จิตทั้ง 5 ดวง ต่างมีเส้นทางการดำเนินเรื่องที่แตกต่างกัน ทุกคนได้เห็นอดีต ได้เห็นตัวตนเก่าของตัวเองในชาติก่อน ความทรงจำทั้งเก่าและใหม่กำลังปะปนกันจนยากจะแยกแยะ เรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ถูกเล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วคล้ายกับม้วนวิดีโอที่ถูกเลื่อนไปข้างหน้า แต่ท้ายที่สุดแล้วปลายทางของความทรงจำเหล่านั้นจะมาบรรจบด้วยสถานที่เดียวกัน
ภาพและมุมมองที่ทุกคนได้เห็นนั้นแตกต่างกันออกไป แต่มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน พวกเขากำลังร่วมรับรู้เหตุการณ์ผ่านความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ภายใน เหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ กงกรรมที่กลับมาทวงถามพวกเขาทุกคนในชาตินี้
วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส มีลมโชยอ่อน ๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นทาบทับทุกอณูของร่างกาย ภาพที่ภัทรได้เห็นย้อนกลับมาในวินาทีเดียวกับเมื่อครั้งก่อนหน้าที่เขาตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล เสียงสวดและกลิ่นหอมของธูปโชยไปทั่วบริเวณ สัมผัสอันอบอุ่นจากอ้อมแขนของเพื่อนรักยังคงกระชับแน่น
ที่ตรงลานกว้างนั้นมีหลุมใหญ่ถูกขุดเอาไว้กว้างเพียงพอที่จะทำสระว่ายน้ำได้สระหนึ่ง หากแต่ลึกกว่ามาก เขาทั้งสองเดินไปตามเสียงเรียกจากด้านหน้าของปะรำพิธี ที่ตรงนั้นมีคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว คราวนี้ภัทรได้พินิจมองพวกเขาอย่างจริงจัง แม้จะแตกต่างแต่ไม่มีวันที่จะจำผิดไปได้...กล้า อาร์ต นิ้ง แม้แต่ฟ้าก็นั่งอยู่ตรงนั้น ทุกคนอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ดูไม่คุ้นตา
“รออะไรอยู่ รีบไปกันเถอะ”
เสียงที่ฟังดูคุ้นหูดังมาจากคนข้าง ๆ อีกครั้ง ภัทรในร่างของใครสักคนหันไปมองใบหน้าของเจ้าของเสียง ‘ภู’ เขาจำได้ในทันที แม้ว่าช่วงของอายุจะต่างจากภาพจำในปัจจุบัน แต่หากพวกเขาได้โตขึ้นกว่านี้อีกสักสิบปีหรือยี่สิบปี พวกเขาก็คงจะมีใบหน้าอย่างที่ได้เห็นอยู่ในตอนนี้เป็นแน่
ภัทรนั่งลงบนตั่งไม้ ขณะที่ฟ้าใน ‘เวลานั้น’ ขยับที่ว่างข้าง ๆ ตัวให้เขานั่งด้วยกัน เมื่อนั่งลงแล้วเธอก็วางมือตัวเองลงบนมือของเขา เกาะกุมกันไว้แน่นพลางเอียงหัวซบลงที่ไหล่อย่างคุ้นเคย ภาพนั้นยืนยันถึงความรู้สึกผูกพันที่ทั้งสองต่างมีให้กันมาตลอดตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบหน้ากัน มันยังคงเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาแม้จะผ่านพ้นวันเวลามาเนิ่นนาน หรือที่จริงแล้วมันคือผลกรรมที่ทั้งคู่ได้ร่วมก่อจึงต้องมาพบกันอีกครั้งในชาตินี้กันแน่...เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะตอบ
เสียงสวดของพระภิกษุจำนวนมากยังคงดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ ทุกคนนั่งนิ่งสงบฟังเสียงสวดนั้น ทำให้มนต์พิธีดูเข้มขลังและทรงพลังอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แม้แต่จิตของผู้ร่วมพิธีเองยังล้วนแต่มุ่งหมายในสิ่งเดียวกัน สิ่งที่ภัทรยังนึกไม่ออกแต่จำได้ว่ารู้อยู่ในส่วนลึกของวิญญาณ
