“อยู่ที่ไหนนิ้ง เก็บไว้ที่ไหน” อาร์ตถามทั้งที่กำลังวิ่งอย่างสุดกำลังมือและมือข้างหนึ่งก็จับมือของนิ้งเอาไว้ด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังวิ่งไปตามทางเดินของอาคารเรียนหลังหนึ่ง อาคารนี้เป็นอาคารที่อาร์ตไม่คุ้นเคยเพราะไม่ได้มีธุระมาที่นี่บ่อยนัก แต่สำหรับนิ้งแล้วมันเป็นเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่งเลยทีเดียว
ทั้งสองหยุดยืนอยู่ในห้องคหกรรม อาร์ตกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณก็ยังไม่พบสิ่งที่ตนกำลังตามหา นิ้งผละมือออกจากเขาแล้วเดินอ้อมเข้าไปหลังเตาอบขนมปังขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง เธอมุดเข้าไปข้างใต้เอื้อมมือเล็กๆ ของเธอเข้าไปในช่องว่างระหว่างแผ่นกระเบื้องกับกำแพงที่ผุพังไปตามเวลา
ไม่ถึงหนึ่งนาทีหนังสือเล่มดังกล่าวก็ปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในมือของเด็กสาว อาร์ตเดินเข้าไปอย่างดีใจเพราะได้เจอสิ่งที่หาแล้ว เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปเพื่อรับหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในมือ แต่เด็กสาวตรงหน้ากลับไม่ให้ความร่วมมือเหมือนกับที่ผ่านมา
“อาร์ตรักเราไหม” นิ้งกระชับหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในอ้อมกอด เธอใช้ทั้งสองมือกอดมันไว้กับอกอย่างหวงแหน ใบหน้าของเธอยังคงฉีกยิ้มกว้างสีหน้านั้นคล้ายกับต้องการจะเล่นสนุกกับจิตใจของคนตรงหน้า หรือไม่ก็อาจจะเป็นสีหน้าของคนที่หัวใจเต็มไปด้วยความคาดหวังที่เชื่อไปแล้วกว่าครึ่งว่าจะสมหวัง
“นิ้งมาเล่นอะไรตอนนี้ เราต้องรีบไปแล้วนะ” อาร์ตไม่เข้าใจในสิ่งที่นิ้งกำลังจะทำ เขาเสียงแข็งไม่อ่อนข้อให้เหมือนอย่างเคยที่คนตรงหน้าก็ดูเหมือนจะไม่สนใจแม้แต่น้อย เด็กสาวยังคงกอดหนังสือเล่มนั้นไว้แน่นยิ้มให้คนรักอย่างมีความหวังรอฟังคำตอบที่เธอเฝ้ารอมาตลอด
หลายนาทีผ่านไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอาร์ตเริ่มจะทนไม่ไหวกับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างนี้ อารมณ์ชั่ววูบทำให้เขาตัดสินใจพุ่งตัวเข้าไปกอดเด็กสาวเพราะคิดว่านั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ “ใช่นิ้ง เรารักนิ้ง นิ้งเอาหนังสือให้เรานะ หลังจากเรื่องนี้เราจะคบกันไปตลอดเลย” อาร์ตกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นคิดว่ามันคงได้ผลแต่เปล่า ไม่มีอ้อมกอดหรือเสียงตอบรับใดกลับมาจากคนตรงหน้า
เด็กหนุ่มถอยตัวออกมาเมื่อรู้สึกถึงแรงผลักที่หน้าอก อาร์ตมองใบหน้าของนิ้งที่ตอนนี้ไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว สีหน้าของเธอเรียบเฉยไร้อารมณ์จนน่าขนลุก “ไปกันเถอะ คนอื่นๆ รออยู่”
