อัปเดตล่าสุด 2019-09-19 08:56:46

ตอนที่ 22 ประวัติ

ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน เด็กๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้กันเพราะกลัวว่าชายคนนั้นจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรืออาจารย์ แต่เมื่อตั้งใจมองให้ดีๆ แล้วก็พบว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ชายสูงวัยในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ แต่คุ้นตา คนแรกที่จดจำใบหน้านั้นได้คือ ฟ้า เด็กสาวที่คลุกคลีอยู่กับห้องคหกรรมมาโดยตลอด

                นั่นลุงเจียดภารโรงนี่!” ฟ้าจำได้ทันทีที่ได้เห็นใบหน้านั้นชัดๆ เพราะเขาคือคนที่คอยดูแลห้องคหกรรมเวลาที่มีกิจกรรมหลังเลิกเรียน เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยเพราะเธอเองก็สนิทกับลุงอยู่บ้างอาจพอคุยให้เขาไม่เอาเรื่องนี้ไปรายงานกับอาจารย์ได้ ซึ่งลุงเจียดเองก็จำฟ้าและนิ้งได้ในทันทีเช่นกัน เขาจึงเปลี่ยนความสนใจไปยังผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนนี้เป็นที่สุด

                ท่านเข้ามาที่นี่ได้ยังไงลุงเจียดภารโรงถามพระภิกษุที่เข้ามายืนใกล้จนอยู่ในระยะสายตา ใบหน้าของภิกษุยังคงสงบนิ่ง ลุงเจียดเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูหน้าให้ชัดๆ

                อาตมามาโปรดวิญญาณที่นี่น่ะ ไม่มีอะไรมากมายหรอก เพียงแค่เลือกคืนนี้เพราะรู้ว่าจะได้เจอกับพวกโยมทุกคน เพราะพวกโยมเพิ่งเสียเพื่อนไปใช่ไหม ภิกษุหันไปมองกลุ่มเด็กนักเรียนที่กำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ลุงเจียดรู้สึกกังวลในครั้งแรกแต่ไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกว่าพระรูปนี้พูดจริงและไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ

                โยมเห็นอะไรไหม ภิกษุหันมายิ้มให้กับอาร์ตพร้อมคำถามที่ราวกับรู้อะไรอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มไม่ตอบเพราะยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นอยู่ แสงและเงาสีดำผสมปนเปเข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวฉายอยู่เบื้องหลังของพระภิกษุ แสงสว่างนั้นดูอบอุ่นแต่เงาดำที่ปรากฏอยู่เคียงข้างกันก็น่าขนลุกจนอยากจะอาเจียน

                ไม่ทันที่ใครจะได้ตัดสินใจทำอะไรนิ้งก็ร่วงลงไปนอนกับพื้นจนทุกคนต้องวิ่งกรูกันเข้ามาอุ้มร่างนั้นให้สูงจากพื้น ลุงภารโรงชี้มือไปยังบ้านพักหลังเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไปเพื่อให้ทุกคนพาตัวนิ้งไปพักที่บ้านหลังนั้นก่อน ส่วนพระภิกษุนั้นไม่ได้รับเชิญแต่ก็เดินตามมาอย่างช้าๆ พร้อมกับส่ายหน้าถอดถอนใจอย่างเวทนาเด็กสาวที่หาเรื่องใส่ตัวไม่รู้จบ

                ณ บ้านไม้หลังเล็กๆ ท้ายโรงเรียน เป็นที่ทิ้งขยะที่เด็กต้องเอาขยะในห้องเรียนมาทิ้งรวมกันเพื่อกำจัด เด็กหลายคนเคยเห็นบ้านหลังเล็กนี้แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นบ้านพักสำหรับภารโรงที่มีเจ้าของเพียงคนเดียวคือ ลุงเจียด ภารโรงเก่าแก่ที่อยู่มานานเกินกว่าอายุงานของอาจารย์บางคนเสียอีก ส่วนภารโรงคนอื่นๆ นั้นเป็นขาจรเข้าออกแทบจะทุกสามสี่เดือนเลยไม่ได้สิทธิ์ในการมาใช้บ้านพักหลังนี้ร่วมกับลุงเจียด