“อีกไม่นานหรอกสหาย เราจะพบแต่ความมั่งคั่ง มั่นใจเถอะ” อาร์ตในเวลานั้นหันมากระซิบกับภัทรที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จังหวะที่เขาเอี้ยวตัวโน้มลงมาทำให้ได้เห็นอีกชีวิตหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่เป็นบนพื้นในระดับที่ต่ำลงไป ไม่ได้นั่งบนตั่งไม้เหมือนอย่างเขา แต่เพียงแค่นั้นเขาก็จำเธอได้ดี...นั่นคือมะลิ เธอยังคงดูเรียบร้อยและน่ารักตามแบบฉบับของเธอ ข้างกันนั้นมีนิ้งนั่งอยู่ในท่าทีสง่าเพื่อกดและข่มผู้หญิงอีกนางหนึ่งที่เธอริษยาสุดขั้วหัวใจ ก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่ากัน มีหรือที่บ้านใหญ่จะลดราวาศอกให้กับบ้านน้อย ยิ่งฝ่ายชายดูจะมีไมตรีให้กับบ้านน้อยมากกว่าแล้ว ยิ่งทำให้เธอไม่อยากจะมองหน้าสิ่งมีชีวิตคนนี้ที่เธอไม่อยากจะนับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
พิธีกรรมดำเนินไปอีกชั่วครู่ กระบวนพิธีก็ถูกเปลี่ยน พระภิกษุจำนวนมากถูกเชิญออกจากบริเวณหลังจากรับถวายปัจจัยและสังฆทานตามที่เจ้าของพิธีกรรมได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ ทุกคนลุกขึ้นยืนประนมมือน้อมส่งพระคุณเจ้าด้วยใจเคารพ อย่างไรเสียพุทธศาสนายังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวในหัวใจของชาวไทยมาแต่โบราณยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อภิกษุลับสายตาไปจากบริเวณของตัวอาคารที่กว้างใหญ่นี้แล้ว ประตูไม้บานใหญ่ด้านหน้าที่มีคนเฝ้าอยู่ก็ถูกปิดสนิท หนำซ้ำยังเพิ่มกำลังคนเฝ้ายามขึ้นอีกสองเท่าทั้งด้านนอกด้านใน
ด้านหนึ่งของปะรำพิธี มีพลับพลาถูกสร้างด้วยผ้าขาวสะอาดถูกปิดไว้รอบด้านมาตลอดตั้งแต่พิธีเริ่ม เมื่อถึงเวลาอันประจวบเหมาะ ม่านจากผ้าดิบสีขาวค่อย ๆ ถูกเปิดออก เผยให้เห็นคนที่นั่งอยู่ข้างใน ร่างกายอันกำยำนั้นดูขัดกับใบหน้าที่เหี่ยวย่นของคนวัยชรา ทั้งภาพลักษณ์ยังดูน่าเกรงขาม
‘พราหมณ์ผู้ประกอบพิธี’ เดินตรงเข้ามายังที่นั่งของพวกเขา ก้มศีรษะให้หนึ่งครั้งแทนความเคารพ ภัทรได้เห็นใบหน้านั้นเพียงแวบหนึ่งก็พลันระลึกถึงผู้ที่เพิ่งได้พบและเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ‘หลวงพ่อแม้น’ ใบหน้านั้นไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาเลยสักนิดเดียว มีเพียงผมเผ้าที่ยาวสลวยมวยเป็นจุกเอาไว้เหนือกระหม่อมและเคราที่ยาวลงมาจนเกือบถึงช่วงอกเท่านั้นที่แตกต่าง
สังข์และฆ้องส่งเสียงก้องให้สัญญาณเริ่มพิธีกรรมหลักของงานในวันนั้น พราหมณ์ก้มลงกราบที่พื้นอัญเชิญพระแม่ธรณีมาเปิดปะรำพิธีตามตำรา จากนั้นจึงเชิญพระเพลิงและพระพายมาประกอบ ตามด้วยการอัญเชิญเทวดามาประสิทธิ์ลานพิธีให้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก ตามคำอธิบายของเจ้าพิธีที่คอยแจ้งให้ผู้ร่วมพิธีได้ทราบทุกการเคลื่อนไหว
“สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข...ข้าแต่เทพยาดาฟ้าดิน โปรดสดับรับคำอ้อนวอนจากเบื้องล่าง โปรดส่งสาสน์ให้ก้องกังวานไปทั่วพิภพ บัดนี้ข้าจักอัญเชิญเหล่าเทวามารับเครื่องเซ่นสังเวยอันล้ำค่า เป็นตัวแทนความมั่งคั่งที่ท่านจักบันดาลมีให้แก่ผู้ร่วมประกอบพิธีในเพลานี้” สิ้นเสียงนั้น สังข์ในมือก็ถูกเป่าขึ้นสามครั้ง ตามด้วยเสียงมโหรีปี่พากย์บรรเลงท่วงทำนองตามตำราที่สืบทอดกันมาในหมู่พราหมณ์