อาร์ตไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็กำลังจะได้กลับไปหาทุกคนพร้อมกับหนังสือที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เด็กหนุ่มโทรหาเพื่อนให้มาพบกันที่ห้องเรียนของพวกเขาเพราะเป็นที่ที่ใกล้ที่สุดที่พวกเขาจะพบกันได้ครึ่งทาง เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะคือจุดจบของเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“โอเค ได้ ได้ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” ภัทรวางสายจากอาร์ตบอกให้ทุกคนรู้ถึงสถานที่นัดพบของทุกคน เด็กๆ รีบร้อนวิ่งออกจากห้องนอนของลุงเจียดไปโดยที่ลุงเจียดจะขอตามไปด้วยเพราะห่วงในความปลอดภัยของเด็กๆ แต่ขอตัวไปหยิบเอาข้าวของที่อาจพอจะมีประโยชน์ที่เก็บไว้บนหิ้งพระอีกครั้งก่อน
เด็กๆ ลับหายไปแล้วพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป ลุงเจียดพนมมือสูงขึ้นเหนือหัวอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยเชิญพระเครื่องที่เป็นหนึ่งในสมบัติไม่กี่ชิ้นมาคล้องไว้ที่คอและมีดหมอที่ได้รับมาเป็นเครื่องลางเมื่อนานมาแล้ว
แอ๊ด...
เสียงบานประตูไม้ขยับส่งเสียงเรียกให้ภารโรงมากวัยหันมามองตามเสียงที่ได้ยิน ร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นคุ้นเคยเพราะไม่ใช่การพบกันครั้งแรก “ลุงกำลังจะตามไปแล้ว ย้อนกลับมาทำไม เพื่อนๆ ไปกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”
เจ้าของร่างนั้นไม่ตอบกลับยังคงจ้องมองแผ่นหลังที่กำลังกวาดข้าวของใส่ย่ามอย่างรีบร้อน จนลุงเจียดหันกลับมาอีกครั้งร่างของเด็กคนนั้นยังยืนอยู่ไม่ขยับเขยื้อน
“ไปกัน เร็วเข้า” ลุงเจียดจับที่ที่แขนข้างหนึ่งของคนตรงหน้าออกแรงเบาๆ ฉุดให้ร่างนั้นเดินตามมา แม้ว่าภารโรงจะไม่ได้ออกแรงมากขนาดจะทำให้เด็กเจ็บได้แต่มันก็มากพอที่จะทำให้รู้สึกตัวหรือขยับเขยื้อนได้สักเล็กน้อย แต่ก็เปล่า เพราะลุงเจียดรู้สึกถึงแรงต้านที่มหาศาลผิดปกติ คล้ายกับตัวเองกำลังลากรถคันใหญ่ด้วยมือเปล่า
“กูเกือบจะปล่อยมึงไปแล้วรู้ไหม” เสียงในร่างของเด็กคนนั้นแหบพร่าบอกถึงอายุที่ขัดกับหน้าตาวัยเยาว์นั้น ร่างนั้นเอียงคอมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา จากดวงตาที่เคยเป็นสีขาวมีจุดดำตรงกลางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจากเส้นเลือดในดวงตาที่ปรากฏชัดจนน่าขนลุก
“มึง มึง มึงเป็นใคร” ลุงเจียดลนลานควานหาสร้อยพระในปกเสื้อขึ้นมาพนมเหนือหัวหวังว่าพุทธคุณจะคุ้มกายให้พ้นภัย
“จะพระดีพระดังราคาแพงแค่ไหน มึงก็รู้ ไม่มีอะไรขวางทางกรรมได้ มึงเคยก่อกรรมไว้กับ ‘พวกกู’ แต่ในชาตินี้ก็เห็นมึงได้ทนทุกข์ทรมานมีชีวิตอดๆ อยากๆ เหมือนหมาข้างถนน กูก็เวทนาอยากจะปล่อยมึงไป แต่ตอนนี้มึงกลับจะเข้ามายุ่งวุ่นวายในเรื่องเดิมอีกครั้ง กูถึงเปลี่ยนใจ” จากเสียงแหบพร่ากลายเป็นเสียงของคนหลายคนดังซ้อนกันเหมือนกับเพลงประสานเสียง
