อัปเดตล่าสุด 2019-05-23 09:07:52

ตอนที่ 4 ตามหา

              วันใหม่มาเยือนพร้อมกับความสดชื่นเมื่ออาร์ตตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไปหลายชั่วโมง ทันทีที่เขารู้สึกตัวสิ่งแรกที่เขาคิดถึงคือมะลิวัลย์เพราะเมื่อคืนนั้นเขาได้ทำเรื่องที่ค่อนข้างดูใจร้ายกับเธอไว้พอสมควร

              อาร์ตกดเปิดโทรศัพท์ให้กลับมาทำงานอีกครั้งแล้วก็รีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปโรงเรียน

              ในตอนที่เขากำลังแต่งตัวอยู่นั้นโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มก็เกิดอาการสั่นไม่หยุด เสียงสั่นของมันยังคงดังอย่างต่อเนื่อง อาร์ตหันไปมองโทรศัพท์ที่ตอนนี้กำลังสั่นไปมาอยู่บนเตียงเหมือนกับมันกำลังจะเดินไปที่ไหนสักที่หนึ่ง

              เด็กหนุ่มจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มืดสนิทแต่ยังคงสั่นอยู่ อาร์ตก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ตั้งใจจะหยิบมันขึ้นมาดูว่ามีใครส่งข้อความหรือโทรมาหรือเปล่าจึงทำให้มันสั่นอย่างนี้ แต่ก่อนที่อาร์ตจะได้เอื้อมมือไปหยิบมันโทรศัพท์ที่เคยสั่นก็หยุดลงเอาเสียดื้อๆ

              เด็กหนุ่มหยิบมันมาถือไว้ในมือกำลังจะเปิดดูข้อความที่ค้างอยู่ด้านใน แต่แล้วจู่ๆโทรศัพท์มันก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง “เฮ้ย!” อาร์ตตะโกนเสียงดังด้วยความกลัวจนเผลอปล่อยโทรศัพท์ในมือร่วงลงกระแทกกับพื้นห้องจนแยกออกเป็นสองส่วน

              สิ่งที่เขาได้เห็นคือโทรศัพท์มือถือที่แตกแยกออกจากกัน ชิ้นหนึ่งกระเด็นไปชนกับประตูห้องและหยุดอยู่ตรงนั้น ส่วนอีกชิ้นนั้นกระเด็นเข้าไปอยู่ในช่องว่างใต้เตียงนอนของเขา

              อาร์ตยังคงยืนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความกลัวค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆแต่ความหงุดหงิดที่โทรศัพท์มาพังไปอย่างนี้ทำให้ความกลัวที่มีอยู่กลายเป็นประเด็นรองไปในทันที

ตืด...

              เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งจากใต้เตียง ลึกลงไปในความรู้สึกบอกกับเขาว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เขาก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าความรู้สึกที่ว่านั้นมันมาจากที่ไหนเช่นกัน

              เสียงสั่นของโทรศัพท์ยังคงดังอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ความกลัวกับความสงสัยกำลังวัดน้ำหนักกันอย่างเฉียดฉิวและในครั้งนี้ฝ่ายที่ชนะคือความสงสัยใคร่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้โทรศัพท์ของเขาสั่นไม่หยุด

              อาร์ตก้มตัวลงกับพื้นใบหน้าแนบกับกระเบื้องเย็นๆมองลอดเข้าไปใต้เตียงที่มีแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์กระพริบอยู่เป็นจังหวะพร้อมกับเสียงสั่นและตัวเครื่องที่ขยับไปมาอยู่บนพื้น

              เด็กหนุ่มเอื้อมมือสุดตัวจนสามารถหยิบเอาโทรศัพท์มาถือไว้ในมือได้ และเมื่อเขาได้เห็นว่าหน้าจอของโทรศัพท์นั้นแสดงชื่อใคร เขาก็รีบลนลานกดรับสายในทันที

              “ฮัลโหล พี่ลิ โกรธผมรึเปล่า เป็นยังไงบ้างเมื่อคืน ผมขอโทษนะ” เด็กหนุ่มแสดงความรู้สึกผิดด้วยการพูดไม่หยุดตั้งแต่วินาทีแรกที่รับสาย แต่ปลายสายกลับไม่มีเสียงใดส่งกลับมา เขาพยายามเงี่ยหูฟังให้ดีอีกครั้งทำให้พอได้ยินเสียงที่ลอดผ่านสายโทรศัพท์นั้นมาบ้าง