ฝ่ายพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีพากันกลับมายังตั่งไม้ของคนทั้งเจ็ด ก่อนก้มหัวให้อีกหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณ อาร์ตในวัยที่โตกว่าลุกขึ้นยกมือข้างหนึ่งให้สัญญาณชายแก่อีกคนที่ยืนรออยู่ห่างออกไปที่สุดขอบปะรำพิธี ชายชราท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ วิ่งตรงไปยังประตูไม้บานหนึ่งที่ตั้งตระหง่านฝั่งตรงข้ามกับที่เจ้าพิธียืนอยู่
กลอนแบบขัดที่ทำจากไม้เนื้อแข็งท่อนใหญ่ ถูกยกออกจากประตูอย่างทุลักทุเล แต่ทันทีที่ประตูบานนั้นถูกปลดออก ก็ปรากฏเสียงโหยหวนของคนกลุ่มใหญ่ดังมาจากหลังบานประตูนั้น
ภาพที่ปรากฏสู่สายตาของภัทรคือผู้คนจำนวนมากหลากหลายช่วงอายุ มีทั้งคนแก่ คนหนุ่ม ไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ บางคนเป็นแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมอกขณะร้องไห้วิงวอนขอชีวิต จากการแต่งตัวที่สกปรกและไร้สีสันนั้นดูออกไม่ยากว่าพวกเขาคงจะเป็นชนชั้นล่างหรือไม่ก็ทาสในยุคนั้น
เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านั้นคือทหารพร้อมดาบและหอกในมือ ซึ่งมันไม่ได้ถูกใช้เพื่อปกปักษ์รักษาความปลอดภัยให้แก่ใคร แต่พวกเขาใช้มันเพื่อกรีดและเฆี่ยนแทงเหล่าทาสให้ก้าวเท้าเดินไปยังที่ว่างเบื้องหน้า...ใช่แล้ว มันคือหลุมที่เด็กหนุ่มได้เห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้กลับมาในช่วงเวลานี้ หลุมเหล่านั้นไม่ได้ถูกขุดไว้เติมน้ำหรือบรรจุข้าวของใด หากแต่เป็นหลุมสำหรับถวายเครื่องเซ่นสังเวยในพิธีกรรมนี้
คนแล้วคนเล่าถูกถีบถูกแทงผลักให้ตกลงไปในหลุม เสียงโอดครวญของความเจ็บปวดผสมกับเสียงร้องไห้ของผู้คนฟังดูน่าขนลุกและเกินกว่าสามัญสำนึกของคนทั่วไปจะยอมรับได้ ภัทรรู้สึกอยากอาเจียน แต่เขาไม่ได้เป็นผู้ควบคุมกายหยาบที่ตั้งอยู่ในช่วงเวลานั้นจึงทำได้เพียงแค่รู้สึก
“ฉันไม่ไหวแล้ว” เสียงที่คุ้นหูดังมาจากด้านข้าง ฟ้าในยามนั้นก้มหน้าเอามือปิดปากไม่กล้ามองภาพอันโหดร้ายเบื้องหน้าได้เหมือนคนอื่น ๆ แม้ว่าตนจะเติบโตมาในบ้านที่ร่ำรวยมั่งคั่งรายล้อมด้วยบริวารมากมาย แต่การสังหารหมู่อย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ
“ได้โปรด...ได้โปรดอย่าทำพวกข้าเลย เวทนาข้าด้วย” เสียงร้องขอความเมตตายังคงดังอยู่โดยไม่มีช่องว่างให้ใครได้พูดแทรกขึ้น แม้เสียงปี่พาทย์ที่บรรเลงอยู่จะประโคมดังสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจกลบเสียงแห่งความทรมานเบื้องล่างได้ ภัทรมองผ่านดวงตาที่เคยเป็นของตนเมื่อนานแสนนานมาแล้ว รับรู้ภาพและเหตุการณ์ที่ตนได้เป็นส่วนหนึ่งในตอนนี้
“เครื่องเซ่นสังเวยเหล่านี้ข้าขอถวายแด่พระแม่คงคา!” เสียงตวาดกังวานก้องไปทั่วปะรำพิธี ชายแก่คนเดียวกับที่เปิดประตูให้เหล่าทาสวิ่งอ้อมมาเปิดบานประตูไม้อีกบานหนึ่งที่อยู่ต่ำกว่าระดับเท้าลงไป และเมื่อชายคนนั้นเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะสายตา ภัทรก็ได้รู้ว่านั่นคือ ‘ลุงเจียด’ ภารโรงที่เพิ่งได้พบกัน เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนี้ หากแต่เป็นเพียงเบี้ยทาสคอยทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้น