                เอ้านี่ยาดม บีบนวดไปด้วย พัดไปด้วยนะ ลุงเจียดจัดแจงยื่นของใช้ให้กับฟ้าที่เป็นนักเรียนคนเดียวที่เขาคุ้นหน้า ชายมากวัยคนนี้ไว้ผมสั้นจนเกือบล้านใบหน้ายับย่นมีรอยแผลเป็นหลายจุดดูน่ากลัว แต่กลับใจดีกว่าที่เห็นมากนัก ฟ้ารับข้าวของพวกนั้นมาอย่างเต็มใจและยิ้มให้แทนคำขอบคุณ

                บ้านไม้หลังนี้อาจไม่ได้ใหญ่โตมากมายนักแต่เมื่อมีผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียวข้าวของเครื่องใช้จึงน้อยทำให้มีที่ว่างพอจะรับรองแขกที่มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมายอย่างนี้ ลุงเจียดจ้องมองพระภิกษุตรงหน้าอย่างสงสัยเพราะเมื่อได้มองท่านผ่านแสงไฟอย่างชัดเจนแล้วก็รู้สึกว่าคุ้นใบหน้านั้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

                มานี่สิโยม ภิกษุเรียกลุงเจียดให้เดิมตามมาภายนอกส่วนที่เป็นห้องนอนของภารโรง บนบ้านนั้นยังพอมีห้องว่างอีกห้องหนึ่งที่ตอนนี้กลายเป็นห้องเก็บของที่ไม่ได้ใช้แล้วของโรงเรียน ส่วนมากจะเป็นเอกสารเก่าและโล่ต่างๆ ที่โรงเรียนได้รับรางวัลมาตั้งแต่ก่อตั้ง

                ภิกษุชี้ไปที่ประตูห้องเก็บของนั้นบอกให้เปิดมันออก มีของข้างในบางอย่างจะช่วยให้ลุงเจียดเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ห้องที่ไม่ได้ถูกเปิดมานานเมื่อเปิดออกก็มีแต่กลิ่นอับและควันฝุ่นที่คลุ้งออกมาตามแรงลม ดีที่ไฟเพดานยังคงทำงานได้แม้ว่าแสงของมันจะมัวลงเยอะมากแล้ว

                ลุงเจียดมองตามปลายนิ้วของพระรูปนั้นก็พบกับหีบไม้เก่าๆ ใบหนึ่งที่ยังคงอยู่ในสภาพดี หีบไม้ในสมัยนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่ หากเป็นกล่องเหล็กหรือลังกระดาษก็ว่าไปอย่าง หีบไม้ถูกยกลงมาวางไว้ตรงหน้าของชายมากวัยทั้งสอง พระรูปนั้นถอยหลังไปก้าวหนึ่งภายมือให้เปิดหีบนั้นเพื่อตรวจดูของที่ถูกเก็บไว้ด้านใน

                หีบไม้แม้จะเก่าคร่ำครึเปรอะเปื้อนฝุ่นและหยากไย่แต่มันยังดูแข็งแรงผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งของที่ถูกบรรจุอยู่ภายในนั้นมีหลายอย่างมีทั้งชุดเสื้อผ้า หนังสือเก่า และของใช้อีกสองสามอย่างแต่สิ่งที่ดูสะดุดตาที่สุดคืออัลบั้มภาพถ่ายเล่มใหญ่ที่มีแม่กุญแจและโซ่ขึ้นสนิมเส้นเก่าพันธนาการมันไว้อีกชั้นหนึ่ง