“กรรมอะไร กูไม่รู้เรื่อง! นะโมตัสสะๆ” ลุงเจียดพยายามรวบรวมสติสวดมนต์อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างเพื่อขับไล่สิ่งผิดปกติตรงหน้าแต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นเกินความคาดหมายของเขาไปไกลโข เมื่อร่างเล็กๆ ตรงหน้านั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงสัมผัสของลมหายใจ มันสวดตามทุกถ้อยคำที่ลุงเจียดสวดได้อย่างแม่นยำและพร้อมเพรียงราวกับการท้าทายต่อทุกมนต์คาถาที่มีไว้เพื่อขับไล่ตัวตนอย่างมันคนนี้
เจ้าของร่างนั้นยื่นมือทั้งสองข้างกุมไว้ที่ขมับของลุงเจียดออกแรงกดจนรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว จากนั้นค่อยๆ ขยับเลื่อนนิ้วหัวแม่มือต่ำลงมาที่ระดับสายตา แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อร่างนั้นออกแรกกดที่ปลายนิ้วจนเล็บนั้นจิกเข้าไปในดวงตาของภารโรงวัยชรา เลือดสดๆ ไหลหยดลงกับพื้นเสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วบริเวณจนนกที่ทำรังอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ แตกรังบินออกหนีไปจนหมด
“ถ้ามึงจำไม่ได้กูจะให้มึงได้เห็น แล้วมึงก็จะรู้เองว่าควรทำอะไรต่อไป” เด็กคนนั้นทิ้งคนชราร่วงลงกับพื้นร่างกายกระตุกเกร็งเพราะภาพที่กำลังหลั่งไหลเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว ลุงเจียดได้เห็นที่มาที่ไปของตน ต้นเหตุทั้งหมดที่ทำให้เขาต้องมามีชีวิตเป็นภารโรงเงินน้อยใช้แรงงานแลกข้าวกินไปวันๆ เหตุที่เขาต้องมาอาศัยอยู่ในโรงเรียนทรัพย์สถิตวิทยาแห่งนี้
“กูขอโทษ ฮือ.. กูขอโทษ” ลุงเจียดร้องไห้คร่ำครวญระลึกถึงสิ่งที่ตนได้ก่อนเอาไว้ในอดีต ตอนนี้ทุกอย่างกำลังตามมาทวงถามถึงหนี้ก้อนนั้น อีกไม่นานเขาจะต้องชดใช้มันด้วยความทรมานอย่างสุดแสนจะทานทนไหว ทางออกเดียวที่เขาตัดสินใจลงมือกระทำเพื่อหนีความผิดและผลกรรมที่ตนได้เห็นคือการคลานไปตามพื้นตะเกียกตะกายควานหาสิ่งยึดจับภายในห้องเท่าที่พอจะจำได้
ภารโรงเก่าแก่ของโรงเรียนพาร่างอันเจ็บปวดของตัวเองขึ้นไปยืนบันเก้าอี้ไม้เก่าๆปากก็พร่ำบอกกล่าวขอโทษในสิ่งที่ตนได้ทำเอาไว้ ผ้าเขาม้าที่เอวถูกคลายออกอย่างช้าๆ มืออันสั่นเทานั้นพยายามควานหาคานไม้ของเพดานห้อง เขาบรรจงสอดชายผ้าด้านหนึ่งเข้าไปในนั้น มัดมันจนเป็นบ่วงขนาดพอดี
“ขอโทษ... ปล่อยกูไปเถอะ กูยอมตาย ปล่อยกูไปเถอะ” ลุงเจียดเขย่งเท้าฝากน้ำหนักเกือบทั้งหมดของร่างกายเอาไว้ในมือคู่นั้น เท้าทำหน้าที่เพียงช่วยประครองไม่ได้รองรับน้ำหนักใด ชายชราพยายามยื่นหน้าเข้าไปในบ่วงผ้าอย่างยากลำบากเพราะเขามองไม่เห็น เมื่อผ้าสากๆ นั้นสัมผัสเข้ากับใบหน้าใกล้ดวงตาเขาจะรู้สึกเจ็บจนแทบสลบไปแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายทุกอย่างจะผ่านพ้นไปเขาเชื่ออย่างนั้น ภารโรงทิ้งร่างอันหนักอึ้งของตัวเองลงในบ่วงผ้าเล็กๆ ที่เป็นเหมือนกับทางออกเดียวของความทุกข์ทรมานในขณะนี้
