต
ยิ่งดำดิ่งสู่สมาธิได้ลึกลงมากเพียงใดอัตราการหายใจจะยิ่งน้อยและช้าลงจนแทบจะหยุดไป หลายต่อหลายคนที่ตกใจกับสภาวะนี้กลัวว่าตัวเองจะขาดอากาศตาย จิตจึงเตลิดหลุดออกจากสมาธิ
สภาวะจิตที่นิ่งราวกับผิวน้ำไม่ไหวติงต่อสิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายในจะพาให้วิญญาณพบกับความสงบ เมื่อผ่านพ้นความสงบนั้นไปแล้ว ดินแดนเบื้องหลังที่รออยู่คือสภาวะจิตที่ละเอียดขึ้น คือ ประตูบานแรกสู่การรับรู้ที่เหนือกว่าคนทั่วไป
ยามนี้เทวกานต์รับรู้ได้ถึงความเย็นที่ผิดปกติลอยมาจากทั่วบริเวณ ที่นี่มี ‘พลังงาน’ บางอย่างสถิตอยู่จริงๆ พลังงานจากอีกภพหนึ่ง กระแสที่ไม่ควรไหลวนปะปนอยู่กับคนเป็นทั้งในยามนอนและยามตื่น
สารวัตรหนุ่มติดตามการไหลเวียนของกระแสนั้นผ่านสมาธิ ไม่มีปลายทางใดที่กระแสแห่งพลังงานนั้นนำไปถึง มันเพียงแค่หมุนวน ผสม กลมกลืน และแตกแยก ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นคล้ายวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด
กึก...
คล้ายเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากที่ไกลๆ แต่แม้จะเบาและห่างไกลเพียงใดก็ไม่อาจเล็ดลอดประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นเพราะไม่ได้อาศัยการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้าตามปกติ
เทวกานต์ลืมตาขึ้นแต่ยังไม่ได้ถอนตัวเองออกจากสมาธิ ที่เขาทำได้อย่างนั้นเพราะจิตที่ถูกฝึกมาประมาณหนึ่ง สมาธิไม่ได้เกิดเพียงยามหลับตา ไม่ว่าจะสภาวะใดหากจิตนั้นมี ‘วสี’ การ ‘เข้าสู่’ และ ‘คงไว้’ จะปรากฏได้แม้ในยามที่ลืมตาหรือแม้แต่บรรเลงเครื่องดนตรี
ทิวทัศน์ที่สารวัตรหนุ่มเห็นผ่าน ‘ดวงตาคู่นั้น’ ต่างไปจากเมื่อไม่นานนี้โดยสิ้นเชิง ทั่วทั้งบริเวณของโรงเรียนแห่งนี้กำลังถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควันสีดำไร้รูปร่าง ผสมกับกลุ่มก้อนของ ‘กระแสประหลาด’ แล่นแปลบปลาบคล้ายอัสนีบาตบนท้องฟ้ายามพายุมาเยือน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาไม่รับรู้และไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้เขายืนยันกับความคิดของตัวเองได้อย่างแน่ชัดแล้วว่า ‘ที่นี่ไม่ปกติ’
เทวกานต์ย่างเท้าเดินไปตามเสียงหนึ่งที่ได้ยินอยู่ไกลๆ เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากที่ใดสักที่หนึ่ง เสียงนั้นเบาหากแต่สม่ำเสมอจึงพอจะเดาได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคงจะต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับตน
หลายครั้งที่สารวัตรหนุ่มต้องหยุดเดินแล้วพยายามจับทิศทางของเสียงนั้นเพื่อเดินต่อ