                ด้วยความแปลกแยกของมันจึงไม่จำเป็นต้องสื่อสารหรือบอกกล่าวสิ่งใด ลุงเจียดหยิบมันขึ้นมาจากหีบบรรจงวางลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่วางตั้งอยู่ในห้อง ภารโรงใช้มือพยายามดึงให้แม่กุญแจที่ดูเก่าคร่ำครึนั้นหลุดออกเพราะคิดว่าสนิมมันคงจะกินเนื้อในของเหล็กไปจนไม่หลงเหลือความแข็งแรงอยู่อีก

                ทำไมมันแข็งอย่างนี้ ลุงเจียดบ่นอุบในขณะที่พยายามใช้ค้อนเหล็กทุบมันอยู่พักใหญ่ ภิกษุถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาใกล้อัลบั้มภาพนั้น ท่านบรรจงวางมือลงบนปกอัลบั้มภาพเก่าหลับตาแล้วกำหนดจิต เพียงครู่ก็ปรากฏความสงบขึ้นในจิตจนสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตบางอย่างที่วนเวียนอยู่รอบอัลบั้มเก่านั้น ลุงเจียดที่เป็นคนยุคก่อนอีกทั้งยังเคยบวชเรียนมาจึงไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะสัมผัสถึงกระแสสงบของพระปฏิบัติได้เมื่ออยู่ในระยะประชิดขนาดนี้

                ลุงเจียดก้มลงกราบเพราะรู้ดีว่ายากนักที่จะได้พบพานกับพระสงค์ที่มีฌานบารมีแก่กล้าในสังคมปัจจุบันอย่างนี้ หลวงพ่อไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของลุงเจียด ท่านยังคงกำหนดจิตต่อไปเพื่อสื่อสารกับพวกเขาเหล่านั้นที่เฝ้าอัลบั้มภาพ หากแต่จริงๆ แล้วจะเรียกว่าเฝ้าก็คงจะไม่ได้เพราะพวกเขาเพียงแค่ไม่อยากให้ภิกษุรูปนี้เข้ามายุ่งก็เท่านั้น

                ปล่อยเถิด วางเถิด เรามาแล้ว เรามาตามคำที่ได้ให้ไว้ กลับไปกับเราเถิด กลับไปสู่ทางสว่างที่ควรจะเดิน สิ้นเสียงอันเปี่ยมด้วยจิตเมตตานั้นแม่กุญแจที่ลุงเจียดใช้แรงทั้งหมดที่มีทุบมาตลอดก็ดีดตัวเองออกจากกันร่วงลงบนพื้นไม้จนเกิดเสียงดัง ภิกษุรู้สึกอ่อนล้าจึงเซลงไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ

                ลุงเจียดคลานไปหยิบอัลบั้มภาพภาพถ่ายมาถือไว้ในมือค่อยๆ เปิดไล่ไปทีละหน้าภาพถ่ายที่ถูกเก็บเอาไว้ข้างในยังเป็นภาพขาวดำ บ้างเลือนหายไปแล้ว บ้างยังคงพอให้เห็นได้เลือนราง จะมีเพียงไม่กี่ใบเท่านั้นที่ยังคงเห็นเป็นรูปขอบรายละเอียดชัดเจน

                นี่มัน.. ในที่สุดลุงเจียดก็เข้าใจถึงสิ่งที่พระภิกษุรูปนี้พยายามจะบอกให้เขาเข้าใจ ภารโรงมากวัยวางอัลบั้มภาพไว้ข้างตัวก่อนจะคลานเข่าเข้ามากราบที่ปลายเท้าของท่าน จากนั้นเลื่อนอัลบั้มภาพเก่ามาวางไว้ตรงหน้าของพระภิกษุเปิดหน้าหนึ่งค้างไว้ให้ท่านได้มองเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนเข้าใจ