เมื่อทำนบไม้ถูกยกให้สูงขึ้น กระแสน้ำเชี่ยวก็ไหลทะลักเข้ามาภายในหลุมดินน้ำ ระดับน้ำเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วเพราะความแรงของกระแสน้ำ เหล่าทาสต่างพยายามตะเกียกตะกายหาทางรอด แต่หลุมดินนั้นลึกเกินกว่าที่จะเอื้อมถึง บางคนที่แข็งแรงหน่อยพยามเหยียบหัวเหยียบหลังเพื่อนพลางเกาะกุมเศษดินเศษหินด้านข้างของหลุมตะเกียกตะกายปีนขึ้นจนเล็บเปิดมีแผลเปรอะเต็มมือไปหมด แต่เมื่อขึ้นถึงขอบหลุมได้ก็จะโดนดาบโดนหอกจากทหารเหล่านั้นทิ่มแทงจนร่วงลงไปในหลุมดินอีกอยู่ดี
เพียงชั่วอึดใจ หลุมดินก็ถูบรรจุด้วยน้ำจนเต็ม จากนั้นทำนบไม้จึงถูกกั้นไม่ให้น้ำส่วนเกินไหลเข้ามา หลายชีวิตดิ้นทุรนทุรายอยู่ใต้ผืนน้ำ คนที่ว่ายน้ำเป็นต่อให้พยายามตะเกียกตะกายสักเพียงใดก็ต้องถูกดาบหอกอันแหลมคมผลักลงไปพบจุดจบที่ก้มหลุมนั้นไม่เว้นแม้แต่คนเดียว
ภัทรยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วคลองสายตานั้นก็เปลี่ยนไป เพราะคนทั้งเจ็ดผู้เป็นเจ้าของที่ดินและพิธีนี้ต่างยืนขึ้นแล้วเดินไปตรงข้างหลุมดินที่ตอนนี้ถูกเติมเต็มด้วยน้ำและร่างไร้วิญญาณของเหล่าทาสหลายชีวิต พราหมณ์บริกรรมมนต์ครอบจิตมัดวิญญาณของทุกชีวิตที่เพิ่งดับไปนั้นเอาไว้กับที่ไม่ให้ผุดให้เกิด สาปให้กลายเป็นรากฐานของความมั่งคั่งดั่งความเชื่อของคนโบราณที่ยากจะเข้าใจ
เจ็ดชีวิตยืนอยู่ที่ขอบหลุมก้มมองร่างเบื้องหน้าที่ลอยเคว้งไร้ชีวิต จิตหนึ่งของภัทรซึ่งคาดว่าจะเป็นจิตในปัจจุบันนั้นปรากฏความรู้สึกหวาดหวั่นและกลัว แต่อีกจิตหนึ่งที่ฝังอยู่ในกายเนื้อกลับลิงโลดด้วยความปรีดา สองจิตตีกันจนเกิดความรู้สึกสับสน ทว่าสุดท้ายมันก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ความคิดทั้งหลายดับวูบเหลือเพียงความว่างเปล่า เพียงรับรู้และเฝ้ามอง ไร้ซึ่งสัมปชัญญะใดในการไตร่ตรอง
“พิธีในวันนี้เป็นอันเสร็จสิ้น วันนี้เราถวายเครื่องเซ่นแด่พระแม่คงคาผู้เป็นเจ้าแห่งสายน้ำ เราจะหากินกับแม่น้ำ สายน้ำจะนำพาเงินทองมาให้เรา นี่คือยุคทองของการค้า จะฝรั่งมังค่าหรือชนชาติใดล้วนแล้วแต่อาศัยผืนน้ำในการเดินเรือ เราจะเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่งที่สุด ที่นี่! พวกข้า! จะเป็นเจ้าของท่าเรือซื้อขายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดให้จงได้ ทุกอย่างจะต้องสำเร็จด้วยการบวงสรวงถวายเครื่องเซ่นสังเวยตลอดสิบวันสิบคืน!” อาร์ตประกาศกร้าวต่อหน้าผู้ร่วมพิธีทุกคน และนั่นคือจุดเริ่มเรื่องราวทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มขึ้นที่นี่ ที่ดินผืนนี้ ด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง
เมื่อสิ้นการปราศรัยของผู้นำ สายตาทุกคู่กลับมาจับจ้องศพไร้ชีวิตเบื้องล่างของหลุมดิน ภาพน้ำที่เคยใสตอนนี้เริ่มขุ่นเพราะมือเท้าเหล่านั้นตะกายเอาดินข้างหลุมลงมากระจายตัวอยู่ภายใน พลันนั้นจู่ ๆ ภาพหลุมดินเบื้องหน้าก็สั่นไหวคล้ายกับอาการคลื่นแทรกในโทรทัศน์ ภาพแสงสว่างยามเช้ากำลังถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศยามค่ำคืน หลุมดินหลุมเดิมแต่อยู่ท่ามกลางความมืดนั้นปรากฏเป็นเงาร่างหนึ่งดิ้นทุรนทุรายอยู่ก้นหลุม สายตาทุกดวงที่จ้องมองมันอยู่เบิกกว้างพลางตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ไอ้กล้า!”
