ไกรวัลย์นั่งกุมขมับอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเองท่ามกลางเสียงเพลงชาติที่ดังไปทั่วโรงเรียน เช้านี้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมากมายภายในโรงเรียนแห่งนี้ ทั้งเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนชายสองคนเมื่อคืนที่ผ่านมา แม้ว่าตอนนี้ผู้ปกครองของเด็กทั้งสองจะมารับตัวไปแล้วเขาก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
เสียงของเทวกานต์ที่ชี้แจงถึงคำสั่งและความจำเป็นของทีมงานที่ต้องถอนตัวออกจากคดีนี้โดยด่วนยังคงดังก้องอยู่ในหู การที่เทวกานต์และคนอื่นๆ ถูกถอดออกจากคดีนั้นสร้างความกังวลให้ตัวเขาเป็นอย่างมาก ต่อให้มีตำรวจจากหน่วยอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทนก็ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้เขาเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเชื่อว่ามันเกิดจากฝีมือของ วิญญาณ ผีสาง หรือคำสาปใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่เรื่องการฆาตกรรมด้วยฝีมือมนุษย์
แม้ว่าตนจะไม่สบายใจและอยากยื้อให้เทวกานต์อยู่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเพียงใด แต่เขาก็เข้าใจว่าอย่างไรเสียเทวกานต์ก็ยังเป็นเพียงนายตำรวจผู้หนึ่งที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอยู่ดี ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามความต้องการของตัวเองได้ทั้งหมด
บนโต๊ะทำงานนั้นมีกล่องเอกสารกล่องหนึ่งที่เทวกานต์มอบให้กับผู้อำนวยการโรงเรียน ภายในนั้นมีข้อสันนิษฐานหลักฐานและเรื่องราวที่เขาเชื่อมโยงเอาไว้บรรจุอยู่ นอกจากนั้นยังมีกระดาษใบเล็กๆ ที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ทำบุญใหญ่ให้โรงเรียนสักครั้งก็ดีนะครับ’
ขณะเดียวกันบนรถตำรวจคันใหญ่ที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนด้วยความเร็วเกิน 120 กม./ชม. นายตำรวจทั้งสองคนนั่งเงียบมาตลอดทางจนหมวดเสือเป็นฝ่ายเอ่ยถามถึงการตัดสินใจของผู้เป็นนายอีกครั้ง
“อย่างนี้ดีแล้วจริงๆ ใช่ไหมครับนาย”
“ผมก็ไม่รู้หรอกหมวด แต่ทางนั้นต้องการเรามากกว่า พวกเขาฝากความหวังไว้ที่เรา แล้วอีกอย่าง... นนท์เพิ่งโทรมารายงานผมว่ามีคนของเราถูกจับได้เลยถูกเก็บไปอีกหนึ่ง หนำซ้ำยังมีชาวบ้านที่ถูกลากเข้ามาพัวพันเป็นตัวประกันเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ในตอนนี้” เทวกานต์เล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยากลำบาก
“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกครับเรื่องนั้น ทุกคนรู้อยู่แล้วว่างานนี้มันเสี่ยง แต่ผมก็เถียงไม่ออกจริงๆ ว่าสำหรับพวกเขา ไม่สิ พวกผมแล้ว นายคือคนที่เป็นดั่งที่พึ่งพิงจริงๆ” หมวดเสือตอบกลับด้วยความเข้าใจ
“อีกอย่างผมคิดว่านี่มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุทางนั้นเพื่อมาบีบเรา เกิดเหตุกับเด็กสองคนที่เป็นเพื่อนของเด็กที่ตุลย์ดูแลอยู่ พร้อมๆ กัน แล้วเช้านี้ จู่ๆ ทั้งหมดก็ฟื้น พ่อแม่มารับตัวกลับไปที่บ้านพร้อมๆ กัน ต่อให้เราอยู่ที่นี่ต่อไปก็ดูจะต้องเสียเวลาเปล่าเพราะพ่อกับแม่ของพวกเด็กรับตัวไปแล้ว เหมือนทุกอย่างบีบให้เราต้องเลือกที่จะถอนตัวออกมา หมวดคิดเหมือนผมไหม” เทวกานต์กระแทกเสียงอย่างหงุดหงิดทุบพวงมาลัยรถไปหนึ่งครั้งเพื่อระบายอารมณ์
“ผมคิดครับ แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะตอบว่ามันใช่หรือไม่ใช่ เอาเป็นว่าเรามีหน้าที่ต้องไปทำ ส่วนทางนี้ก็คงมีทางออกสักทางใดทางหนึ่ง เราเองก็ทำสองงานพร้อมๆ กันไม่ได้”
“มันยากจริงๆ หมวด แม้แต่ตอนนี้ผมยังอยากกลับไปที่โรงเรียนนั้นเลย แต่พอคิดว่าคนทางนั้นกำลังต้องเดือดร้อนเพราะผม มันก็นอนใจไม่ได้ ทำไมมันต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้พร้อมๆ กันนะ”
“กรรมล่ะมั้งครับ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรจริงๆ” เทวกานต์สะดุดกับคำนี้
“เราก็คงได้แต่หวังว่าพวกเขาจะมีทางออก หวังว่าจะมีคนเข้ามาช่วยพวกเขาได้ เราคงทำได้แค่ภาวนาเท่านั้น ส่วนเราก็ต้องไปชดใช้และรับกรรมในส่วนที่เป็นของเรา อย่างนั้นล่ะมั้งหมวด” เทวกานต์ถอนหายใจ
“ครับ กรรมใครกรรมมัน ผมเชื่ออย่างนั้น” นายตำรวจทั้งสองไม่มีข้อสรุปให้แก่ใจของตนเอง แต่เวลาก็ไม่คอยท่าให้พวกเขามาค่อยๆตัดสินใจให้ดีอย่างถี่ถ้วน ตอนนี้พวกเขาต้องทำในสิ่งที่ทำได้และต้องทำ เทวกานต์ลงน้ำหนักที่คันเร่งให้มากขึ้นเพื่อไปให้ถึงยังพื้นที่นั้นให้เร็วขึ้นอีกนิด วันนี้คือวันสุดท้ายที่เขาจะได้รับข่าวสารเกี่ยวกับโรงเรียนทรัพย์สถิตวิทยา เขาหมดหน้าที่แล้ว เหมือนกับเพื่อนรักของเขานายแพทย์ตุลย์ที่ถูกถอดออกจากคดีทันทีเพราะเขาเข้ามารับหน้าที่นี้เพราะเทวกานต์เป็นของตัวไปตั้งแต่แรก
ทุกอย่างต้องเป็นไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น ไม่มีใครก้าวล่วงกรรมของใครได้ หากไม่ได้ก่อก็มิอาจเข้าไปยุ่ง มันเป็นอย่างนั้น เสมอมา
............................................................................................................