                ภิกษุพยักหน้ารับคำ ลุงเจียดมองใบหน้าหน้าสลับกับรูปถ่ายกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้งก็ยังคงแน่ใจเหมือนในครั้งแรกที่ได้เห็นว่าใบหน้านั้นเหมือนกันทุกประการต่างกันก็เพียงช่วงเวลาเท่านั้น เพราะรูปถ่ายใบนั้นถูกถ่ายไว้เมื่อนานมากแล้วแต่ใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ายังไม่เปลี่ยนไปจากรูปเลยแม้แต่น้อย

                ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่หรือครับ ลุงเจียดถามอย่างสุภาพแต่ภิกษุไม่ตอบ ท่านลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้องไปกลับไปยังห้องที่เด็กๆ รออยู่

                ถ้าจะฟัง มาฟังพร้อมกันเถอะ ท่านนั่งลงที่พื้นระดับเดียวกับคนอื่นๆ อย่างไม่ถือตัว ตอนนี้นิ้งได้สติแล้วแต่เมื่อได้เห็นชายในจีวรสีกลักนั้นก็มีท่าทีหวาดระแวงกระสับกระส่ายผิดปกติ เช่นเดียวกับอาร์ตที่ดูเหมือนกำลังร้อนใจและอยู่ไม่สุข

                ภิกษุแนะนำตัวว่าตนนั้นชื่อ แม้น ขอให้เรียกอย่างนั้น หลวงพ่อแม้น เด็กๆเรียกเขาอย่างนั้น ท่านผายมือไปยังลุงเจียดขอให้ลุงเจียดเล่าเรื่องของโรงเรียนนี้เท่าที่รู้และได้เห็นตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงวันนี้

                ด้วยอายุงานที่มากกว่าใครในโรงเรียนทำให้ลุงได้เห็นอะไรมามากมายทั้งนักเรียนที่จากไป ทั้งพิธีกรรมต่างๆ ลุงเจียดบอกว่ามันไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยตลอดเวลากว่าสี่สิบปีที่เขาทำงานอยู่ที่นี่ ทุกๆ ปีจะมีเด็กตายในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่จำกัดเพศ ชั้นเรียน ชื่อ หรืออะไรก็ตาม ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย เพียงแค่ตายในวันเวลาไล่เลี่ยกันเท่านั้น

                ไม่ว่าจะพิธีบวงสรวงของโรงเรียนนั้นจะจัดอย่างสม่ำเสมออย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าเรื่องราวเหล่านี้มันจะเบาบางลงเลยแม้แต่น้อย จะมีผิดปกติก็แต่ปีนี้เท่านั้นที่มีคนตายมากกว่าหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาอย่างที่มันควรจะเป็น เมื่อเด็กๆ ได้ยินคำว่า ควรจะเป็น ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่คำที่ควรจะใช้สำหรับเหตุการณ์อย่างนี้

                โยมคิดดูดีๆ พิธีบวงสรวงที่ว่านั่น มันปกติหรือไม่ หลวงพ่อแม้นถามแทรกขึ้นมาระหว่างที่ลุงเจียดกำลังไล่เลียงความคิดและความจำให้แก่ทุกๆ คนได้ฟัง ภารโรงขมวดคิ้วแน่นคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตนได้เห็นและได้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดงานมาตลอด

                จะว่าไปมันก็ต่างจากงานมงคลที่ผมเคยรู้มาเยอะอยู่เหมือนกันครับ สีหน้าของลุงเจียดเปลี่ยนไปเมื่อคิดตามหลักเหตุผลแล้วว่ามันก็แปลกจริงๆ ที่แปลกกว่านั้นคือทำไมตนจึงไม่เคยนึกเอะใจอะไรเลย ความแปลกที่พูดถึงนั้นถูกบรรจุอยู่ในพิธีกรรมทั้งสิ้นตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งแรกที่ลุงเจียดนึกขึ้นได้คือถ้วยโฟมถ้วยใบตองจำนวนมากที่ถูกจัดอาหารหลากหลายชนิดรวมไว้ด้วยกัน