สติของทุกคนถูกกระชากกลับมาเพราะเห็นเพื่อนรักที่กำลังทรมานอยู่ในหลุมดินนั้น ภาพนั้นแม้เห็นเพียงช่วงสั้น ๆ ก็จำได้ว่ามันคือเศษซากของอาคารเก่าที่เพิ่งเกิดเหตุไฟไหม้ไปเมื่อคืนก่อนหน้านี้ ทุกคนนั่งหอบหายใจอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมพยายามสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เรียกเอาสติและเรี่ยวแรงกลับมา
“นี่มันเรื่องจริงใช่ไหมวะ มึงได้เห็นพิธีอะไรนั่นเหมือนกันไหม ?” ภูถาม ทุกคนพยักหน้ารับ ยกเว้นนิ้งที่นั่งนิ่งไร้ซึ่งความประหลาดใจใด ๆ เธอหันไปยิ้มให้กับอาร์ต ขณะที่ฟ้ามองใบหน้าของเพื่อนสนิทของเธอด้วยความรู้สึกขนลุก แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับถูกกลบด้วยภาพอันติดตาของพิธีกรรมนอกรีตนั้นจนเด็กสาวต้องอาเจียนออกมากลางห้องเรียน
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ไอ้กล้า! เราต้องไปช่วยไอ้กล้า!” อาร์ตตะโกนเสียงดัง ทำท่าจะวิ่งออกจากห้องเรียนไป แต่ภัทรเอื้อมมือรั้งเอาไว้ก่อน ทั้งสองคนเถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีใครยอมถอยให้แก่กัน ภัทรไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้เห็นนั้นจะเป็นจริง ต่อให้มันเป็นจริง ต่อให้หลุมดินนั้นมีจริง แล้วกล้าจะเรียกพวกเขาให้ไปหาทำไม หรือต่อให้กล้าเรียกจริง แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้
“จะห่าจะเหวอะไรก็ช่างแม่งมันเหอะ! กูจะไปที่นั่น!” อาร์ตเริ่มไร้เหตุผลไม่ฟังความใด ๆ
“อาร์ต! มึงตั้งสติหน่อย มึงยังใช่ไอ้อาร์ตไหม ? ใช่อาร์ตเพื่อนกูใช่ไหม!” ภัทรสุดจะทนกับความผิดปกติของเพื่อนรักจนเผลอตะคอกใส่หน้า เด็กหนุ่มนักกีฬาคนนั้นเงียบ ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธก่อนจะกระชากคอเสื้อภัทรเข้ามาใกล้
“หลังจากมันเกิดเรื่องทั้งหมดนี่ มึงยังแน่ใจอีกเหรอว่ามึงคือมึง...แล้วมึงคือคนไหนล่ะ ไอ้ภัทรที่นั่งเรียนอยู่หลังห้อง หรือไอ้ผู้ชายคนนั้นที่ยืนมองคนจมน้ำตาย...คนไหนล่ะ ? มึงตอบกูมาสิ!” อาร์ตพูดจบแล้วก็ออกแรงผลักจนภัทรล้มลงไปกับพื้นแล้ววิ่งออกไปนอกห้องเรียนโดยมีนิ้งตามไปติด ๆ
ภัทรหันไปมองภูที่ดูจะกลับมาเป็นปกติที่สุดแล้วในเวลานี้ ภัทรเองก็เกือบจะขาดสติ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์อะไรเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาหันไปตะคอกใส่ภู
“มึงไม่มีของวิเศษอะไรช่วยพวกเราได้เลยเหรอวะ เหมือนอย่างตอนที่บ้านพี่มะลิไง เอาออกมาสิ! เราจะตายห่ากันหมดอยู่แล้ว!”