              อาร์ตตั้งใจฟังเสียงคล้ายวัตถุบางอย่างเคลื่อนตัวไปตามพื้น เสียงของมันคล้ายการเสียดสีของวัตถุสองชนิดแต่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคืออะไร

              “ฮัลโหล พี่ลิ” อาร์ตทักทายซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เบาลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้มะลิวัลย์ยังคงปลอดภัยดีหรือไม่ นี่คือการแกล้งกันของเด็กสาวหรือว่ามันจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอย่างที่เขาสังหรณ์จริงๆ

              “อาร์...ต” เด็กหนุ่มขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัวเมื่อเสียงหนึ่งลอดผ่านโทรศัพท์ออกมา เสียงนั้นแหบพร่าบางเบาจนเกือบจะถูกกลบด้วยเสียงครืดคราดที่ยังดังอยู่ แต่แม้ว่าเสียงนั้นจะเบาสักเท่าไหร่เขาก็ไม่มีทางจำผิดเป็นแน่ อาร์ตแน่ใจว่าเสียงที่เขาได้ยินนั้นคือเสียงของมะลิวัลย์แฟนสาวของตน

              เด็กหนุ่มพยายามตะโกนถามตะโกนเรียกคนที่อยู่ปลายสายให้ตอบรับคำขานของเขาแต่ก็ไร้วี่แววโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เสียงเดียวที่เขาได้ยินคือเสียงเสียดสีของวัตถุบางอย่างและเสียงลมหายใจที่หอบหนักเท่านั้น

              อาร์ตหยิบโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูหน้าจอให้ชัดเจนว่าสายยังไม่ถูกตัดไป หน้าจอโทรศัพท์ของเขาตอนนี้กระพริบเหมือนมันสามารถที่จะพังลงไปได้ทุกเมื่อ อาร์ตจ้องรูปของแฟนสาวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอพร้อมกับชื่อของเธอด้วยความกังวลอย่างบอกไม่ถูก

              เมื่อไม่มีอะไรดีขึ้นอาร์ตจึงรีบหยิบข้าวของออกจากห้องนอนเพื่อไปถึงโรงเรียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยไม่ได้วางสายของมะลิวัลย์ก่อน เขาเสียบหูฟังเข้ากับตัวเครื่องแล้วขี่รถมอเตอร์ไซด์ส่วนตัวมุ่งหน้าไปยังทรัพย์สถิตวิทยาทันที

              ตลอดเวลาบนถนนอาร์ตใจจดใจจ่อกับการจับสังเกตเสียงที่ยังพอให้ได้ยินอยู่อย่างเลือนราง แต่แล้วระหว่างทางนั้นเองสายของมะลิวัลย์ก็ถูกตัดไปดื้อๆ เหลือไว้เพียงหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงกระพริบไม่หยุด

              อาร์ตพยายามที่จะต่อสายกลับไปหาแฟนสาวแต่ก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้โทรศัพท์ของเขาไม่สามารถสัมผัสเพื่อสั่งการใดๆได้เลย สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือต้องรีบไปถึงโรงเรียนให้เร็วที่สุดด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือเขายังหวังว่าจะได้พบกับมะลิวัลย์ที่นั่น และสอง อาร์ตต้องการจะไปยืมโทรศัพท์เพื่อนเพื่อโทรหาเธอ

              ด้วยความร้อนใจทำให้อาร์ตมาถึงโรงเรียนในเวลาไม่นาน ทันทีที่จอดรถได้เขารีบวิ่งตรงไปยังโรงอาหารของโรงเรียนที่ปกติแล้วกลุ่มเพื่อนของพวกเขาจะมานั่งกินข้าวเช้ากันอยู่เสมอๆ

              “เฮ้ยภัทร! กูยืมหน่อยนะ” อาร์ตหยิบเอาโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทที่วางอยู่บนโต๊ะกดเบอร์เพื่อต่อสายหามะลิวัลย์ทั้งที่ตัวเองยังคงหอบจากการวิ่งตรงมาจากโรงรถอยู่ ส่วนภัทรนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นจึงได้แต่หันไปมองหน้าเพื่อนคนอื่นๆที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน

              อาร์ตกระแทกโทรศัพท์ลงกับโต๊ะอย่างอารมณ์เสีย เพราะปลายสายนั้นไม่สามารถติดต่อได้เหมือนกับโทรศัพท์อีกเครื่องได้ถูกปิดไปแล้ว

              “เฮ้ยๆ เดี๋ยว! มึงเป็นอะไร” กล้าเอื้อมมือไปรั้งแขนเพื่อนที่กำลังจะวิ่งออกไปที่ไหนสักที่ไว้ได้ทันอย่างเฉียดฉิว ในตอนแรกอาร์ตไม่ยอมที่จะเล่าอะไรให้เพื่อนๆฟังเพราะต้องกาจะตรงไปยังห้องเรียนของแฟนสาวเดี๋ยวนั้น

              แต่เสียงเดียวก็ไม่สู้กับเสียงอื่นๆที่เหลือ ภัทร ภู กล้า และ นิ้ง บังคับให้เขาต้องเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟังก่อนจึงจะยอมปล่อยให้อาร์ตได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

              หลังจากที่ทุกคนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วบนโต๊ะอาหารนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความเงียบสีหน้าของแต่ละคนดูไม่จืดเพราะกลัวกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน แม้ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันแต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงวันที่ผ่านมายิ่งทำให้พวกเขาอดคิดไม่ได้จริงๆว่ามันจะเกี่ยวข้องกัน

              “ไปอาร์ต กูไปเป็นเพื่อนเอง” กล้าที่ก้มหน้าอยู่เอ่ยปากขึ้นมาพร้อมกับยืนขึ้นด้วยท่าทางขึงขังแต่ทุกคนก็รู้ดีว่ากล้านั้นไม่ได้กล้าสมชื่อ เพราะมือของเขาตอนนี้สั่นและชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ความรักเพื่อนนั้นก็มากพอที่จะทำให้เขากล้าจะก้าวออกจากความกลัวนั้นมาได้

              “กูไปด้วย!” ภูและภัทรพูดขึ้นพร้อมกัน เหลือแต่นิ้งที่ยังนั่งเงียบอยู่กับโต๊ะด้วยท่าทางอ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้า เด็กหนุ่มทั้งสี่คนไม่รอช้ารีบวิ่งออกจากบริเวณโรงอาหารไปในทันทีโดยทิ้งนิ้งไว้ที่ตรงนั้นเพียงลำพัง

              “เราก็อยากไปด้วย” นิ้งได้แต่พูดกับตัวเองเบาๆเพราะไม่กล้าที่จะแสดงออกเหมือนอย่างคนอื่นๆ สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เพราะความกลัวหากแต่เป็นความรู้สึกอื่นที่เข้ามาแทรกความเป็นเพื่อนของเธอนั่นเอง

              “นิ้ง พวกนั้นรีบไปไหนกันน่ะ” ฝนที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทักเพื่อนสาวของเธอด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสี่คนออกวิ่งเต็มฝีเท้าลับสายตาไปเมื่อสักครู่ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้คำตอบ นิ้งก็หันมากอดฝนไว้แน่นซุกหน้าลงที่ไหล่ของเพื่อนรัก ฝนรู้สึกได้ถึงความชื้นที่ข้างแก้มของนิ้ง เธอไม่ถามอะไรได้แต่กอดและปลอบนิ้งไว้เท่านั้น

              อาร์ตที่เป็นนักกีฬาวิ่งนำหน้าเพื่อนๆมาจนถึงหน้าห้องเรียนของมะลิวัลย์ เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั้นอย่างไม่เกรงใจรุ่นพี่คนอื่นๆก่อนจะตรงเข้าไปถามรุ่นพี่คนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด

              เด็กหนุ่มไล่ถามเพื่อนๆของมะลิวัลย์จนแทบจะครบทุกคนแต่ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘วันนี้มะลิวัลย์ยังไม่ได้มาที่โรงเรียนเลย’ อาร์ตตะโกนลั่นห้องเรียนด้วยความไม่พอใจที่หาตัวแฟนสาวไม่เจอ ทุกคนที่ได้ยินคำถามของอาร์ตก็ไม่มีใครกล้าตอบอะไรกลับไปเพราะท่าทางของเขาตอนนี้ดูเหมือนคนที่พร้อมจะซัดหน้าทุกคนที่พูดไม่เข้าหู มากกว่าใบหน้าของคนที่มาตามหาแฟนของตัวเอง