                ในถ้วยข้าวนั้นไม่ได้มีอาการแยกเป็นอย่างๆ แต่ทุกอย่างถูกเทรวมกันทั้งของคาวและของหวาน ธูปหนึ่งดอกจะถูกปักและวางไว้ตามจุดต่างๆ ทั่วโรงเรียน อีกทั้งปริมาณของเครื่องเซ่นไหว้ในงานยังมากผิดปกติ ส่วนมากจะเน้นไปทางเนื้อสัตว์และยังมีของสดอีกหลายอย่างที่ไม่ใช่ผักผลไม้ ที่แปลกที่สุดคงจะเป็นจำนวนธูปที่ปักดอกเดียวอยู่ในกระถางมาโดยตลอด มันไม่เคยถูกใช้มากกว่าหนึ่งเลยตลอดมานอกจากที่หน้าพระพุทธยามเริ่มพิธีเท่านั้น

                มันเหมือนเลี้ยงผีเลยนะถ้าพูดอย่างนี้ อาร์ตพูดแทรกขึ้นมา ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดนั้นและยากที่จะปฏิเสธ หลวงพ่อแม้นพยักหน้าตอบรับอีกครั้งพร้อมขยายความว่าที่ดินแห่งนี้นั้นมีประวัติมากมายรวมถึงผู้ตกค้างจำนวนมากเครื่องเซ่นและพิธีเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่มีไว้เพื่อชุบเลี้ยงให้สัมภเวสีทั้งหลายได้อิ่มท้องไม่ออกมาอาละวาด แต่อย่างไรเสียก็ยังคงต้องเซ่นสังเวยด้วยหนึ่งชีวิตเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

                แล้วหลวงพ่อรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงคะ ฟ้าเป็นฝ่ายถาม ท่านนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูดในเรื่องที่ทำใจเชื่อได้ยากยิ่ง อาตมาอยู่มานานและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น

                สิ่งที่ได้ยินนั้นช่างยากที่จะเข้าใจหรือแม้แต่จะคิดตามให้ทัน พระรูปนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ แต่ลุงเจียดนั้นไม่ใช่ เขาเชื่อคำของท่านจนหมดใจเพราะได้เห็นหลักฐานยืนยันมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย

                ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเด็กๆ ที่หาเรื่องใส่ตัวอย่างพวกโยม อาตมาช่วยไว้ได้คนหนึ่ง แต่ก็แค่คนเดียว หลวงพ่อแม้นหันไปสบตาอาร์ตเหมือนจะตอบคำถามในใจนั้นให้กระจ่าง เด็กหนุ่มลุกขึ้นได้ก็ตกใจลนลานควักโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดรูปถ่ายที่รุ่นพี่ในชมรมฟุตบอลส่งมาให้ดู หลวงพ่อไม่ดูแต่ยิ้มรับและอธิบายลักษณะของรูปและยันต์นั้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน

                ใช่แล้ว ท่านคือคนคนเดียวกันกับเรื่องเล่าที่ได้ยินมาโดยตลอด และวันนี้ท่านกลับมาอีกครั้งเพื่อมาช่วยเหลือพวกเด็กๆ ที่กำลังหาเรื่องใส่ตัวอย่างพวกเขา

                พระคุณเจ้าครับ พระที่เคยมาช่วยบรรเทาเภทภัยในโรงเรียนเมื่อ นานมาแล้ว นั่นก็คือท่านใช่ไหมครับ ลุงเจียดใช้คำว่านานมาแล้วแทนที่จะเจาะจงเวลาลงไปให้ชัดเจน ท่านพยักหน้ารับและพูดถึงบันทึกและคำทำนายที่ได้ให้ไว้กับผู้อำนวยการรุ่นก่อนๆ แน่นอนว่ามันคือชิ้นเดียวกับที่ไกรวัลย์นำออกมาให้เทวกานต์ได้ดูก่อนหน้านี้ หลวงพ่อแม้นพยายามแล้วพยายามเล่าที่จะบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้คนที่เข้ามาพัวพันกับดินผืนนี้แต่มันก็ดูจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

                เด็กนั่งฟังความเป็นไปของที่ดินผืนนี้โดยคร่าวๆ เท่าที่ภิกษุอยากจะเล่าให้ฟัง ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาสักเท่าไหร่ ในที่สุดอาร์ตก็หมดความอดทนโพล่งขึ้นมากลางปล้อง แล้วยังไงวะ! มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องตอนนี้!”

                โยมจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกอย่างล้วนมีเหตุเป็นที่ตั้งเสมอจึงมีผลตามมา สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก็ล้วนมาจากเหตุที่เคยเกิดขึ้นแล้วก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีผลตามมาอย่างนี้หรอก เด็กทุกคนที่ได้ยินตีความกันไปในทิศทางเดียวนั่นคือเรื่องที่พวกเขาได้ไปลองของตามตำนานจากปากรุ่นพี่ของอาร์ต รวมไปถึงหนังสือเล่มนั้นด้วย

                แล้วทำไมจู่ๆ ปีนี้ก็เกิดความผิดปกติขึ้นล่ะครับท่าน ลุงเจียดถามเข้าประเด็น ท่านจึงอธิบายให้ฟังต่อไปว่าเหตุบางอย่างนั้นต้องรอปัจจัยบางอย่างมาประกอบจึงจะเกิดผลขึ้นตามมา และบางครั้งปัจจัยที่เปลี่ยนไปจะก่อให้เกิดผลที่ต่างออกไป ดังเช่นแม่น้ำสายหนึ่งเคยไหลมาอย่างนี้เนิ่นนานหลายร้อยปี แต่แล้ววันหนึ่งกลับมีคนมาสร้างสะพานพาดผ่านไป แม้เสาเล็กๆ ของสะพานก็จะทำให้แม่น้ำนั้นไหลไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

                ปริศนาธรรมไม่ได้ช่วยให้คนอื่นๆ เข้าใจในสิ่งที่ภิกษุพยายามจะสื่อถึง ท่านถอนหายใจจนต้องอธิบายใหม่อีกครั้งอย่างตรงไปตรงมา

                ปีนี้ต่างออกไป เพราะมีพวกโยมอยู่ เพราะมีพวกโยมจึงเกิดการรบกวนกระแสกรรมที่ไหลเวียนมาเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังมีนายตำรวจเข้ามาปะปน ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายพอสมควร หลวงพ่อยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไรจนจบอาร์ตก็แทรกขึ้นมา

                หมายถึงตำรวจคนนั้นน่ะเหรอ คนที่เห็นผีได้คนนั้น อาร์ตจำได้ดีเพราะตัวเขาได้สัมผัสกับเหตุการณ์เหล่านั้นมาด้วยตัวเอง

                ใช่แล้ว เขาเป็นตัวแปรที่ไม่คาดคิด ดูไปแล้วบุญกุศลที่อาตมาเฝ้าอุทิศให้ดินผืนนี้จะไม่เสียเปล่าสักทีเดียว แต่มันก็ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอ เพราะมันทำได้แค่เพียงพาเขาให้มาพานพบ ได้บรรเทาและยืดเวลาออกไป สุดท้ายเมื่อเขาไม่เกี่ยวข้องกับกงกรรมนี้ เขาก็ต้องถอยออกไป ก็เท่านั้น

                ผมฟังยังไงก็ไม่เข้าใจครับหลวงพ่อ แล้วพวกเราเกี่ยวอะไร ทำไมถึงต้องรอพวกผม หรือเพราะพวกผมเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เอง หรือเพราะพวกผมดันไปเจอกับหนังสือแปลกๆ นั้นเข้า ภัทรถามเพราะเขาไม่สามารถตามเรื่องราวที่ได้ยินทันเลยแม้แต่น้อย