ร่างนั้นดิ้นทุรนทุรายนานกว่าที่ควรจะเป็น แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีรอยยิ้มเย้ยหยันมากมายกำลังปรากฏอยู่รายล้อมตัวเขาอย่างสะใจ สุดท้ายร่างนั้นก็หมดแรงไม่ขยับไหวติงใดๆ ร่างกายที่เคยหนักอึ้งเจ็บปวดพลันเบาสบายคล้ายกำลังจะล่องลอยสูงขึ้นไปในอากาศจากอาการขาดออกซิเจน วิญญาณหลุดออกจากกายหยาบความเจ็บปวดจากกายเนื้อมลายหายไปสิ้น แต่แล้วความเจ็บปวดต่างๆ ก็พลันกลับมาจากเงื้อมมือของวิญญาณดวงอื่นๆ ที่เฝ้ารอวินาทีนี้มาโดยตลอด
เคยมีคนกล่าวไว้ว่าความเจ็บปวดทางกายนั้นยากจะเทียบกับความเจ็บปวดทางวิญญาณ หากได้รับรู้สักครั้งหนึ่งจะไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดกาล ลุงเจียดที่กลายเป็นวิญญาณไร้นามไร้อนาคตถูกจิกทึ้งด้วยมือหลายคู่ ทั้งทุบตีและฉีกกระชากด้วยเล็บเปล่าๆ ลึกลงไปราวกับตนยังมีเนื้อหนัง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุดของวิญญาณดวงหนึ่งที่ถึงคราวได้รับการชดใช้กรรมที่ตนก่ออย่างสาสม
ณ ห้องเรียนของทุกคน
ภัทร ภู และ ฟ้า เป็นคนมาถึงทีหลัง ตอนนี้ภายในห้องมีอาร์ตกับนิ้งที่นั่งเงียบ เด็กสาวยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทำให้บรรยากาศในคืนนี้ยิ่งดูอึดอัดมากขึ้นไปอีก
“ภารโรงล่ะ” อาร์ตถามเมื่อไม่เห็นลุงเจียดตามมาด้วย
“เดี๋ยวตามมาน่ะ เห็นว่าไปหยิบของ” ภูตอบก่อนจะเปลี่ยนเรื่องมาสนใจสิ่งที่ถูกวางเอาไว้ตรงหน้าของทุกคน
เด็กทั้งห้าคนนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีโต๊ะเรียนวางอยู่ตรงกลาง หนังสือเล่มนั้นถูกวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย ทุกคนจ้องมองมันด้วยความหวาดกลัว ในนี้ทุกคนเคยเห็นมันมาทั้งหมดแล้วแต่คนที่เคยเปิดอ่านมันนั้นมีไม่กี่คน คนที่อ่านมันมากที่สุดและเก็บมันไว้กับตัวนานที่สุดคือเด็กสาวที่ยังคงไม่แสดงออกถึงสีหน้าความรู้สึกใดๆ
“ข้างในมันเป็นยังไงเหรอนิ้ง” ฟ้าถามเพื่อนสนิทของตัวเองยื่นมือไปกุมมือของนิ้งไว้เหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมาแต่เด็กสาวกลับดึงมือกลับมองใบหน้าของคนที่เคยคิดว่าเป็นเพื่อนรักด้วยสีหน้ารังเกียจและรำคาญ ฟ้านิ่งอึ้งกับการกระทำของเพื่อนรักที่ดูเหินห่างไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ได้เห็นภาพนั้นพร้อมๆ กัน
บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งพร้อมกับเสียงฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา เสียงลมเสียงฟ้าทำให้ทุกอย่างยิ่งดูน่าอึดอัด พวกเขากำลังนั่งมองสิ่งทียากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ แต่ทั้งหมดกลับเกิดขึ้นด้วยการกระทำอันโง่เขลาของพวกเขาเพียงเพราะความคึกคะนองของวัยเด็กเท่านั้น
