ความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้งในโรงเรียนทรัพย์สถิตวิทยาเมื่อหลังจากที่อาจารย์เวรรวมถึงเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พบเหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณอาคารเก่าของโรงเรียน จากปากคำของอาจารย์ที่เข้าไปพบที่เกิดเหตุเป็นคนแรกเล่าว่ากองไฟมีความสูงและโหมแรงผิดปกติจนตนไม่สามารถเข้าไปดูที่เกิดเหตุในระยะใกล้ได้ กว่าจะเรียกหน่วยดับเพลิงเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้ตัวอาคารก็ไหม้จนแทบไม่ซากอีกแล้ว
“เห็นว่ามีการพบศพเด็กนักเรียนถูกไฟคลอกด้วยจริงหรือเปล่าครับ” นักข่าวคนหนึ่งยื่นไมค์ไปที่ไกรวัลย์ผู้อำนวยการโรงเรียนถามหาความจริงที่ตนได้มาจาการสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
“พบศพจริงครับ แต่ยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นใคร” ไกรวัลย์ก้มหน้ารับความจริงนั้นเพราะรู้ดีว่าคงไม่อาจปิดบังสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไปตลอด สู้พูดออกไปตรงๆ เลยคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแม้ว่ามันอาจจะกระทบกับชื่อเสียงของทางโรงเรียนก็ตาม
“ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีเหตุเด็กนักเรียนกระโดดตึกใช่ไหมครับ” นักข่าวอีกคนถามแทรกขึ้นมา ไกรวัลย์หน้าเสียไม่กล้าตอบคำถามนี้เพราะเรื่องเก่ายังไม่ทันจบก็มีเรื่องใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก สุดท้ายผู้อำนวยการโรงเรียนดังก็เลือกที่จะหันหลังให้กับสื่อมวลชนปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอาจารย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ ในการรับมือกับนักข่าวที่หิวโหย
ภายในห้องเล็กๆ ของโรงเรียน จริงๆ แล้วมันเป็นห้องเอนกประสงค์ของฝ่ายธุรการของโรงเรียน แต่ตอนนี้มันถูกใช้เป็นห้องสำหรับสอบปากคำของนักเรียนทั้งหมด 5 คน
“ภัทร ภู อาร์ต นิ้ง ฟ้า พวกเธอแน่ใจใช่ไหมว่า... นั่นคือกล้าจริงๆ” วรรณ อาจารย์ประจำชั้นของพวกเด็กๆ นั่งก้มหน้าปาดน้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลไปได้ไม่นาน เธอได้รับรายงานตั้งแต่ในช่วงกลางดึกที่ผ่านมาเกี่ยวกับเหตุเพลิงไหม้แต่ไม่คิดว่าจะพบผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์นั้นด้วย หนำซ้ำยังเป็นเด็กนักเรียนในความดูแลของเธออีกด้วย
“ครับ สร้อยของกล้าไม่ผิดแน่ครับ” ภูที่พอจะมีสติที่สุดเป็นคนตอบคำถามนั้นหลังจากได้เห็นสร้อยเงินในซองพลาสติกที่เก็บกู้มาจากที่เกิดเหตุ จริงๆ แล้วมีหลักฐานชิ้นอื่นๆ อีกที่บ่งบอกถึงตัวตนของผู้เคราะห์ร้ายแต่สร้อยเส้นนี้คงจะเป็นพยานวัตถุที่พอจะให้เด็กๆ เห็นได้มากที่สุด
ทุกคนตกอยู่ในความเสียใจอย่างวัดระดับไม่ได้ ก่อนหน้านี้มะลิวัลย์เองก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อพวกเขา คราวนี้เป็นกล้า เพื่อนรักของทุกคนในกลุ่ม การทำใจปรับความคิดความรู้สึกให้เท่าทันกับเหตุการณ์นั้นยากยิ่งเหลือเกิน โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาได้รู้ถึงสิ่งที่กล้าต้องเผชิญในช่วงหลังมานี้