                หนังสือ... พวกโยมได้พบมันแล้วเหรอ มันคงถึงเวลาแล้วจริงๆ หลวงพ่อลุกขึ้นจากพื้นก้มหน้าหลับตา น้ำใสๆ ไหลหยดลงที่พื้นอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้ ความรู้สึกเวทนาก่อตัวขึ้นในหัวใจดวงนั้น จิตที่ถูกฝึกมาอย่างดีจะสั่นเพียงเล็กน้อยและปรับความเข้าใจกลับมาราบเรียบได้อีกครั้งในเวลาไม่นาน

                อีกไม่นานพวกโยมจะได้รู้ทุกอย่าง ทุกอย่างจะจบลงในอีกไม่กี่วัน ทุกอย่างจะจบ จะไม่มีใครต้องมาตายมากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่ตอนนี้มันเกิดขอบเขตที่อาตมาจะเอ่ยปากเล่าความใดๆ ได้อีกต่อไป แต่ก่อนจะจากไปขอทุกคนอย่าได้โกรธเคืองอาตมาเลยที่ไม่ได้อธิบายสิ่งใดให้ชัดแจ้ง และไม่ได้อยู่ช่วยเหลือจนวินาทีสุดท้าย มันสุดความสามารถของอาตมาแล้วจริงๆ   ภิกษุก้มหัวให้เล็กน้อยแทนการขอโทษอย่างจริงใจ เป็นเรื่องยากที่เด็กมัธยมจะเข้าใจในสิ่งที่พวกเขากำลังได้ยิน แต่พวกเขายังหวังว่าพระรูปนี้จะช่วยเขาได้เหมือนที่เคยช่วยรุ่นพี่คนนั้น

                ครั้งนี้หลวงพ่อก็ช่วยพวกเราสิ ทำไมช่วยพวกเราไม่ได้ภูที่เงียบอยู่นานตะคอกเสียงดังจนคนอื่นๆ สะดุ้งด้วยความตกใจ ครั้งนี้ท่านไม่ตอบไม่แสดงกริยาท่าทีอะไร เพียงแต่พูดประโยคออกมาสั้นๆ ก่อนจะหันหลังเดินลับออกไปนอกบานประตูห้อง เรื่องของกรรมใครเล่าจะขวางได้ อะไรที่วางได้ก็วางเสียเถิด ก่อนที่จะสูญเสียจิตใจของความเป็นมนุษย์ไปจนสิ้น

                นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อแม้นเพราะทันทีที่ภัทรวิ่งตามภิกษุออกมานอกประตูห้องนอนของลุงเจียด ที่ตรงนั้นก็เหลือเพียงความว่างเปล่าไร้วี่แววของภิกษุชรารูปนั้นแล้ว ภัทรขาอ่อนล้มลงกับพื้น เพื่อนคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงล้มนั้นวิ่งตามเข้ามาดูพร้อมกับได้รับรู้ถึงพื้นที่อันว่างเปล่าตรงหน้านั้นเหมือนกับภัทร

                เราจะทำยังไงกันต่อไปดี ความหวังเดียวที่จู่ๆ ก็โผล่มาตอนนี้ก็จางหายไปในอากาศราวกับเป็นเรื่องโกหก พวกเขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ได้อย่างไร สิ่งที่รับรู้ได้มีเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริง พวกเขากำลังโดนตำนานของโรงเรียนจ้องเอาชีวิต เหมือนกับคนที่โดนคำสาปจากในนิทานอย่างไรอย่างนั้น

                ใครบอกว่าพวกเราจะตาย อย่าคิดไปเองสิ ฟ้าร้องไห้ไม่อยากยอมรับความจริง แม้ว่าจะไม่มีใครพูดออกมาแต่ลึกลงไปในใจก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใครคนใดคนหนึ่งก็ต้องมีคนตายตามสองคนก่อนหน้านี้ที่จากไปก่อนแล้ว

                ถ้าพวกเธอเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมดนี้ พวกเธอต้องไม่รอดแน่ๆ เหมือนกับสองคนนั้น ลุงเจียดพูด