“กูขอโทษ ทั้งหมดมันเป็นเพราะกูเอง” อาร์ตทำลายความเงียบด้วยการขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครั้งนี้เขาดูใจเย็นเหมือนกับอาร์ตคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก ทุกคนไม่โทษว่ามันเป็นความผิดของอาร์ตเพราะทุกอย่างนั้นพวกเขาร่วมกระทำมันด้วยความเต็มใจ ถ้าจะมีใครอยากกล่าวโทษอาร์ตสักคนก็จะเป็นฟ้าหรือไม่ก็นิ้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย
อาร์ตมองไปที่ฟ้า เขาอยากขอโทษที่ดึงเด็กสาวเข้ามาพัวพัน เธอไม่ได้มีความตั้งใจเหมือนอย่างพวกเขา แต่แท้จริงแล้วการที่ฟ้าจะโทษอาร์ตก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะครั้งแรกที่เธอได้เห็นหนังสือเล่มนี้คือวันที่นิ้งเป็นคนไปเอามันมาจากห้องสมุด แต่ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไรก็ตามเธอเลือกที่จะเงียบและไม่กล่าวโทษว่ามันเป็นความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง
เมื่อความเงียบเข้ามาแทนที่การพูดคุยอีกครั้ง ภูจึงตัดสินใจจับและเปิดหนังสือเล่มนั้นออกมาดูให้แน่ชัดว่ามันเขียนอะไรเอาไว้กันแน่ หัวใจของเด็กๆ แทบหยุดเต้นเมื่อได้เห็นสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ข้างในด้วยลายมือแบบโบราณ ทั้งสีของหมึกที่ใช้เขียนและตัวอักษรนั้นช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
“รายชื่อพวกนี้มันคืออะไร” ภัทรกวาดตามองไปตามหน้ากระดาษที่มีชื่อของผู้คนจำนวนมากถูกเขียนเอาไว้อีกทั้งยังมีรายละเอียดของวันเดือนปีเกิดเขียนกำกับเอาไว้ที่ท้ายชื่อทุกคน ไม่มีชื่อไหนเลยที่คุ้นตาแต่เขากลับรู้สึกขนลุกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่างกาย ร่างของภัทรสั่นเหมือนคนเป็นไข้จนฟ้าต้องกอดเอาไว้โดยที่สายตาของเธอเองยังคงจับจ้องที่หนังสือเล่มนั้นอยู่
“รายชื่ออะไรของมึงวะ กูเห็นแต่รูปวาดเหมือนกับพวกแปลนบ้าน” อาร์ตพูดแทรกขึ้นมาเพราะสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นต่างออกไป
“ทำไมเราเห็นเป็นรูปอาหารกับวิธีทำล่ะ” ฟ้าเสียงสั่นน้ำตาไหลหยดลงมาด้วยความกลัวและไม่เข้าใจ
“ไม่ตลกนะ อย่ามารวมหัวอำกันนะเว้ย” ภูตวาดก้องเพราะสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นมีเพียงแผ่นกระดาษอันว่างเปล่าไม่มีตัวอักษรหรือรูปวาดใดปรากฏอยู่อย่างที่คนอื่นๆ พูดกัน
“นิ้ง เธอเห็นเป็นอะไร เธอเคยอ่านมันนี่” เด็กสาวไม่ตอบเอาแต่นั่งยิ้มมองหน้ากระดาษตรงหน้าอย่างคนเสียสติ อาร์ตรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกกับสายตาและสีหน้าของนิ้ง เธอหันมายิ้มกว้างให้กับเขาอีกหนึ่งครั้งด้วยดวงตาที่เหม่อลอย
กึก...