“เดี๋ยวครูมานะ” อาจารย์ประจำชั้นขอตัวเดินออกจากห้องไปเพื่อปล่อยให้เด็กๆ อยู่กันตามลำพัง เธอรู้ดีว่าเธอควรจะเป็นคนหนึ่งที่คอยให้กำลังใจกับเด็กๆ แต่เธอเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ แค่ตัวเธอเองก็ยากยิ่งแล้วที่จะฝืนให้ตัวเองไม่ร้องไห้โฮต่อหน้าเด็กๆ ในความดูแลของเธอ
“นี่มันเรื่องจริงใช่ไหมวะ” อาร์ตยังไม่เชื่อว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพื่อนที่เพิ่งนั่งคุยกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนตอนนี้เขาจากไปแล้วตลอดกาล ฟ้าไม่สามารถเก็บความเสียใจไว้ได้อีกปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่อายโดยมีไหล่ของภัทรเป็นที่พึ่งพิง ภาพนั้นยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวด แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงจะเป็นอาร์ตที่ต้องมาสูญเสียคนสำคัญติดกันถึงสองคน
“อาร์ต เธอโอเคนะ” นิ้งขยับตัวเข้าไปใกล้ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงในขณะที่เธอรู้ดีว่าเหตุเพลิงไหมที่เกิดขึ้นนั้นเป็นฝีมือของตัวเธอเอง แต่เธอไม่มีความรู้สึกผิดหรือเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกล้าเลยแม้แต่น้อย เธอเหลือบไปมองอีกหนึ่งคนที่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ที่ตอนนี้ยังคงทำตัวเหมือนปกติ ยังคงเศร้าเสียใจกับการจากไปของเพื่อนรัก ทั้งที่ตนเป็นคนชี้ทางให้กับนิ้งด้วยตัวเอง
‘สัคเค...’ เสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เพียงคำเดียวก็ทำให้เด็กทั้ง 5 คนสะดุ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงนั้นไม่ได้เกิดจากการรับรู้ผ่านแก้วหู แต่มันดังก้องอยู่ในหัวของพวกเขา แม้จะไม่ได้ดังมากแต่ก็ชัดเจนทุกถ้อยคำ โดยเฉพาะภัทร ที่จดจำท่วงทำนองของมันได้เป็นอย่างดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินมัน
“พวกเธอ... ได้ยินไหม” ฟ้าเสียงสั่นถามเพื่อนคนอื่นๆ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงนั้น แต่อาการของทุกคนบ่งบอกว่าเธอไม่ใช่คนเดียวที่ได้ยินมัน ไหล่ของภัทรสั่นจนรู้สึกได้ใบหน้าซีดเผือดเพียงเพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนได้สัมผัสมาด้วยตัวเองก่อนหน้านี้
เสียงสวดนั้นดังอยู่ไม่นานนักก็หายไป ความหนักอึ้งของบรรยากาศเริ่มจากลง อาร์ตหอบหนักรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งก้าวออกมาจากห้องแคบๆ ที่ไม่มีอากาศถ่ายเท
“กูว่าเรื่องนี้มันไม่ปกติแล้ว พวกมึงว่าเราจะต้องตายแบบสองคนนั้นไหม” ภูพยายามร่วมรวมความกล้าพูดในสิ่งที่รู้ดีว่าทุกคนก็กังวลอยู่ในใจ สองชีวิตที่จากไปนอกจากจะเป็นเพื่อนรักแล้วทั้งสองยังเป็นผู้ที่ได้เห็นและสัมผัสกับหนังสือเล่มนั้น รวมไปถึงการพบเห็นพิธีกรรมในอาคารเก่าวันนั้นไม่ต่างจากห้าคนที่เหลืออยู่ในห้องนี้