              เมื่อไม่เจออาร์ตและเพื่อนๆจึงรีบออกวิ่งไปยังห้องสมุดซึ่งเป็นสถานที่แห่งสุดท้ายในโรงเรียนนี้ที่มะลิวัลย์จะมาหลบอยู่ได้ แต่เมื่อมาถึงสิ่งที่ได้เห็นก็เป็นคำตอบให้กับพวกเขาได้อย่างดีเพราะประตูห้องสมุดยังคงถูกล๊อกด้วยโซ่เหล็กไว้ตามปกติก่อนที่จะมีบรรณารักษ์หรืออาจารย์ที่เป็นเวรประจำวันมาเปิดให้ใช้งานในตอนเช้า

              “กูว่าพี่เขาอาจจะแค่มาสายก็ได้” ภัทรตบไหล่เพื่อพูดให้กำลังใจ อาร์ตเงียบฟังความคิดเห็นนั้นและก็พอจะทำให้คิดไปทางนั้นได้อยู่บ้างแต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาเลิกกังวลได้เลยแม้สักนิด

              วันนั้นทั้งวันอาร์ตเฝ้าคอยสายโทรศัพท์จากแฟนสาวด้วยการกดเอาโทรศัพท์ของภัทรมาใช้ส่วนตัวหนึ่งวัน เขาเป็นฝ่ายพยายามต่อสายหามะลิวัลย์แทบจะทุกๆห้านาที แต่ทุกสายก็จบลงด้วยเหตุการณ์เดิมๆ เครื่องของมะลิวัลย์ยังคงถูกปิดอยู่

              ในช่วงพักกลางวันทุกคนพากันไปยังห้องเรียนของมะลิวัลย์อีกครั้ง และคำตอบก็คือ ‘วันนี้เธอไม่ได้มาเรียน’ ซึ่งมันผิดวิสัยของคนใฝ่เรียนอย่างเธอมาก และถ้าเธอป่วยหรือไม่สบายยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เธอจะลืมโทรมาลากับอาจารย์ประจำชั้น

              เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า อาร์ตรอให้ถึงเวลาเลิกเรียนด้วยความร้อนใจ เขาตั้งใจว่าทันทีที่โรงเรียนเลิกเขาจะตรงไปยังบ้านแฟนสาวในทันที ไม่ว่าการไปเยือนบ้านของเธอนั้นอาจทำให้เขาได้พบกับพ่อแม่ของมะลิวัลย์ซึ่งไม่เคยพบกันมาก่อนเขาก็ไม่กลัวเลยสักนิดในเวลานี้

              ทันทีที่เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้นอาร์ตก็วิ่งตรงไปยังโรงรถและบิดมอเตอร์ไซด์ออกไปทันที ตลอดทางอาร์ตไม่มีโทรศัพท์แล้ว เพื่อนๆของอาร์ตเองก็ยิ่งเป็นกังวลเพราะกลัวว่าจะติดต่อเขาไม่ได้

              ภัทรและภูที่เป็นห่วงอาร์ตจนทนไม่ไหวจึงตัดสินใจขับรถตามอาร์ตไปห่างๆโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลย

              เด็กหนุ่มเพ่งสมาธิทั้งหมดไว้บนถนนแม้แต่ไฟแดงที่กำลังนับถอยหลังไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนเวลามันผ่านไปเป็นชั่วโมง

              อาร์ตใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมาถึงบ้านของมะลิวัลย์เพราะเขาไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้งนี่คือครั้งแรกและเขาก็มาถึงที่นี่ด้วยความทรงจำเพียงน้อยนิดที่มะลิวัลย์เคยบอกตำแหน่งบ้านของเธอไว้อย่างคร่าวๆ

              สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของทั้งสามคู่นั้นทำให้ภัทรและภูต้องออกจากการสะกดรอยเข้ามาพยุงไหล่ของเพื่อนที่กำลังจะทรุดลงกับพื้นไปทั้งอย่างนั้น