“ไม่มีโว้ย! สีผึ้งอันนั้นกูก็ขโมยมาและหายไปแล้วด้วย ตอนนั้นที่ใช้ก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่ามันจะได้ผล มึงอย่ามาคาดคั้นเอาอะไรกับกูสิวะ!” เมื่อความตายปรากฏชัดอยู่เบื้องหน้า เมื่อได้รับรู้ถึงสิ่งที่ตนได้กระทำ ความกลัวและความรู้สึกผิดมากมายก็ถาโถมเข้าใส่เกินกว่าจะปรับอารมณ์คิดและไตร่ตรองสิ่งใดได้ทัน แต่กรรมก็คือกรรม ไร้ซึ่งความปราณี ไม่ปล่อยให้ได้มีเวลาคิดหาทางออก เพราะในวันนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ให้เวลาหรือโอกาสแก่ทาสเหล่านั้นเช่นกัน
สุดท้ายแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนท่ามกลางความรู้สึกมากมายที่สับสนคือคำว่า ‘เพื่อน’ เด็กทั้งสามกัดฟันเรียกเอาเรี่ยวแรงเท่าที่มี ก้าวเท้าวิ่งออกจากห้องตามหลังอาร์ตและนิ้งไป ก่อนที่สองคนนั้นจะลงมือทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด
อากาศภายนอกเย็นเฉียบ เสียงฝนโปรยปรายโหมกระหน่ำทำเอากิ่งไม้และใบไม้ไหวเอนไปตามลม เสียงของลมกรรโชกที่ลอดผ่านช่องว่างของตัวตึกและกิ่งไม้ขับขานคล้ายเสียงสวด เสียงโอดครวญของเหล่าสัมภเวสีที่ตอนนี้ถูกปลดปล่อยออกมาจากหลุมดินหลังจากอาคารที่ถูกใช้เป็นเหมือนสลักสะกดและแท่นถวายเครื่องเซ่นถูกทำลายลงไป
ภัทรกุมมือของฟ้าไว้แน่น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากที่จะปกป้องผู้หญิงคนนี้เอาไว้ให้ได้ ยิ่งเมื่อได้เห็นภาพในอดีตเหล่านั้นแล้ว เขายิ่งมั่นใจว่าความรักที่เกิดขึ้นระหว่างเขาสองคนมันล้ำค่าขนาดไหน แต่ยังไงเสียเขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าตอนนี้ในหัวสมองของเขายังคงมีความผิดปกติหลงเหลืออยู่ ภาพทิวทัศน์โดยรอบบริเวณโรงเรียนในสายตาภัทรนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะมันกำลังถูกซ้อนทับด้วยภาพของปะรำพิธีและโครงสร้างอาคารในวันวานอย่างเช่นที่ปรากฏในห้วงความทรงจำ
ภัทรพยายามรับมือกับความทรงจำที่กำลังทับซ้อนกันของตัวเอง เรื่องบางอย่างเลือนหายไปจากหัว บางอย่างถูกเพิ่มเข้ามา ทั้งหมดนั้นยากเหลือเกินที่จะแยกแยะ แต่สองเท้านั้นต้องวิ่งไปให้เร็วที่สุดเพื่ออะไรบางอย่าง เพื่อสักหนทางที่มันอาจจะมีทางออกให้กับเรื่องนี้ เด็กหนุ่มก้มมองสมุดเล่มนั้นในมืออย่างครุ่นคิด...หรือรายชื่อที่เราได้เห็น...คือรายชื่อของคนพวกนั้น ?
ลัดเลาะผ่านมุมตึกมา อาร์ตก็พบกับซากปรักหักพังของอาคารเก่าที่ถูกไฟไหม้ เขากระโจนข้ามสิ่งกีดขวางแล้วหยิบเอาเศษไม้ที่ไหม้เป็นตอตะโกโยนมันออกไปให้พ้นทาง จากนั้นพยายามขุดหาหลุมดินที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่าง ซึ่งแท้จริงแล้วสาเหตุที่เด็กหนุ่มทำอย่างนี้ ไม่ได้เป็นเพราะอยากจะพบกับเพื่อนรักที่เพิ่งจากไป แต่เป็นเพราะเสียงที่ดังกรอกหูของเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาจากห้วงความจำนั้น
“ขุดสิ...ขุดสิ...ขุดสิ” ถ้อยคำสั้น ๆ ดังซ้ำ ๆ ไปมาค่อย ๆ ซึมลึกเข้าสู่สมองอย่างปฏิเสธไม่ได้ จิตที่แตกสลายไร้การควบคุมจึงถูกแทรกแซงด้วยจิตอื่นที่มีกำลังสูงกว่า เด็กหนุ่มยังคงใช้มือเปล่าสองข้างนั้นหยิบทั้งเศษไม้เศษตะปูโยนพวกมันออกจากซากอาคารจนมือของตนนั้นมีเลือดไหลเป็นทาง
ภัทรและคนอื่น ๆ ตามมาถึงในไม่กี่นาทีถัดมา พอเห็นภาพนั้นก็รีบเข้ามาล็อกแขนเพื่อนที่กำลังเสียสติเอาไว้ให้หยุด แต่เหมือนจะไม่ได้ผล อาร์ตสะบัดเพื่อนทั้งสองคนกระเด็นออกไปไกลจนล้มกระแทกกับพื้น ขณะที่ฟ้าได้แต่มองภาพนั้นและนั่งร้องไห้ โดยปกติแล้วเธอจะเป็นคนที่คอยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ยามที่เพื่อนชายมีปากเสียงกันตามวัย แต่ความอ่อนโยนนั้นกลับใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้