อาร์ตลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปพร้อมกับหันมาบอกทุกคนให้มาเจอกันที่โรงเรียนคืนนี้ ‘ทุกอย่างมันจะต้องจบ’ นั่นคือคำพูดของเด็กหนุ่มที่ตัดสินใจอย่างแน่นแน่ก้าวผ่านความกลัวทั้งหมดที่มีจากเหตุผลที่เรียกว่า ‘ความรับผิดชอบ’ อาร์ตเชื่อว่าทั้งหมดนั้นเกิดมาจากความคึกคะนองและความอยากรู้อยากเห็นของตน หากมันจะจบก็ต้องมาจากน้ำมือเขา เด็กหนุ่มคิดอย่างนั้น แต่ภาพที่ปรากฏในสายตาของคนอื่นๆ นั้นอาร์ตดูไม่ต่างจากคนที่ขาดสติจากความรู้สึกด้านลบทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นในวันนี้
ณ ห้องประชุมใหญ่ของโรงเรียน อาจารย์ทุกคนนั่งก้มหน้ามองกระดาษขาวที่มีตัวหนังสือไม่กี่บรรทัดถูกพิมพ์ออกเมื่อไม่กี่นาทีก่อน อุณหภูมิของมันยังร้อนอยู่เหมือนกับใจที่ว้าวุ่นของทุกๆ คนในห้องนี้
“ท่านแน่ใจแล้วนะครับว่าจะทำอย่างนี้” วีระพลเพื่อนคู่คิดของไกรวัลย์กระซิบถามจากเก้าอี้ตัวข้างๆ ผู้อำนวยการโรงเรียนพยักหน้าเพราะเขาได้มั่นใจกับสิ่งที่ทำลงไปแล้วจึงได้เรียกอาจารย์ทุกคนมารวมกันในวันนี้ท่ามกล่างสถานการณ์อันรุนแรงของโรงเรียน
“ผมรับประกันว่าทุกคนที่เซ็นเอกสารแผ่นนี้จะไม่มีผลย้อนหลัง ไม่มีค่าปรับค่าเสียหายใดๆ และจะได้รับเงินเท่ากับเงินเดือนของทุกคนเป็นจำนวน 5 เดือน หลังจากนี้ ต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ผมให้ได้เพียงเท่านี้ แต่นี่คือจำนวนที่มากที่สุดที่ผมจะจ่ายให้ได้ทันทีในตอนนี้ครับ”
อาจารย์ทุกคนกลืนน้ำลายหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินข้อเสนอกับเอกสารการลาออกที่วางอยู่ตรงหน้า ไกรวัลย์รู้ดีว่าไม่มีใครอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ และอีกอย่างทุกคนก็รู้อยู่ลึกๆ แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่ เมื่อนึกถึงพิธีกรรมต่างๆ ที่สืบทอดกันมาในรั้วโรงเรียนแห่งนี้
“มันไม่ใช่แค่ประเพณีความเชื่อจริงๆ หรือคะ ผอ. หนูยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในครั้งแรกที่ได้ยิน จนมันเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ” อาจารย์หน้าใหม่ในห้องประชุมเหงื่อตกเพราะไม่คิดว่าหนึ่งในข้อตกลงและเรื่องที่ได้ฟังในวันที่เซ็นสัญญาเข้ามาเป็นอาจารย์โรงเรียนนี้จะเกิดขึ้นจริง ในวันนั้นเธอรู้สึกว่าถ้ามันใช่เรื่องจริงก็คงจะน่ากลัวไม่น้อย แต่ในยุคที่โลกก้าวไปไกลถึงขนาดนี้แล้วมันก็ดูเป็นเรื่องเหลวไหลเช่นกัน เธอจึงตัดสินใจเลือกเซ็นสัญญาเพราะเงินเดือนที่มากกว่าเกณฑ์ปกติหลายเท่า
วันนี้ห้องประชุมเงียบกว่าทุกครั้ง ไม่มีการถกเถียง ไม่มีรายงาน ไม่มีความเฮฮาหรือความบันเทิงใดๆ ทุกคนหวนนึกถึงประโยคของผู้อำนวยการในวันแรกพบเมื่อเซ็นสัญญา “ที่นี่ไม่ปกตินะครับ ทางโรงเรียนจึงแลกด้วยเงินค่าจ้างเท่านี้ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ที่นี่มีความเชื่อมีประเพณีปฏิบัติที่จะผิดไปเสียไม่ได้ มันถูกเขียนเอาไว้ในเอกสารด้านหลังอีกแผ่นหนึ่ง หากคุณอ่านดีแล้วยังยืนยันที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ผมก็พร้อมที่จะให้คุณเริ่มงานได้ภายในเจ็ดวันหลังจากนี้เลยครับ”