เสียงคล้ายกับของแข็งกระทบกันดังมาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง ทุกคนหันไปมองพร้อมๆ กัน สิ่งที่เห็นคือโต๊ะเรียนตัวหนึ่งกำลังสั่นอยู่กับที่ ไม่แปลกที่ทุกคนจะกลัวแต่คนที่จำขึ้นมาได้ก่อนว่าโต๊ะเรียนตัวนั้นเป็นของใครคืออาร์ต
“กล้า! กล้า! นั่นมึงใช่ไหม!” เด็กหนุ่มตะโกนอย่างดีใจเพราะคิดว่านั่นอาจเป็นสัญญาณจากเพื่อนรักที่จากไป และแล้วเขาก็ได้คำตอบเมื่อโต๊ะตัวนั้นล้มคว่ำลงไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาโดยที่ไม่มีใครไปจับหรือขยับมัน อาร์ตวิ่งไปดูที่โต๊ะของกล้า ควานหาข้าวของที่ร่วงอยู่กับพื้นเผื่อว่ามันจะมีอะไรเป็นเบาะแสแทนการสื่อสารจากวิญญาณของกล้าได้บ้าง
กึกๆๆๆๆ
จากโต๊ะเรียนของกล้ากลายเป็นโต๊ะที่พวกเขานั่งล้อมวงกันอยู่ ตอนนี้มันสั่นเหมือนกับโทรศัพท์มือถือที่มีคนโทรเข้า ทุกคนที่อยู่ใกล้ถอยห่างด้วยสัญชาตญาณยกเว้นนิ้งที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ โต๊ะเรียนที่กำลังสั่นอยู่ตรงหน้า
“เราว่ากล้าคงอยากคุยอะไรกับเรา” หลังจากนิ่งเงียบอยู่นานนิ้งก็พูดขึ้นมาเป็นครั้งแรกในห้องนี้ ทุกคนไม่ปฏิเสธเพราะเห็นด้วยว่านั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ทำให้โต๊ะของตัวเองล้มลงไปอย่างนั้น
ทุกคนช่วยกันคิดว่าจะสื่อสารกับกล้าอย่างไร “อาร์ต มึงไม่เห็นกล้าเหรอวะ” ภูตะโกนถาม อาร์ตส่ายหัวครั้งนี้เขาไม่พบเห็นอะไรที่ผิดปกติเลยทุกอย่างยังเป็นทิวทัศน์ที่ไม่ต่างไปจากสายตาของคนอื่นๆ
“กูรู้แล้ว!” อาร์ตตะโกนเสียงดังลากโต๊ะเรียนที่อยู่ใกล้ๆ มาเรียงต่อกันทั้งหมดสี่ตัว เขาวิ่งไปที่หน้าห้องหยิบเอาปากกาไวท์บอร์ดมาวาดลงไปบนพื้นโต๊ะที่เรียงติดกันแทนหน้ากระดาษ
“เฮ้ยอาร์ต! มึงเอาจริงเหรอวะ” ภัทรส่งเสียงห้ามจับมือของอาร์ตไว้แน่นแต่เขาก็ผลักมันออก ตะคอกใส่หน้าเหมือนกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนกัน “ถ้าไอ้กล้ามันตายเพราะผีถ้วยแก้ว มันก็ต้องมาได้เพราะผีถ้วยแก้วด้วยสิวะ!”