ณ บ้านของภัทร ตอนนี้เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงหลังจากออกโรงพยาบาลมาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เขาถูกสั่งห้ามออกจากบ้านเป็นระยะเวลาหนึ่งไม่ใช่จนกว่าอาการบาดเจ็บจะหายดี แต่เป็นจนกว่าที่พ่อและแม่ของเขาจะมั่นใจและสบายใจขึ้น เพราะตอนนี้ภัทรไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ บนร่างกายเลยแม้แต่น้อย
“ฟ้าว่ามันแปลกไหม ที่เราไม่เจ็บเลย” เด็กหนุ่มปรึกษาเพื่อนรักที่จริงๆ แล้วคือคนรักผ่านสายโทรศัพท์ วันนี้ฟ้าเองก็ไม่ได้ไปที่โรงเรียนตามปกติเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเธอและนิ้งในห้องสมุดของโรงเรียน
“เราก็ว่ามันแปลก แต่ภัทรไม่เจ็บก็ดีแล้วล่ะ” น้ำเสียงของฝ่ายหญิงไม่ได้ฉายแววความห่วงใยหรือรู้สึกดีใจเท่าที่ควรเพราะใบหน้าของนิ้งที่เธอได้เห็นนั้นยังติดตาอยู่ ดวงตาที่เหม่อลอยรอยยิ้มอันน่าขนลุกราวกับคนเสียสติ
ตอนนี้มีเพียงฟ้าและภัทรเท่านั้นที่ติดต่อซึ่งกันและกันได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นพวกเขารู้แค่เพียงว่าอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง อาร์ตกับกล้าฟื้นแล้วแต่ดูเหมือนจะมีอาการทางจิตเกิดขึ้นซึ่งผู้เกี่ยวข้องลงความเห็นว่าเกิดจากผลกระทบทางจิตใจเท่านั้น
“เราว่ามันไม่ใช่เรื่องผลกระทบทางจิตอะไรนั่นหรอก เราว่ามันเป็นเรื่องอื่น อาจจะเป็นคำสาปหรือตำนานของโรงเรียนก็ได้” ภัทรพูดกับฟ้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ แต่ไม่ได้เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองได้เห็นในตอนที่ตัวเองสลบไป
“มันก็อาจจะใช่ มันน่ากลัว แล้วก็ไร้เหตุผลเกินไป ช่วงนี้ก็ใกล้งานโรงเรียนแล้วด้วย ที่เขาว่าจะมีคนตายทุกปีมันก็มีมาตลอด ปีนี้ก็เป็นพี่ลิ... แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเรามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่คนอื่นๆ ในโรงเรียนพูดกันให้แซ่ดเลยว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตำนานของโรงเรียน” น้ำเสียงของฟ้าสับสน
“ตำนานไหนอีก ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอฟ้า” ภัทรถามกลับทันทีที่ได้ยินเรื่องที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน
ฟ้าสูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มเล่าถึงเรื่องที่กำลังถูกพูดถึงไปทั่วโรงเรียน อาจไม่แปลกที่กลุ่มผู้ชายจะไม่รู้อะไรมากนัก ข่าวในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงนั้นกระจายไปได้ไกลและเร็วกว่า แม้ใจความจะผิดเพี้ยนไปบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง แต่บางประเด็นกลับเชื่อมถึงกันได้อย่างประหลาด
หลังจากเกิดเหตุการณ์เสียชีวิตอย่างปริศนาของมะลิวัลย์ภายในหมู่นักเรียนก็เริ่มมีข่าวลือแปลกๆ กระจายออกไป บ้างก็ว่ามะลิวัลย์นั้นเรียนจนเครียดเกินไปจนฆ่าตัวตาย นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เห็นสภาพในห้องนอนของผู้ตายและรายละเอียดด้านคดีอื่นๆ เหมือนอย่างผู้เกี่ยวข้อง