“แต่มันต้องก่อนงานบวงสรวง 10 วันนี่คะ แต่นี่เร็วกว่านั้นมากเลย หรือว่าเป็นเพราะเราเลื่อนวันงานเข้ามา ถ้าเราจัดงานไปแล้วทุกอย่างจะจบลงไหมคะ หรือว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปทุกปีๆ แล้วถ้าวันหนึ่งมันเป็นเด็กในความดูแลของฉันล่ะคะ ฉันจะทำยังไง” อาจารย์คนเดิมโวยวายน้ำตานองหน้าด้วยความเครียด แต่สิ่งที่เธอพูดออกมาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เพราะทุกคนล้วนคิดเหมือนกันไม่ต้องนับว่าเป็นเด็กในห้องเรียนที่ตนดูแลก็ได้ ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ภายในโรงเรียนแห่งนี้ไม่ว่าชั้นไหนห้องไหนก็ล้วนแต่เป็นเหมือนลูกหลานของครูอาจารย์ทุกคนอยู่แล้ว วรรณที่ได้ยินประโยคนั้นเองก็กลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ต่อไปไม่ได้เช่นกัน
“ผมไม่รู้หรอกครับว่ามันเกี่ยวข้องกันไหม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันต่างออกไปจากทุกๆ ปี มันรุนแรงกว่ามาก เราไม่เคยมีการสูญเสียมากกว่าหนึ่งชีวิตตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่รู้แล้วว่าจำนวนวันในตอนนี้มันเกี่ยวข้องหรือเปล่า ผมไม่กล้ารับรองความปลอดภัยใดๆ อีก จึงเรียกทุกคนมารวมกันในวันนี้ อีกเรื่องที่ผมยังไม่ได้แจ้งก็คือหลังจากมีข่าวเมื่อเช้านี้กระจายออกไป มีผู้ปกครองจำนวนมากโทรมาแจ้งความจำนงให้บุตรหลานลาออกแล้วครับ ผมมองไม่ออกเหมือนกันว่าเรื่องนี้จะจบลงก่อน หรือโรงเรียนนี้จะจบลงก่อน”
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมอาจารย์แต่ละคนเดินเอาเอกสารมาวางกองไว้ตรงหน้าผู้อำนวยการโดยคว่ำหน้าเอาไว้ไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองแสดงความต้องการใดลงไปบนกระดาษแผ่นนั้น ไกรวัลย์ก้มหัวให้อาจารย์ทุกคนแทนคำขอบคุณและขอโทษไปในตัว
“วีระพล จัดการให้มีงานบวงสรวงให้ทันภายในสามวันนี้ เราจะไม่รอเวลาอีกต่อไปแล้ว” ประโยคสุดท้ายของไกรวัลย์เหนื่อยอ่อน เขาไม่รู้ว่าการจัดงานนี้มันจะช่วยอะไรได้อีกหรือไม่ ไม่รู้แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เขาอยากหยิบปืนในลิ้นชักโต๊ะทำงานมาเป่าสมองตัวเองให้ดับไปเสียไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่เมื่อนึกถึงหน้าลูกเมียและเด็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ได้สติกลับมา แต่สติที่มีอยู่นั้นก็น้อยลงเต็มทีแล้ว
ทุกอย่างเป็นไปตามคาดของอาร์ตหลังจากที่พวกเขาก้าวออกมาจากห้องธุรการนั้นโรงเรียนก็ประกาศปิดเรียนอย่างไม่มีกำหนดเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทุกคนต่างแยกย้ายกลับบ้านรอเวลาที่จะได้มาพบกันในคืนนี้ แปลก ที่ไม่มีใครอิดออดหรือปฏิเสธในการนัดหมายครั้งนี้ นั่นอาจเป็นเพราะทุกคนกลัวว่าตัวเองจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นจึงอยากจะจบมัน หรืออย่างไรก็ไม่มีใครกล้าตอบออกมาอย่างชัดเจน