ภัทรหน้าชากับการกระทำของเพื่อนรักที่ตอนนี้ต่างจากคนเมื่อครู่ไปโดยสิ้นเชิง สายตาคู่นั้นแข็งกร้าวไร้ไมตรี ทุกคนมองมันอย่างหวาดกลัวผิดกับนิ้งที่จ้องมองมันด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจ เธอจึงเป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นช่วยอาร์ตวาดกระดานผีถ้วยแก้วให้เสร็จและเป็นคนที่เดินไปหาภาชนะมาใช้ในการประกอบพิธี
ไม่กี่นาทีกระดานผีถ้วยแก้วจากโต๊ะเรียนก็เสร็จสมบูรณ์ แก้วที่ถูกนำมาใช้เป็นแก้วกาแฟของอาจารย์ประจำชั้นที่เก็บไว้ในตู้หลังห้อง อาร์ตเรียกให้เพื่อนทุกคนมาร่วมกันเริ่มพิธีเพื่อที่จะได้คุยกับกล้า แต่ไม่มีใครกล้าร่วมด้วยเพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จะใช่กล้าจริงๆ อีกอย่าง ตอนนี้สีหน้าและแววตาของอาร์ตและนิ้งก็ดูไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างที่เถียงกันอยู่นั้นเองแก้วที่ถูกวางเอาไว้เฉยๆ ก็เริ่มขยับด้วยตัวของมันเองโดยไม่ต้องมีใครไปจับ
“กู-กล้า” ทุกคนสะกดตามตัวอักษรที่แก้วเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงนั้นด้วยตัวมันเอง ภัทรไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปเป็นฝ่ายถามถึงชื่อจริงของเพื่อนรัก เพราะคิดว่าหากเป็นกล้าตัวจริงจะต้องตอบคำถามนี้ได้ ผีสางที่ไหนจะมาตอบแทนไม่ได้เป็นอันขาด
“นฤมิตร วงศ์พฤกษา” แก้วใบนั้นสะกดคำอย่างเชื่องช้าคล้ายคนที่กำลังอ่อนแรง อาร์ตเป็นฝ่ายถามต่อถึงสถานที่ที่กล้าอยู่ในขณะนี้ รวมถึงสาเหตุการตายของกล้าด้วยเช่นกันแต่ดูเหมือนว่าวิญญาณดวงนี้จะไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือมากพอจะสื่อสารกับเขาได้จนครบ กล้าเลือกที่จะสื่อสารผ่านประโยคสั้นๆ
“จับ-แก้ว” ทุกคนกลืนน้ำลายรวบรวมความกล้าอีกครั้งเมื่อต้องเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุการจากไปของเพื่อนรัก อาร์ตและนิ้งคือสองคนแรกที่จับแก้วเอาไว้มั่นอย่างมั่นใจ ตามด้วย ภู ภัทร และฟ้า เมื่อมือของทุกคนแตะลงบนแก้วจนครบแล้ว แก้วก็ไม่ได้สั่นหรือขยับเขยื้อนอีกต่อไป
เพล้ง! แก้วใบนั้นแตกกระจายทิ่มและบาดเข้าที่นิ้วมือของทุกคนที่จับมันอยู่ เสียงกรีดร้องและเลือดที่ไหลนองลงบนโต๊ะซึมเข้าไปในหน้ากระดาษของหนังสือเล่มนั้น พลันเปลี่ยนเป็นควันสีดำพวยพุ่งขึ้นในอากาศโอบล้อมทุกชีวิตนั้นไว้ในชั่วเสี้ยววินาทีที่สติกำลังจะดับไป ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ย้อนเข้ามาในความทรงจำเหมือนในวันที่พวกเขาได้กลับไปดูวีดีโอม้วนนั้นอีกครั้ง
แต่ละคนล้วนได้เห็นในอดีตของตนในความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ในวิญญาณของตน จิตของตัวเองคือป้ายบอกทาง มันกำลังนำพวกเขากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาและผืนดินแห่งนี้