ที่มุมตึกหนึ่งเทวกานต์เห็นเงาร่างพริ้วไหวของเสื้อนักเรียนสีขาววิ่งลับสายตาไปอย่างรีบร้อน เขาเดินตามวิญญาณดวงนั้นเข้าไปใกล้ก็ได้พบกับตึกอีกตึกหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ในความมืด
รอบๆ ตึกนั้นปรากฏกลุ่มก้อนของควันสีดำเวียนว่ายคล้ายปลาในหนองน้ำ มันเหมือนพยายามหาทางเข้าไปด้านในหรือเพียงแค่เฝ้าดูอะไรบางอย่างที่อยู่ภายในนั้นก็ยากที่จะตอบ
เทวกานต์รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปใกล้ตัวตึกนั้นผ่านความอึดอัดและบรรยากาศที่หนักอึ้ง
ที่ข้างตึกนั้นเขาเห็นแสงไฟริบรี่วูบไหวอยู่ด้านในห้องที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องสมุดเพราะมีชั้นหนังสือเรียงรายอยู่เต็มไปหมด สารวัตรหนุ่มเดินเลาะไปตามขอบตึกเพื่อหามุมที่จะมองได้ชัดขึ้นพร้อมกับหาทางเข้าไปในตัว
ภาพที่มองผ่านกระจกหน้าของห้องสมุดนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าด้านในกำลังมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังร่วมกันทำอะไรบางอย่างที่ผิดวิสัยปกติในยามวิกาลอย่างนี้ ไม่นานเทวกานต์ก็พบกับทางเข้าทางเดียวกับที่เด็กทั้งสี่คนใช้เข้าไปด้านในก่อนหน้านี้
“กล้า!” เสียงตะโกนเรียกชื่อเพื่อดังห่างจากตรงหน้าของเทวกานต์ไปไม่เท่าไหร่ สารวัตรหนุ่มเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้กลุ่มคนที่เป็นต้นตอของเสียงนั้นทันทีเพราะรับรู้ได้ถึงความร้อนใจที่ส่งผ่านมากับเสียงตะโกนนั้น
ทันทีที่เขาได้เห็นกลุ่มเด็กทั้งสี่คนตรงหน้า ความตกใจปนประหลาดใจก็พัดพาเอาสมาธิที่เขาประคองเอาไว้มาโดยตลอดให้หายไปกับสายลม
เทวกานต์เบิกตากว้างมองร่างของเด็กมัธยมที่กำลังกระตุกเกร็งนอนน้ำลายฟูมปากตาเหลือกมองเขาอย่างทุกข์ทรมาน เพียงเสี้ยววินาทีที่เทวกานต์เรียกเอาสติกลับคืนมาได้เขาตรงไปหาร่างนั้นโดยไม่สนใจว่าพวกเด็กๆ กำลังทำอะไรกันอยู่ใยเวลานี้
“กดเพื่อนไว้!” เทวกานต์ออกคำสั่งให้เด็กอีกสามคนช่วยกันกดร่างของกล้าไว้กับพื้น ระหว่างนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นความผิดปกติจากเด็กอีกคนหนึ่ง อาร์ตแม้จะได้ยินคำสั่งนั้นของสารวัตรหนุ่มแต่กลับไม่ขยับร่างกายหรือสนใจจะทำตามมันแต่ออย่างใด เด็กหนุ่มเพียงแค่เหม่อมองไปยังเพดานห้องสมุดที่ว่างเปล่าราวกับกำลังมองหาใครอยู่
“ฉิบหายแล้วๆๆๆๆ” ภัทรสบถออกมาไม่ขาดสายเมื่อเห็นเพื่อนรักกำลังจะขาดใจอยู่ตรงหน้า อาร์ตที่เพิ่งได้สติกลับมาสนใจก็กำลังช่วยออกแรงกดจากอีกด้านหนึ่ง
สิ่งที่เด็กทั้งสามคนได้เห็นนั้นทำให้ตาค้างด้วยความไม่เข้าใจ เพราะผู้ใหญ่ตรงหน้าไม่ได้ทำการปฐมพยาบาลหรือช่วยเหลือชีวิตแต่อย่างใด แต่สิ่งที่เทวกานต์ทำนั้นคือการพนมมือแล้วหลับตาบริกรรมคาถาอะไรบางอย่าง