ข่าวลืออีกสายหนึ่งบอกว่ามะลิวัลย์คือเครื่องเซ่นสำหรับโรงเรียนในปีนี้ ซึ่งข่าวนี้เป็นข่าวที่มีคนเชื่อมากที่สุดในหมู่ข่าวลือทั้งหมด แต่บางเสียงก็แย้งว่ามันยังไม่ถึงช่วงที่จะมีคนตายในโรงเรียน เพราะเรื่องของมะลิวัลย์เกิดห่างจากช่วงกำหนดการของงานบวงสรวงโรงเรียนนานพอสมควร
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่เราก็ได้ยินมาผ่านๆ แต่ไม่รู้ละเอียดนะ” ภัทรตั้งใจฟังในสิ่งที่ฟ้ากำลังจะเล่าให้ฟัง
เรื่องที่ว่านั้นคือเรื่องที่ภัทรกับฟ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน นั่นคือเรื่องของตำนานโรงเรียนที่ถูกพูดถึงในคนกลุ่มน้อยเพราะต้องเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงที่ได้มีโอกาสมานอนที่โรงเรียนบ่อยๆ จนสนิทกับบุคลากรเก่าแก่ของโรงเรียน
อย่างเรื่องนี้เองเด็กคนที่เป็นคนมาพูดต่อก็เป็นแกนนำกิจกรรมคนหนึ่ง เธอสนิทกับคนแทบจะทั้งโรงเรียน ตำนานที่เธอพูดถึงนั้นคือเรื่องเล่าที่ส่งต่อกันมานานเป็นเรื่องเล่าสมัยตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนว่า ที่โรงเรียนนี้สร้างทับที่ทับทางมีบางอย่างถูกฝังไว้ข้างใต้ไม่ก็เคยเป็นสนามรบ เอาเป็นว่ามีบางอยู่อยู่ใต้ที่ดินผืนนี้อย่างแน่นอน
“เรื่องนี้มันก็มีคนพูดถึงเยอะไม่ใช่เหรอฟ้า” ภัทรถามแย้งเพราะจำได้ว่าเคยได้ยินอะไรทำนองนี้มามากพอสมควรแม้แต่เรื่องของมะลิวัลย์และงานบวงสรวงโรงเรียนเองก็เป็นเรื่องที่เชื่อว่าเกิดมาจากสาเหตุนี้
“ฟังก่อนสิภัทร มันเจาะจงลงไปมากกว่านั้น” ฟ้าดุแฟนหนุ่มแล้วเริ่มเล่าต่อด้วยเสียงเบาๆ เพราะรู้สึกกลัวที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้ในเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องนอนของตัวเอง
ตำนานอันไร้ที่มานี้เจาะจงลงไปถึงสถานที่และอาคารเรียนที่เชื่อกันว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด หนึ่งในนั้นภัทรเดาออกว่าต้องเป็นอาคารเรียนเก่าที่อยู่หลังโรงเรียนเพราะพวกเขาได้ไปเห็นพิธีกรรมที่เหล่าอาจารย์แอบทำกันเองมาแล้วด้วยตาของตัวเอง แต่อีกสถานที่หนึ่งนั้นเกินความคาดหมายของเขาไปพอสมควร
‘ห้องสมุด’ นั่นคือชื่อสถานที่ที่ฟ้าเป็นคนพูดออกมา ตำนานนั้นเล่าไว้ว่าภายในห้องสมุด มีมุมห้อง กล่อง หรือมุมลับสักจุดหนึ่งที่เก็บของอันตรายเอาไว้ บางคนเชื่อว่าเป็นกระดูกคนตาย บางคนว่าเป็นไม้ตะเคียน บางคนว่าเป็นศาลเก่าก่อนก่อตั้งโรงเรียน แต่ทุกความเชื่อนั้นมุ่งตรงไปที่ห้องสมุด กับเรื่องของการ ‘เก็บซ่อน’ ของบางอย่างเอาไว้
“อย่าบอกนะว่า... ” ภัทรขนลุกเกรียวเมื่อนึกถึงห้องสมุดและสิ่งที่พวกเขาได้พบเจอมันโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้ และเมื่อคิดได้อย่างนั้นก็อดคิดไปเองไม่ได้จริงๆ ว่ามันจะเกี่ยวข้องกัน เพราะทุกอย่างมันเริ่มขึ้นหลังจากที่อาร์ตเข้าไปพบหนังสือเล่มนั้น และมะลิวัลย์เองก็คือคนหนึ่งที่ได้เห็นและได้สัมผัสมันโดยตรง