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปอย่างเชื่องช้า ทุกคนพยายามหาข้ออ้างพาตัวเองออกจากบ้านท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายของโรงเรียนโดยให้เหตุผลที่ใกล้เคียงกันว่าจะไปพักที่บ้านเพื่อนสักคนหนึ่งเนื่องจากอยากคุยกับเพื่อนถึงหนึ่งชีวิตที่จากไป แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับผู้ปกครองแต่เมื่อเด็กยืนยันอย่างนั้นก็เลือกที่จะเข้าใจและปล่อยไป เพราะบางเรื่องก็ต้องยอมรับว่าเพื่อนนั้นเข้าใจกันได้มากกว่าพ่อและแม่
ห้าทุ่ม ทุกคนมารวมตัวกันที่ซอยเล็กๆ ห่างจากรั้วโรงเรียนออกมาเล็กน้อย สีหน้าทุกคนไม่ต่างกันมากนัก เพราะล้วนแล้วแต่กลัวและไม่มั่นใจทั้งสิ้นยกเว้นก็แต่นิ้งที่ดูยิ้มแย้มเพราะได้ใกล้ชิดกับอาร์ตมากกว่าที่เคย ตอนนี้เธอกอดแขนเด็กหนุ่มเอาไว้แน่นส่วนอาร์ตเองก็ดูจะไม่ขัดเขินหรือรู้สึกรำคาญอะไร ภาพที่ได้เห็นนั้นค่อนข้างแปลกตาสำหรับคนอื่นๆ แต่ก็เลิกถามไปเพราะเหตุผลที่อาร์ตให้ไว้ก็พอจะฟังขึ้นอยู่ “นิ้งบอกว่ากลัวน่ะ ก็เลยปล่อย”
“แล้วรุ่นพี่มึงว่าไงบ้างวะ” ภูถามถึงรุ่นพี่ในชมรมฟุตบอลที่บอกว่าเป็นคนเดียวที่รอดมาจากเหตุการณ์นั้นได้ในอดีต อาร์ตส่ายหัวบอกว่าพยายามเค้นถามทุกอย่างแล้วพี่เขาก็ขอถอนตัวออกจากเรื่องนี้ไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยอีก เพียงแต่ส่งรูปถ่ายของรูปภาพนั้นมาให้ แม้ว่าจะถามถึงเบาะแสของพระที่ช่วยเหลือพวกเขาไว้ก็ไม่มีคำตอบใดๆ เลยที่เป็นประโยชน์ นั่นคงหมายถึงพวกเขาอาจต้องหาทางออกจากเรื่องราวในครั้งนี้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง
พอได้ยินอย่างนั้นกำลังใจที่มีก็เริ่มถดถอยลงไปอีก แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อไม่มีใครยื่นมือเข้ามาก็ต้องมีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ตะเกียกตะกายหาทางออก อย่างน้อยๆ มันก็ดีกว่านั่งรอให้ความตายเข้ามาใกล้โดยไม่ทำอะไรเลย
เด็กๆ ใช้เพียงแสงสว่างของค่ำคืนที่พอมีอยู่บ้างคลำทางมาจนถึงทางเข้าด้านข้างของกำแพงโรงเรียนทางเดียวกันกับที่พวกเขาเคยใช้ลอบเข้ามาเมื่อครั้งก่อน ทุกก้าวทำให้หวนคิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น และคืนนั้นเองคือคืนแรกที่กล้าเริ่มมีอาการแปลกๆ อาร์ตเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้จนลึกเสียจนเพื่อนคนอื่นๆ ไม่สัมผัสถึงความเศร้าเสียใจใดๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้น
จุดประสงค์ที่พวกเขาเข้ามาในโรงเรียนยามวิกาลอย่างนี้มีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือ ‘พวกเขามาหากล้า’ ภูเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาภายในห้องเล็กๆ ของฝ่ายธุรการ ‘ถ้าอาร์ตสามารถเห็นผีได้ อาร์ตก็ควรที่จะเห็นกล้าได้เช่นกัน’ ในตอนแรกภัทรยังรู้สึกขัดแย้งกับความคิดนี้เพราะการพูดถึงกล้าในรูปแบบวิญญาณนั้นยังคงอ่อนไหวเกินไปสำหรับความรู้สึก แต่เสียงเดียวหรือจะสู้สี่เสียงสุดท้ายก็ต้องมาเพราะการตัดสินใจของส่วนรวม