              ที่หน้าบ้านจัดสรรหลังหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ ตอนนี้ทั่วทั้งซอยถูกปิดกั้นไปด้วยรถตำรวจหลายคันรวมถึงชาวบ้านที่มามุงดูกันอย่างหนาแน่น ที่หน้าประตูบ้านนั้นมีคู่สามีภรรยายืนตัวสั่นประคองกันไว้ในอ้อมกอดท่าทางเหมือนกำลังให้ปากคำกับนายตำรวจที่รับหน้าที่มาสืบคดี

              “นี่มันอะไรกันวะ” ภูพูดกับเพื่อนรักด้วยเสียงสั่นๆ ทุกคนไม่รู้ว่าต้องรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมตำรวจถึงได้มาที่บ้านหลังนี้ แต่ใบหน้าของคู่สามีภรรยานั้นอาร์ตจำได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนที่เคยมารับมะลิวัลย์ที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ

              “ป้าครับ เขามุงอะไรกัน” อาร์ตกัดฟันเดินเข้าไปถามชาวบ้านคนหนึ่งที่ยืนมุงดูอยู่ใกล้ๆ

              “ป้าก็ไม่รู้เยอะหรอก แต่เห็นเขาว่าลูกสาวบ้านนี้หายตัวไปตั้งแต่เมื่อเช้า เห็นว่าติดต่อไม่ได้ด้วยไม่รู้หายไปไหน” คุณป้าตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมากกว่าเป็นห่วง

              “ถ้าคนหายมันต้องครบ 24 ชั่วโมงก่อนเขาถึงจะรับแจ้งไม่ใช่เหรอครับป้า” ภัทรที่นึกถึงบทเรียนขึ้นมาได้จึงรีบถามกลับไปทันที

              “ก็นี่แหละที่ทำให้คนแถวนี้มามุงกัน เห็นเขาว่าสภาพภายในห้องนอนของลูกสาวมันน่ากลัวมาก น่าจะมีการทำร้ายตัวเอง ไม่ก็พยายามฆ่าตัวตาย ทางบ้านเลยต้องรีบแจ้งตำรวจนี่แหละ”

              ถ้อยความที่ได้ยินนั้นทำให้ทั้งสามคนรู้สึกหายใจไม่ออก ความกลัวถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ทุกคนมองหน้ากันแล้วคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย “หรือมันจะเป็นเพราะหนังสือเล่มนั้นจริงๆ”

              อาร์ตไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี เขาติดต่อมะลิวัลย์ไม่ได้ แม้แต่พ่อและแม่ของเธอเองก็ติดต่อไม่ได้เช่นกัน ตอนนี้เธอหายไปไหน มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ คำถามเหล่านี้รบกวนจิตใจของเด็กหนุ่มจนแทบคลั่ง

              เด็กหนุ่มนั่งมองนาฬิกาที่เคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า และในที่สุดความอดทนของเขาก็หมดลง อาร์ตคว้ามอเตอร์ไซด์ออกจากบ้านทั้งที่ตัวเองเพิ่งกลับมาถึงได้ไม่นานออกสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง

              อาร์ตขี่รถเข้าออกทุกซอยทุกถนนที่เขาพอจะนึกออกเพื่อตามหาแฟนสาวที่หายตัวไปเหมือนกับคนไร้สติ ซอยแล้วซอยเล่าผ่านไป แม้แต่ถนนที่เขาไม่รู้จักเขาก็กล้าที่จะเข้าไปสำรวจมันอย่างไร้เหตุผล เวลาผ่านไปอย่างช้าๆจนรู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งคืน

              ในขณะเดียวกันท่ามกลางความมืดและความเงียบที่ไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนและการมีอยู่ของเด็กสาว มะลิวัลย์ก้าวเท้าไปตามพื้นปูนที่คุ้นเคย ก้าวแล้วก้าวเล่าอย่างช้าๆและโอนเอน

              ร่างของเด็กสาวบัดนี้สกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินโคลนและก้อนเลือดที่แห้งกรัง มือของเธอมีแต่แผลเหวอะหวะด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง

              เด็กสาวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ร่างกายไม่เจ็บปวดไม่เหนื่อยล้า เธอรู้เพียงเธอกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักที่หนึ่ง ที่ที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนและทำไมเธอจึงจะต้องไปให้ถึงในเวลามืดค่ำอย่างนี้