เสียงบ่นพึมพำคล้ายการสวดมนต์ดังรัวติดต่อกันไม่กี่วินาทีก็เงียบลง พร้อมกับสร้อยพระในมือที่ถูกคล้องลงบนคอของเด็กตรงหน้า
“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดของกล้าทำให้เพื่อนรักทั้งสามตกใจจนเผลอปล่อยมือออกจากร่างของเพื่อนอย่างช่วยไม่ได้ ทุกคนมองร่างอันบอบบางนั้นดิ้นเร่าอยู่กับพื้น ร่างกายนั้นกระตุกเกร็งไปมาน่าเวทนา
แม้จะสงสารเพียงใดแต่เทวกานต์ก็มั่นใจว่าวิธีนี้คือทางที่ดีที่สุดแล้ว สาเหตุที่เขาเลือกจะทำ ‘อย่างนี้’ แทนการช่วยชีวิตเด็กตรงหน้าเพราะสิ่งที่เขา ‘เห็น’ มันชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดๆ ที่อาจจะได้ยินจากปากของเด็กทั้งสี่คนหลังจากนี้
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสาตาทั้งสี่คู่จับจ้องไปยังร่างของกล้าที่ค่อยๆ อ่อนแรงลงจนสงบในที่สุด
สารวัตรหนุ่มเข้าไปจับร่างกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าพยายามเขย่าและเรียกให้เขาฟื้นคืนสติ แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดกลับมา เทวกานต์จึงตัดสินใจอุ้มกล้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วบอกให้เด็กอีกสามคนเก็บกวาดทุกอย่างและตามออกมาให้เร็วที่สุด
ผังกระดานผีถ้วยแก้ว สิ่งของที่ใช้ประกอบพิธีและรอยเลือดทั้งหมดนั้นไม่ได้เล็ดลอดสายตาของสายสืบฝีมือดีอย่างเขาไปแม้แต่น้อย เว้นก็เพียงแต่ตอนนี้คงไม่ใช่จังหวะที่ดีสักเท่าไหร่ที่จะเค้นถามเอาความจากเด็กกลุ่มนี้
ณ ห้องพยาบาล
แสงไฟสีขาวเปิดสว่างที่ข้างเตียงนั้นมีนายแพทย์คนหนึ่งยืนดูอาการของเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเหนื่อยใจ
“กูบอกกี่ที่แล้วว่าอย่าเรียกกูมารักษาคน กูผ่าแต่ศพ” คำพูดถากถางของนายแพทย์ตุลยภัทรไม่ได้รับการโต้ตอบแต่อย่างใดนอกจากรอยยิ้มของเพื่อนรักที่เหมือนจะจงใจยั่วอารมณ์ของเขาให้คุกรุ่นขึ้นกว่าเดิม
“แล้วไหนว่ามีอีกสองคนไง” นายแพทย์ตุลย์ถามเพราะได้ยินมาก่อนว่าคดีนี้จะมี ‘นนทการ’ และ ‘หมวดเสือ’ มาร่วมรับผิดชอบด้วย
“ให้หมวดเสือหลอกล่อเด็กใหม่กลับไปนอนแล้ว ตอนนี้ไม่มีเขาจะทำงาน ‘สะดวกกว่า’ ” นายแพทย์ตุลย์หรี่ตามองเพื่อนอย่างเข้าใจในความหมายที่ซ่อนอยู่ของประโยคนี้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องพยาบาลของโรงเรียนพร้อมกับบุหรี่ในมือ
เทวกานต์นั่งมองเด็กอีกสามคนที่นั่งตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ห่างๆ เขาไม่ใช่คนที่รู้วิธีรับมือกับสถานการณ์อย่างนี้สักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเขาก็คงจะต้องเข้าไปพูดอะไรสักอย่างเพื่อให้เด็กๆ ได้คลายใจลงบ้าง