                ทำไมมีแต่พวกผมเล่า! ก่อนหน้านี้มันก็มีคนไปลองของตั้งเยอะตั้งแยะไม่ใช่รึไง!” ภูไม่สามารถทนกับความกดดันได้อีกต่อไปแล้ว

                มันก็ใช่ แต่ปีนี้มันไม่เหมือนทุกปี พวกเธอคงเข้าไปทำอะไรที่มันร้ายแรงเกินกว่าที่คนพวกนั้นเคยทำ จริงสิ ถ้าที่พระท่านบอกว่าที่นี่มีสัมภเวสีอยู่เยอะ ลองคิดดูดีๆ สิว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อาจจะพอรู้สาเหตุก็ได้ ลุงเจียดเริ่มพยายามคิดหาทางออกเพื่อช่วยพวกเด็กๆ

                อาคารเก่า!” ภัทรพูดออกมาเสียงดังทันทีที่นึกออก เพราะนั่นคือสถานที่แรกที่พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้งยังมีพิธีเซ่นไหว้เกิดขึ้นที่นั่นทุกปี เป็นไปได้ไหมว่าที่อาคารหลังนั้นจะเป็นจุดศูนย์รวมของสัมภเวสีพวกนั้น แต่ในตอนนี้มันกลับไหม้ไฟไปหมดแล้ว หรือถ้ามองอีกทางหนึ่งหากที่นั่นเป็นเหมือนกับคุก หรือที่จองจำพวกมันล่ะ เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้พวกมันถูกปล่อยออกมาแล้ว เรื่องต่างๆ ก็เลยเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะมีหนังสือเล่มนั้นอีก

                หนังสือ! ใช่ หนังสือ เราต้องไปเอามันมา เราต้องหาทางทำลายมัน!” อาร์ตตะโกนแล้วลากนิ้งวิ่งออกไปจากบ้านพักของลุงเจียดอย่างรีบร้อน

                มันจะเกี่ยวกับหนังสือนั่นจริงๆ เหรอภัทร ถ้ามันเป็นแค่หนังสือเฉยๆ ล่ะ ทำไมอาร์ตถึงยึดติดกับหนังสือนั่นขนาดนี้ หรือว่ามันมีอะไรจริงๆ ทำไมอาร์ตดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ฟ้ากอดแขนภัทรเอาไว้แน่นเมื่อได้เห็นท่าทีที่ไม่สมเหตุสมผลของเพื่อนรัก ไม่มีหลักฐานหรือเรื่องใดๆ ที่บ่งบอกถึงหนังสือเล่มนั้นแม้แต่น้อยว่ามันต่างจากหนังสือทั่วไปอย่างไรนอกจากว่ามันถูกเก็บไว้ในที่ที่มิดชิดเท่านั้น

                ภัทร กระดาษที่เราเอามาจากบ้านพี่ลิ มึงอ่านหรือยังวะ ภูถามถึงเรื่องที่ภัทรแทบจะลืมมันไปแล้ว เด็กหนุ่มล้วงเข้าไปในกางเกงและกระเป๋าสะพายใบเล็กคลับคล้ายคลับคลาว่ามันอยู่แถวนั้น

                ภัทรหยิบกระดาษที่ขาดเป็นชิ้นๆ ออกมากางไว้บนพื้นพยายามเรียงต่อมันเข้าด้วยกันด้วยความช่วยเหลือของฟ้าและภู ไม่นานนักพวกเขาก็สามารถเรียงมุมที่ขาดของกระดาษเข้าด้วยกันได้ รอยเลือดที่เปรอะอยู่บนกระดาษทำให้ฟ้าอ้วกไปหลายครั้งแต่ก็ฝืนตัวเองกลับมาอ่านมันจนได้ และข้อความนั้นยิ่งทำให้อยากอ้วกมากขึ้นไปอีก

                พวกมันอยู่ในหนังสือ ทุกคนจะต้องตาย


แสดงความคิดเห็น
แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม


ความคิดเห็น