อีกหนึ่งเหตุผลที่น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่สุดของเรื่องนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘หนังสือเล่มนั้น’ ทุกคนรู้แล้วว่านิ้งคือคนสุดท้ายที่เก็บหนังสือเล่มนั้นไว้กับตัว แม้ว่าจะพยายามถามถึงเหตุผลมากแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าเด็กสาวจะยอมพูดออกมา ท่าทางของเธอแตกต่างจากปกติอยู่พอสมควรทำให้ทุกคนเริ่มหวั่นใจว่านิ้งเองก็อาจจะได้ผลกระทบจากเรื่องราวในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
สิ่งเดียวที่นิ้งยอมพูดถึงเรื่องนี้คือสถานที่ที่เธอซ่อนมันไว้ เธอบอกกับทุกคนว่าไม่ได้นำมันกลับบ้านหรือพกไว้กับตัว เธอซ่อนมันไว้ในสถานที่หนึ่งในโรงเรียนแห่งนี้หลังจากที่เธอได้’อ่าน’มันแล้ว ฟ้าที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอพยายามคาดคั้นถามว่าหนังสือเล่มนั้นเขียนอะไรเอาไว้เธอก็ไม่ยอมปริปากพูด ยอมให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวกับคำถามที่มาจากอาร์ตเพียงเท่านั้น
บรรยากาศในตอนนี้จริงๆ แล้วค่อนข้างน่าอึดอัด เพราะพฤติกรรมแปลกๆ ของนิ้งเริ่มทำให้คนรอบข้างรู้สึกไม่พอใจเว้นก็แต่อาร์ตที่กลายมาเป็นฝ่ายประนีประนอม ส่วนภูนั้นต้องเก็บกดความหงุดหงิดเอาไว้ให้ดีที่สุดไม่อย่างนั้นก็คงจะเผลอหลุดปากด่าเด็กผู้หญิงตรงหน้าไปสักชุดหรือสองชุด
ภายในโรงเรียนยังคงเงียบสงัดเหมือนดั่งเช่นคืนนั้น มีห้องบางห้องเปิดไฟสว่างอยู่คาดว่าคงจะเป็นอาจารย์เวรไม่ก็เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาสืบคดี เด็กๆ เดินเลาะไปตามตัวอาคารต่างๆ โดยมีอาร์ตกับนิ้งที่ตัวติดกันไม่ยอมห่างเป็นคนนำ ภูเดินอยู่ตรงกลางส่วนฟ้ากับภัทรนั้นรั้งอยู่ท้ายแถว
“ภัทรว่าอาร์ตกับนิ้งแปลกๆ ไหม” เด็กสาวถามด้วยความแคลงใจ
“เรื่องไหน นิ้งชอบอาร์ตมานานแล้วนี่” เด็กหนุ่มตอบเรียบๆ เพราะเขาสงสัยเรื่องอื่นมากกว่า
“มันก็ใช่ แต่เมื่อก่อนอาร์ตก็ไม่เคยสนใจนิ้งไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้ดูจะสนใจขึ้นมาซะเฉยๆ แล้วก็ดูอารมณ์ร้อนแปลกๆ ส่วนนิ้งก็ดูไม่สนใจอะไรเลย เหมือนคนที่หลงผู้ชายแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่ได้ว่าเพื่อนนะ แต่นิ้งไม่เคยเป็นขนาดนี้เลย”
ภัทรคิดตามก็รู้สึกเห็นได้ในทุกๆ ข้อที่ฟ้าพูด เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายมันอย่างไรแต่ก็รู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม แต่ในตอนนี้เขาไม่มีสมาธิจะมีคิดหาคำตอบในเรื่องความสัมพันธ์ของหญิงสาวตรงหน้าเพราะภัทรรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอื่นที่น่ากลัวกว่า
เด็กหนุ่มไม่ได้บอกใครแต่ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในรั้วโรงเรียนในคืนนี้ในหูของภัทรแว่วยินเสียงสวดบทเดิมซ้ำๆวนไปวนมาอยู่หลายรอบ เสียงของมันดูเหมือนมาจากที่ไกลๆ แต่เมื่อก้าวเท้าขยับไปทางทิศทางใดก็แล้วแต่เสียงเหล่านั้นก็ไม่ได้ใกล้หรือไกลมากกว่าเดิมเลยสักนิด อีกอย่างเขารู้สึกขนลุกอยู่ตลอดเวลา รู้สึกเหมือนถูกจับจ้องด้วยสายตาหลายคู่จากที่ไหนสักแห่ง มันทำให้ภัทรรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