“ฟ้าก็ไม่รู้ แต่ก็แอบคิดว่าอาจเป็นหนังสือเล่มนั้นเหมือนกัน” ฟ้าถอนหายใจเสียงดังจนได้ยินผ่านสายโทรศัพท์ เด็กสาวเริ่มเล่าต่อ
ไม่ใช่แค่บางสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ในห้องสมุด แต่ถ้าหากใครบังเอิญได้ไปพบเจอหรือบังเอิญไปเห็นมันเข้าชีวิตของพวกเขาจะต้องถึงจุดจบเพราะสิ่งที่ถูกซ่อนไว้นั้นเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งของใครบางคนที่มีความแค้นต่อที่นี่หรือโรงเรียนทรัพย์สถิตวิทยาแห่งนี้ นั่นเป็นต้นเหตุให้มีเด็กนักเรียนของเราตายทุกปี
“มันดูผสมๆ มั่วๆ ยังไงไม่รู้” ภัทรพูดเพราะรู้สึกเหมือนมันเป็นการจับแพะชนแกะของหลายๆ เรื่องเข้าด้วยกัน
“ฟ้าก็คิดแบบนั้นก็แค่เล่าในสิ่งที่ได้ยินมาให้ฟังเฉยๆ”
“แล้วอาคารเก่าล่ะ มีใครว่ายังไงไหม” ภัทรถามถึงอีกที่หนึ่ง
แน่นอนว่าต้องมีเรื่องเล่าที่พูดถึงอาคารหลังนั้นอยู่แล้วต่อให้ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แค่ตัวอาคารและตำแหน่งที่ตั้งของมันเองก็ทำให้รู้สึกขนลุกได้ไม่ยากแล้ว
อาคารหลังนั้นบ้างก็ว่าเป็นอาคารเก่าตั้งแต่สมัยก่อตั้งโรงเรียน บ้างก็ว่าตัวอาคารเก่านั้นได้พังเสียหายไปหมดแล้วที่เห็นอยู่เป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาครอบตัวอาคารเก่าเอาไว้เท่านั้น แต่มันก็ถูกสร้างขึ้นมานานแล้วเหมือนกันเพียงแค่ไม่ใช่อาคารแรกที่ถูกสร้างเท่านั้น
ถ้าว่ากันตามจริงแล้วตำนานในโรงเรียนจะมุ่งไปที่อาคารเก่ามากกว่าห้องสมุด แต่ดีที่ทุกๆ ปีเหล่าอาจารย์จะแอบทำพิธีถวายเครื่องเซ่นกันอย่างลับๆ ไม่ให้เด็กๆ รู้เพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้น
“เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนทั้งสองได้ยินเรื่องนี้เพราะก่อนหน้านี้อาร์ตก็เป็นคนนำมาเล่าต่อและพวกเขาก็ได้ไปเห็นมันมาแล้วด้วยตาของตัวเอง
“แต่ถ้าพูดถึงว่ามันมีพิธี มันก็มีจริงๆ แต่ทำไมยังมีคนตายอยู่ล่ะ” ภัทรถามต่อในสิ่งที่ดูไม่สอดคล้องกัน
ฟ้าบอกว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นการทำพิธีถวายเครื่องเซ่นเป็นเพียงการบรรเทาหรือผ่อนผันผลลัพธ์เท่านั้นจึงมีคนตายเพียงแค่ปีละหนึ่งคน แต่เรื่องที่ถูกพูดถึงจริงๆ คือเรื่องของผู้ที่เข้าไปพบเห็นโดยบังเอิญไม่ใช่ทั้งพิธีและผู้เข้าร่วมพิธี
ตำนานทั้งหมดถูกเชื่อมโยงกันในหลายๆ จุดแต่ที่แน่ๆ คือผู้ที่สุ่มเสี่ยงจะได้รับผลกระทบมากที่สุดนั้นคือผู้ที่เข้าไปพบเห็นหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งสองนี้โดยบังเอิญ
เมื่อได้ยินอย่างนั้นบทสนทนาก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเด็กทั้งสองคนรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