              ‘พ่อกับแม่จะว่าหรือเปล่าที่เรากลับบ้านดึก’ ความกังวลก่อตัวขึ้นวูบหนึ่งในห้วงความคิดก่อนจะถูกพัดหายไปราวกับหมอกควันที่ไม่เคยมีอยู่ เด็กสาวก้าวเท้าไปบนทางต่างระดับสูงขึ้นไปทีละก้าว

              ไม่นานร่างอันบอบบางของเธอก็มาหยุดยืนอยู่ในที่โล่งแจ้งแห่งหนึ่ง คืนนี้ดาวสวยท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆบัง มะลิวัลย์เงยหน้ามองฟ้าอย่างสุขใจ ร่างกายรู้สึกเบาคล้ายกับภาระและความเครียดที่สะสมไว้เป็นเหมือนเรื่องโกหก

              จู่ๆความเงียบของยามค่ำคืนก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงปี่พาทย์ที่เธอไม่รู้ที่มา หูของเธอได้ยินมันแต่กลับไม่รู้สึกถึงความผิดแผกของสิ่งที่เกิดขึ้น สมองของเธอไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากความเบาสบาย ณ ขณะจิตในตอนนั้น

              เสียงปี่พาทย์ประโคมคึกเร่งจังหวะและน้ำหนักของแต่ละโน้ตให้สูงขึ้นอย่างกระแทกกระทั้น หัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนกับจะหลุดออกมานอกร่างกาย เด็กสาวค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นอย่างช้าๆ ความเลือนรางได้จางหายไป สัมปชัญญะกลับมาประกอบเป็นหนึ่งเดียวจนครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม

              “กรี๊ด!” มะลิวัลย์กรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นว่าพื้นที่เบื้องหน้าคือความว่างเปล่า ปลายเท้าของเธอยืนหมิ่นเหม่อยู่บนขอบปูนเล็กๆกว้างไม่ถึงสองคืบ พื้นดินเบื้องล่างห่างจากปลายเท้าของเธอด้วยความสูงของตึกกว่าสิบชั้น

              เธอพยายามจะพาตัวเองลงมาจากพื้นที่อันตรายตรงหน้าแต่สองขาของเธอกลับไม่ขยับดั่งใจนึก โสตประสาทของเธอถูกขับกล่อมด้วยคีตาอันดุดัน เสียงเครื่องตีเคาะระรัวผสมกับเครื่องเป่าและเครื่องสายที่ร้องโหยหวยคล้ายเสียงของมนุษย์

              ‘สัคเค กาเม จะ รู เป...’ เสียงเสนาะขับขานผ่านสายลมที่พัดกรรโชกกลบเสียงปี่พาทย์ได้อย่างชะงัด เด็กสาวขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัว เธอกรีดร้องด้วยความกลัวพยายามออกแรงก้าวเท้าแต่ก็ทำไม่ได้

              มะลิวัลย์รู้สึกเพียงว่าขาของเธอคล้ายมีอะไรหนักๆถ่วงเอาไว้จนขยับได้ลำบาก เธอไม่ได้รับรู้เลยว่าที่ข้อเท้าขอเธอตอนนี้มีมือสีดำหลายคู่เกาะกุมข้อเท้าของเธอเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

              เสียงสวดระคนกับดนตรีฟังดูน่าขนลุก เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวอย่างสุดชีวิตของเด็กสาวเองคล้ายเครื่องดนตรีอีกชิ้นที่กำลังขับขานสอดประสานกันเป็นบทเพลงเพลงหนึ่งอย่างลงตัว

              ความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความเบาสบาย ร่างกายที่แข็งเกร็งจากการขัดขืนพลันปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง เมื่อไร้แรงต้าน มือสีดำหลายคู่นั้นก็ฉุดเอาร่างของเธอให้ร่วงหล่นจากความสูงของตึกสิบชั้นอย่างอำมหิต

              สติของเด็กสาวล่องลอยพร้อมกับจดจำภาพท้องฟ้าสีดำสนิทอันถูกแต่งแต้มด้วยดาวระยับพร่างพรายคล้าย เพชรนิลจินดาประพรมลงบนผืนกำมะหยี่ก็มิปาน


แสดงความคิดเห็น
แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม


ความคิดเห็น