อีกคนที่นิ่งเงียบไม่ได้บอกเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองได้เห็นคืออาร์ต ตอนนี้สิงที่ปรากฏสู่สายตาคู่นั้นคือเงาดำทะมึนของคนหลากหลายขนาด หลากหลายอิริยาบถกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของโรงเรียน ไม่ใช่ว่านี่คือครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้เห็นเงาดำเหล่านี้ในพื้นที่ แต่คืนนี้มันมากกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่จำนวน แต่มันยังชัดเจนเสียจนบางร่างนั้นคล้ายกับมนุษย์เป็นๆ ไม่ต่างอะไรจากพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ที่บริเวณด้านหลังตึกเรียนมีที่โล่งกว้างปกคลุมด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลายต้น พื้นดินที่นุ่มกว่าคอนกรีตสอดรับแรงเหยียบของฝ่าเท้าได้ดี กลิ่นฉุนของเถ้าเขม่ายังคงหลงเหลืออยู่จนทำให้รู้สึกแสบคอทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้าไป หัวใจของแต่ละคนเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้เห็นสถานที่สุดท้ายที่เพื่อนรักได้จากไป แม้ไม่ได้เห็นร่างไร้วิญญาณนั้นด้วยตัวเองแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันคงทรมานไม่น้อยเลยทีเดียว
ทุกชีวิตยืนนิ่งอยู่นอกเขตของเทปสีเหลืองจ้องมองซากอาคารที่เหลือเพียงเถ้าสีดำ นิ้งยืนหลบอยู่หลังอาร์ตไม่กล้ามองสิ่งที่เกิดจากน้ำมือของตัวเอง ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดในเรื่องของกล้า แต่เป็นความกลัวต่อกลุ่มเงาดำที่เธอได้เห็นมันเต็มสองตาในคืนนี้ เช่นเดียวกับภาพที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของอาร์ต เงาดำทั้งหมดนั้นเอนไหวไปมาคล้ายกับต้นหญ้าที่ลู่ลม จำนวนของมันมากเสียจนนับไม่ถ้วน
“กล้าอยู่ที่นี่ไหมอาร์ต” ภูถามอย่างมีความหวัง อาร์ตส่ายหน้าปฏิเสธเพราะยังไม่เห็นเงาร่างของเพื่อนรัก หรือจริงๆ แล้วกล้าอาจอยู่ที่นี่แต่เพียงแค่เขาแยกเพื่อนออกจากเงาดำตรงหน้าไม่ออกเท่านั้น ภัทรก้าวเท้าขึ้นมายืนข้างๆ อาร์ตแล้วตะโกนเรียกชื่อเพื่อนที่พวกเขากำลังตามหา
“นฤมิตร วงศ์พฤกษา กล้า! มึงอยู่ที่นี่ไหม ออกมาหาพวกกูที!” เสียงตะโกนดังก้องสะท้อนกลับไปมาระหว่างตัวตึก ภัทรตะโกนอย่างลืมตัวว่าจะมีใครมาได้ยินเสียงของเขาหรือไม่ และแน่นอนว่ามี ไม่กี่นาทีหลังจากเสียงตะโกนของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังมาจากด้านหลังอย่างรีบร้อนพร้อมกับแสงไฟจากไฟฉายในมือ
“นั่นใคร!” เสียงแหบแห้งของคนมากวัยดังมาจากเบื้องหลังของเด็กๆ แสงไฟที่สว่างจ้าจากไฟฉายในมือทำให้พวกเขามองไม่เห็นเจ้าของเสียง ได้แต่ยกมือขึ้นมาบังแสงที่สาดเข้าตาอย่างกะทันหัน
“ใจเย็นก่อนทุกคน อาตมามีเรื่องอยากคุยด้วย” จู่ๆ ก็มีอีกเสียงหนึ่งปรากฏขึ้นจากมุมมืดใต้เงาต้นไม้ใหญ่ เจ้าของเสียงนั้นก้าวเท้าออกมาช้าๆ แสงไฟเปลี่ยนจากกลุ่มของเด็กๆ ฉายไปทางชายในผืนจีวรสีกลักตรงหน้า ทั้งหมดตกอยู่ในความฉงนไม่ต่างกัน ดูเหมือนว่าจะมีเพียงภิกษุรูปนี้เท่านั้นที่อยู่ในอาการสงบไม่รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญอย่างนี้