“แล้วพวกเราก็เป็นกลุ่มคนที่เข้าไปพบเจอทั้งสองเหตุการณ์โดยบังเอิญอย่างนั้นสินะ” ภัทรทวนสิ่งที่ตนคิดอยู่ในใจออกมาเป็นคำพูดเช่นเดียวกับที่ฟ้าเงียบฟังเพราะคิดเห็นในเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วถ้าจะพูดให้ถูกพวกเขาไม่ได้เข้าไปพบมันโดยบังเอิญเสียทีเดียว แต่พวกเขาจงใจเข้าไปหามันเองต่างหาก
เด็กทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันถึงในเรื่องนี้ต่อไปอีกหน่อยพยายามจะหาจุดเชื่อมโยงและทางออกเพราะตอนนี้พวกเขาอดคิดไม่ได้เลยว่าผลลัพธ์จากตำนานเหล่านั้นกำลังเกิดขึ้นจริงกับพวกเขาทุกคน เว้นแต่เพียงฟ้าเท่านั้นที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เลย
“ดีนะที่ฟ้าไม่ได้เข้ามาเกี่ยวด้วย แต่พวกเรานี่สิเต็มๆ เลย” ภัทรโล่งอกที่อย่างน้อยคนรักของตนคงจะรอดพ้นจากเรื่องร้ายๆ ที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็กลายเป็นว่าปลายสายนั้นเงียบไปไม่ตอบกลับในสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป
“เป็นอะไรหรือเปล่าฟ้า” ภัทรเริ่มใจไม่ดี
“คือจะว่าไม่เกี่ยวก็อาจจะไม่ใช่สักทีเดียวแล้วล่ะภัทร” เด็กสาวอ้ำอึ้งตอบตะกุกตะกักกับภัทรเป็นพอได้ยิน ดังนั้นจึงเค้นถามให้ได้ความจนในที่สุดฟ้าก็ยอมเล่าให้ฟังว่าตนกับนิ้งได้ลอบเข้าไปในสมุดนั้นและได้พบกับหนังสือเล่มเดิมที่ตอนนี้มันตกไปอยู่ในมือของนิ้ง โดยที่ฟ้าเองก็ไม่สามารถติดต่อนิ้งได้เลยตั้งแต่ตอนนั้น
ณ ห้องผู้อำนวยการโรงเรียนในวันเดียวกันนั้นหลังจากที่เทวกานต์และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ได้ถอนตัวออกไปและรอให้ทีมใหม่เข้ามาประจำการแทนนั้น ไกรวัลย์ได้เรียกประชุมด่วนอาจารย์ทุกคนในโรงเรียนเพื่อควบคุมสถานการณ์
ทันทีที่ผู้อำนวยการแจ้งข่าวการถอนตัวของเจ้าหน้าที่ความวุ่นวายก็เข้ามาเยือนห้องประชุม ทั้งความกังวลและความกลัวก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอาจารย์บางคนถึงกับร้องไห้ออกมากลางห้อง
อาการของอาจารย์แต่ละคนนั้นเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีว่าพวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างพวกเขารู้ถึงสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และเมื่อมันเกินจะควบคุมอย่างที่เป็นอยู่นี้พวกเขาก็เริ่มที่จะลนลานหาทางออกให้ตัวเอง
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นมีอาจารย์คนหนึ่งเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการแล้วกระซิบที่ข้างหูเบาๆ ความเห็นนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจและมันก็ตรงกับที่เทวกานต์เขียนโน๊ตทิ้งไว้ให้แต่แตกต่างกันนิดหนึ่งในความหมายของมัน
“ผอ. ครับ ผมว่าปีนี้เราเลื่อนงานบวงสรวงโรงเรียนขึ้นมาให้เร็วขึ้นไหมครับ อย่างไรเสียผมก็เตรียมการเอาไว้จนเรียบร้อยแล้ว” อาจารย์วีระพลกระซิบ
“ผมเห็นด้วยนะ เอาอย่างนั้นเลยก็ได้ ส่วนวันเวลาผมจะแจ้งไปอีกครั้ง แต่ไม่เกือบสัปดาห์แน่ๆ ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี เรื่องพวกนี้อาจจะจบลง หรือไม่ก็ต่อเวลาไปได้อีกปีหนึ่ง” ไกรวัลย์ก้มหน้าพูดอย่างเหนื่อยอ่อน