“พวกเธอมาทำอะไรกัน บอกมาเถอะ สัญญาว่าจะไม่ไปฟ้องอาจารย์” ประโยคง่ายๆ ที่ทำให้เด็กๆรู้สึกเครียดน้อยลงเพราะกลัวว่าจะต้องถูกลงโทษหากโดนจับได้ว่าลอบเข้ามาในโรงเรียนอย่างนี้
เด็กๆ ทั้งสามคนอ้ำอึ้งและไม่กล้าที่จะเล่าความจริงทั้งหมดให้กับคนตรงหน้าฟัง ที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เพราะกลัวความผิดเท่านั้น แต่พวกเขาไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าจะเชื่อ ‘เรื่องผี’ หรือ ‘พิธีกรรม’ ที่พวกเขาประกอบขึ้นหรือเปล่า
“อือ..” เสียงงัวเงียดังมาจากเตียงผู้ป่วย กล้ากำลังลืมตาอย่างช้าๆ พยายามจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เทวกานต์ที่อยู่ใกล้เตียงที่สุดจึงเข้าไปช่วยพยุง
เด็กทั้งสามคนเมื่อเห็นเพื่อนรักที่เกือบจะตายไปต่อหน้าต่อตาในความคิดของพวกเขาฟื้นกลับมาก็ดีใจยกใหญ่วิ่งกรูเข้าไปเกาะอยู่ที่ขอบเตียง บ้างก็เข้าไปกอดเขย่าตัวเพื่อนที่ยังดูมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่
“กล้า! เป็นยังไงบ้างวะ เจ็บตรงไหนไหม!” อาร์ตถามเสียงดัง
“...” กล้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เหมือนกับคนที่อยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ไม่กี่วินาทีถัดมาดวงตาของกล้าก็เบิกโพลงด้วยความกลัวและยันร่างของตัวเองไปด้านหลังด้วยสัญชาตญาณ แล้วร้องโวยวายออกมา
“พวกเอ็งเป็นใคร!” กล้าตะวาดเสียงดังลั่นไปทั่วห้องพยาบาล หลังที่พิงเตียงผู้ป่วยกำลังสั่นเทาด้วยความกลัว นัยน์ตาดำแส่ส่ายด้วยความไม่มั่นใจและมองหาที่พึ่งพร้อมกับระมัดระวังอันตรายไปในตัว
ท่าทางของเด็กหนุ่มนั้นดูไม่ใช่การอำกันเล่นแต่อย่างใด ทุกอย่างสมจริงจนไม่น่าเชื่อว่าเด็กทั้งสี่คนนี้จะเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ อีกทั้งคำพูดที่เขาใช้อีก
เด็กอีกสามคนตกใจและพยายามส่งเสียงเรียกชื่อเพื่อนสลับกับบอกชื่อตัวเองเพื่อให้เพื่อนรักรู้สึกตัว แต่ทั่งหมดนั้นก็ดูจะไร้ความหมายเมื่อ กล้าได้พูดตอบกลับด้วยคำถามที่ไม่มีใครคาดคิด
“พวกเอ็งเป็นใคร! แล้วนุ่งผ้าอะไรกัน!” กล้าเสียงสั่นกลั้นใจถามคนตรงหน้าออกไปอย่างสับสน ทุกคนนิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน เทวกานต์ที่รู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่างจึงเดินเข้าไปใกล้หวังจะปลอบประโลมจิตใจของเด็กที่อาจจะเพิ่งได้รับแรงกระทบกางใจมาอย่างหนักให้ดีขึ้น
แต่ไม่ทันที่เขาจะได้แตะตัวของกล้า เด็กหนุ่มก็กุมขมับร้องโหยหวนโวยวายด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหงายหลังแน่นิ่งลงไปกับเตียงคนไข้อีกครั้ง ทิ้งให้สี่คนที่เหลือมองดูภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้