“อาร์ต เรารู้ที่เก็บอุปกรณ์ช่าง มันน่าจะมีของที่ใช้ประโยชน์ได้นะ” นิ้งพูดพร้อมกับรอยยิ้มอันน่าขนลุกเหมือนทุกครั้ง อาร์ตนิ่งฟังพลางจ้องใบหน้านั้น คิดอะไรไม่ออกเหมือนถูกมนต์สะกด สมองไม่ประมวลผลใด ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองขยับไปตามเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว
“ไปสิ ตามไป”
นิ้งเดินนำไป โดยมีอาร์ตในท่าทีเหม่อลอยเดินตามอยู่เบื้องหลัง ภาพนั้นทำเอาเพื่อนทั้งสามที่เฝ้ามองเหตุการณ์นั้นอยู่ถึงกับขนลุกด้วยความกลัว
“นิ้งกับอาร์ตเป็นอะไรไปแล้ว...” ฟ้าหันไปถามภัทร ทั้งที่รู้ดีว่าเขาเองก็ไม่มีคำตอบใดให้กับเธอได้
อาร์ตที่เดินพ้นบริเวณของอาคารเก่านั้นมาแล้ว พลันกลับมาได้สติอีกครั้ง ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องชมรมงานช่าง ข้างในมีข้าวของมากมายที่น่าจะมีประโยชน์ในการขนย้ายเศษซากปรักหักพังตรงนั้น เด็กหนุ่มหันไปหยิบจับควานหาเครื่องมือที่ต้องการ โดยไม่ได้สังเกตเห็นเด็กสาวที่ยืนยิ้มอยู่เบื้องหลังของตนเลยสักนิด
“อาร์ต รักเราไหม ?” นิ้งเอ่ยถามและยิ้มหวานให้คนรักของเธอ
“นะ...นิ้ง ตกใจหมด! มันใช่เวลาเล่นไหมเนี่ย มาช่วยกันก่อนเร็ว!” เด็กหนุ่มตกใจไม่ทันได้ตั้งตัว
“อาร์ตรักเราไหม ?” เด็กสาวถามย้ำ
“นิ้ง! มันใช่เวลาไหม มาพูดเรื่องบ้า ๆ อะไรตอนนี้!”
ประโยคนั้นทำให้รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของเด็กสาว เธอเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลัง ยืนมองแผ่นหลังที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดฝนอย่างรักใคร่และโกรธแค้น ก่อนจะเหลือบตาไปเห็นค้อนเหล็กอันหนึ่งวางอยู่บนพื้นข้าง ๆ กับเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการสร้างมันให้เป็นรูปเป็นร่างเพื่อใช้งานได้
“อ๊าก!”
เด็กสาวกระชับค้อนเหล็กไว้ในมือแน่น แล้วเหวี่ยงมันด้วยแรงทั้งหมดที่มีเข้าที่ขมับข้างหนึ่งของอาร์ต เด็กหนุ่มดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด มือเท้าชาไปหมดจากแรงกระแทกอย่างรุนแรงที่บริเวณศีรษะ ก่อนที่นิ้งจะก้าวขาขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนอกของอาร์ต แล้วออกแรงฟาดค้อนเหล็กนั้นลงไปที่ขมับอีกข้างหนึ่ง
“เรื่องบ้า ๆ งั้นเหรอ...อาร์ตได้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ เรารักกัน...เรารักกันมานานแล้ว ตั้งแต่ชาติที่แล้ว ถ้าไม่มีมะลิ ถ้าไม่มีเมียน้อยนั่น อาร์ตก็จะเป็นของเราคนเดียว แม้แต่ในชาตินี้ มันก็ยังตามมารังควานเราอีก หลังจากมันตายไป นิ้งคิดว่าจะไม่มีใครมาขวางเราได้อีก แต่อาร์ตก็ยังเอาแต่คิดถึงมัน จนในที่สุดก็มีคนมาบอกวิธีนี้ให้กับนิ้ง”
หัวสมองของอาร์ตมึนเบลอ รับรู้เพียงความเจ็บปวด ถ้อยคำของเด็กสาวนั้นเขารับรู้ได้เพียงบางคำจึงยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวใด ๆ ได้
“วันนั้นเขามาบอกวิธีนี้ให้กับนิ้ง วิธีที่จะทำให้อาร์ตจำได้ว่าเรารักกันมากขนาดไหน ทุกอย่างมันถูกเขียนเอาไว้ในสมุด เหมือนกับที่คนนั้นบอก นิ้งทำทุกอย่าง นิ้งปล่อยพวกมันออกมา ให้พวกมันช่วยทำให้เราได้เห็นความจำในชาติก่อน ชาติที่เรารักกัน เป็นผัวเมียกัน อาร์ตจะได้จำได้ไง...อาร์ตตอบเราสิ อาร์ตรักเราไหม ?” ตอนนี้เด็กสาวได้เสียสติไปแล้ว ไม่เหลือสามัญสำนึกของการเป็นมนุษย์อยู่อีกต่อไป
“พี่...ลิ” อาร์ตเอ่ยปากเรียกเงาร่างหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นและนั่งอยู่เคียงข้างเขา ดวงวิญญาณของเด็กสาวในสภาพอันน่ากลัวเหมือนยามที่เธอจากไป โอบกอดศีรษะที่เลือดไหลนองนั้นไว้อย่างแผ่วเบาด้วยความรักอันบริสุทธิ์
“อาร์ตยังจะพูดถึงมันอีกเหรอ...ได้! ถ้าชาตินี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถ้าอาร์ตจำไม่ได้ งั้นชาติหน้าเรามารักกันเถอะ เรามาตายด้วยกัน ไปเกิดใหม่ในชาติหน้าพร้อม ๆ กัน เราจะต้องได้เกิดมาคู่กันอีกแน่ ๆ” นิ้งเสียสติไปแล้วจริง ๆ เธอเหวี่ยงค้อนขึ้นเหนือหัวทุบลงมาที่ศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างสุดแรงอีกครั้ง...และอีกครั้ง
อาร์ตเหม่อมองใบหน้าของมะลิที่ยังคงสวยงามเหมือนทุกครั้งที่ได้มอง สมองรับรู้ถึงแรงสะเทือนที่ดังอยู่ในหูแต่ไม่รู้สึกเจ็บใด ๆ แต่แล้วภาพของมะลิก็เลือนหายกลายเป็นภาพของหลุมดินหลุมเดิม ทว่าครั้งนี้ในนั้นไม่ได้ถูกบรรจุด้วยน้ำ แต่ยังคงมีเหล่าทาสเหมือนครั้งที่ผ่านมา สิ่งที่เขาได้เห็นคือแววตาอันโกรธแค้นและสาปแช่งของเหล่าทาส ท่อนไม้ใหญ่ ๆ ถูกทหารเหวี่ยงและทุบลงไปตามร่างของทาสแต่ละคนไม่สนว่าชายหรือหญิง ก่อนจะถีบให้หล่นลงไปในหลุม จากนั้นตอกซ้ำด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่ และก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงลงไปในหลุม อาร์ตได้ยินเสียงของเขาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
“กูขอสาปแช่ง ให้มึงโดนเหมือนกู!”
ก่อนที่สติของอาร์ตกำลังจะดับไป กลุ่มควันในห้องวนเวียนก่อเกิดเป็นรูปร่างของชายหญิงหลายคนในชุดเก่า ๆ สกปรกมอซอไม่ต่างอะไรจากพวกทาสเหล่านั้น พวกมันช่วยกันจับมือของนิ้งเงื้อค้อนขึ้นและกดให้ลงอยู่อย่างนั้นอีกหลายครั้ง ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดใด ๆ อีกต่อไป
นิ้งมองร่างของคนรักที่บูดเบี้ยวไปด้วยแผลจากแรงกระแทกจนจำแทบไม่ได้ เธอยิ้มเหมือนยอมรับในชะตาและเปี่ยมด้วยความหวังว่าการกลับมาใหม่ในชาติหน้าจะนำพาพวกเธอทั้งสองคนให้มาพบกัน เหมือนอย่างที่เธอได้ทำสัญญาต่อรองกับเหล่าดวงวิญญาณสัมภเวสีเหล่านั้นไว้ในครั้งที่ก่อเหตุวางเพลิง
“หากชาตินี้ไม่สมหวัง...ชาติหน้าขอให้เราได้คู่กัน”
เด็กสาวหมุนวาล์วถังแก๊สในห้องคหกรรมที่อยู่ติดกับห้องงานช่างจนสุด กลิ่นหอมของแก๊สหุงต้มคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ถังแล้วถังเล่าถูกเปิดรวมถึงเชื้อเพลิงอื่น ๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้ในโรงเก็บของทั้งงานช่างและการเกษตร เธอหันไปมองร่างของอาร์ตเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะใช้มือหมุนบิดสวิตช์ของเตาแก๊สที่เธอเคยใช้มันฝึกทำอาหารและขนมในห้องนี้เพื่อเป็นชนวนในการจบชีวิตของเธอและคนรัก
ตูม!
แรงระเบิดปะทุขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำในยามค่ำคืน ซ้ำร้ายที่ตึกรอบข้างนั้นยังมีรถยนต์ที่ถูกจอดทิ้งไว้จึงเกิดการระเบิดต่อ ๆ ไปอีกหลายทอด จนสุดท้ายทรัพย์สถิตวิทยาก็ตกอยู่ในกองเพลิงโดยที่เหล่าผู้คนด้านในไม่มีโอกาสได้หนีไปไหน
ภัทร ภู และฟ้า ได้รับผลจากแรงระเบิดนั้นเข้าอย่างจัง เพราะอาคารเก่าไม่ได้ไกลจากห้องคหกรรมที่เป็นต้นเพลิงมากนัก แรงอัดอากาศจากแรงระเบิดนั้นมากพอที่จะทำให้ไม้ท่อนใหญ่ปลิวมาตามแรงแล้วกระแทกเข้าที่ศีรษะของภัทรจนเขาสลบไปในที่สุด