“ครับ อย่างน้อยเราก็เสียมะลิวัลย์ไปแล้ว ขอให้เป็นคนสุดท้าย เราจะจัดการเรื่องนี้ให้จบก่อนที่จะมีรายถัดไปกันเถอะครับ”
ทั้งสองคนมีคิดเห็นที่ตรงกัน อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าในทุกๆ ปีจะมีนักเรียนเสียชีวิตในช่วงงานสถาปนาหรือบวงสรวงโรงเรียนที่จัดขึ้นในทุกๆปี ในช่วงสิบวันก่อนการจัดงานจะมีหนึ่งชีวิตจากไป ครั้งนี้มะลิวัลย์จากไปก่อนกำหนดเวลาอย่างที่ควรจะเป็น การเลื่อนงานโรงเรียนเข้ามาอาจช่วยให้ทุกอย่างจบลงก็เป็นได้ พวกเขาคิดอย่างนั้นทั้งที่ยังไม่ได้เข้าใจถึงเนื้อในใจความของสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
หนึ่งวันอันยาวนานกำลังจะผ่านพ้นไป วันนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นพร้อมๆ กันแตกต่างกันที่ใจความและบุคคลผู้มีส่วนร่วมแต่ทั้งหมดนั้นยังคงถูกเชื่อมโยงและโยงใยเข้ามาที่สิ่งเดียวกันนั่นคือโรงเรียนทรัพย์สถิตวิทยา
ทิวากำลังเคลื่อนคล้อยเปลี่ยนผ่านสู่ราตรีแต่ยังมีเด็กสาวคนหนึ่งทำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวในห้องนอนมืดๆ ที่ปิดม่านเอาไว้จนมิดไม่ปล่อยให้แสงสว่างใดส่องผ่านเข้ามา
แม่ของนิ้งเก็บจานข้าวที่วางไว้หน้าประตูห้องนอนออกแล้วเปลี่ยนเอาถาดใหม่วางไว้ให้พร้อมเคาะเรียกให้ลูกสาวออกมาหาอะไรใส่ท้องบ้างเพราะตั้งแต่เธอกลับมาที่บ้านเมื่อคืนก็เอาแต่เก็บตัวและไม่ยอมไปโรงเรียน เคาะประตูให้ตายก็ไม่มาเปิด มีเพียงเสียงตะโกนตอบกลับมาให้รู้ว่าเธอยังหายใจเท่านั้น
ภายในห้องนอนของนิ้ง มีกระดาษหลายแผ่นเกลื่อนอยู่บนพื้นห้อง บนหน้ากระดาษมีบางอย่างถูกเขียนเอาไว้อย่างหวัดๆ คล้ายกับการจดโน๊ตกันลืม ใจความของมันไม่ได้ต่อกันแต่เป็นชื่อของสิ่งของหลายๆอย่างที่ถูกจดรวมกันเอาไว้เท่านั้น
เด็กสาวขังตัวเองไว้ใต้ผ้านวมผืนใหญ่เปิดเครื่องปรับอากาศในห้องให้เย็นฉ่ำ มีโคมไฟเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างๆ คอยให้แสงสว่าง เธอกำลังหมกมุ่นและมีความสุขกับการอ่านสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือเล่มเก่า เล่มที่เธอหยิบมันมาจากห้องแปลกๆ ในอาคารห้องสมุด
นิ้งจ้องมองตัวหนังสือที่ถูกเขียนไว้ด้วยลายมือไล่ไปมาทีละตัวอักษร ใจความของมันคืออะไรไม่มีใครรู้แต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกใจเธอเสียเหลือเกิน เธอยิ้มกว้างจ้องมองพวกมันดวงตาเหลือกลอยเหมือนคนเสียสติ พร้อมกับพูดประโยคเดิมซ้ำๆ หากใครผ่านมาได้ยินเข้าคงจะคิดว่าเธอเป็นบ้าแน่ๆ
“ใช่แล้วอาร์ต เรารักกัน เรารักกันมานาน เรารักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เราเกิดมาคู่กัน ไม่ใช่อีมะลิวัลย์ แต่เป็นเราสองคน รอก่อนนะ เราจะช่วยอาร์ตเอง เราจะได้อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันตลอดไป”