หนึ่งทุ่มวันเดียวกัน
บนถนนที่สว่างไสวด้วยแสงไฟจากถนนและบ้านเรือนต่างๆ หัวใจของเด็กหนุ่มสองคนกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่บนเบาะรถมอเตอร์ไซด์ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่หนึ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องวนกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง
“มึงเอาจริงเหรอวะภู” ภัทรถามเพื่อนรักที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่ขับรถออกมาจากรั้วโรงเรียน
“เออสิวะ ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มึงก็เห็นไอ้กล้ากับไอ้อาร์ตแล้วนี่” ภูตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ฝ่ามือนั้นชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกลื่นจนเกือบหลุดจากคันเร่งของรถมอเตอร์ไซด์
แม้ว่าจะประกาศกร้าวอย่างมั่นใจแล้วแต่ความเร็วของรถมอเตอร์ไซด์กลับสวนทาง เพราะมันเคลื่อนตัวไปตามถนนด้วยความเร็วเพียง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจที่ซ่อนอยู่ข้างในลึกๆของเด็กหนุ่มทั้งสองคน
ความจริงแล้วปลายทางของภัทรและภูนั้นไม่ได้ไกลจากโรงเรียนมากสักเท่าไหร่ แต่คราวนี้เขาต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงในการเดินทางกว่าจะมาถึงที่บ้านหลังนี้ บ้านที่เคยเต็มไปด้วยความสุขและความทรงจำของคนในบ้าน บ้านที่วันนี้เหลือไว้เพียงเทปสีเหลืองของตำรวจที่กั้นอยู่หน้าประตูรั้ว
“มึงเอาจริงใช่ไหมวะ มึงว่าพ่อแม่พี่ลิเขาจะยอมให้เราเข้าไปในบ้านเหรอวะ” ภัทรยืนมองบ้านของมะลิวัลย์อยู่ห่างๆพร้อมกับภูที่พยายามสูดลมหายใจเข้าออกให้ลึกและช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อปรับอารมณ์
ภูหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ ถนนหน้าบ้านหลังนี้เคยครึกครื้นอยู่เป็นปกติแต่หลังจากเกิดเหตุการณ์การจากไปของมะลิวัลย์ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดินถนนเส้นนี้จะเงียบสงัดไม่มีใครเดินผ่านไปมา หรือถ้ามีก็จะต้องรีบผ่านไปให้เร็วที่สุด เพราะเชื่อว่าวิญญาณของเด็กสาวยังไม่ไปไหนและยังคงวนเวียนอยู่ที่บ้านหลังนี้เสมอมา
เด็กทั้งสองคนหยุดยืนที่หน้าประตูรั้วของบ้านสายตาจ้องไปยังกริ่งหน้าบ้านอย่างกล้าๆกลัวๆ ภัทรและภูมองหน้ากันว่า ‘ใครควรจะเป็นคนกด’ สุดท้ายคนที่ตัดสินใจกดกริ่งนั้นก็คือภู
เสียงกริ่งไฟฟ้าดังแค่หนึ่งครั้งพร้อมกับประตูด้านในของบ้านที่เปิดออก ตอนนี้เด็กทั้งสองคนรู้แล้วว่าไม่สามารถถอยหลังกลับได้อีก พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไปแล้ว
“มาหาใครคะ?” หญิงวัยกลางคนที่พอจะจำได้ว่าเป็นแม่ของมะลิวัลย์เอ่ยปากทักเมื่อเห็นเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวที่เพิ่งจากไปของตัวเอง ภัทรและภูอ้ำอึ้งยังไม่กล้าพูดอะไรเพราะเมื่อสังเกตดูดีๆแล้วใบหน้าของคนตรงหน้านั้นค่อนข้างโทรมที่ใต้ตายังคงมีร่องรอยของการร้องไห้อย่างหนักและคงจะติดต่อกันมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
“ขอผมเข้าไปในบ้านได้ไหมครับ” นั่นคือสิ่งที่ภูพูดออกจากปากโดยไม่ได้ปรึกษาเพื่อนข้างๆ และใจความของมันช่างคลุมเครือและไม่เหมาะสมต่อการเป็นประโยคเริ่มต้นการสนทนากับเจ้าของบ้านเลยสักนิด ภัทรกระทุ้งแขนเข้าที่ชายโครงของเพื่อนด้วยความตกใจกลัวจะถูกต่อว่าจากเจ้าของบ้านเพราะคำพูดที่ไร้มารยาทนั้น แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขาต้องประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อแม่ของมะลิวัลย์เอื้อมมือออกมาปลดกลอนที่ล๊อครั้วบ้านเอาไว้แล้วเปิดให้ทั้งสองคนเข้ามาอย่างว่าง่าย
ภัทรถูกภูดึงแขนเข้าไปในบ้านทั้งที่ยังอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น แม่ของมะลิวัลย์เองยืนรอเพื่อปิดประตูโดยอยู่ในอาการสงบ แต่ในตอนที่ภัทรเหลือบไปมองเธอที่เดินตามหลังมาอย่างเงียบๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากแม่ของมะลิวัลย์
เด็กหนุ่มจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ตอนนี้มันช่างอ้างว้างและล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ภัทรบอกกับตัวเองว่านั่นอาจจะเป็นผลกระทบจากการเสียใจอย่างรุนแรงที่ต้องเสียลูกสาวไป แต่ลึกลงไปในใจเขากลับรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นมีความผิดปกติแอบซ่อนอยู่ มันมีอะไรมากกว่าความเสียใจที่เขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายมันออกมาว่าอย่างไร
ภายในบ้านยังคงสะอาดสะอ้านเหมือนในยามที่ทุกชีวิตเคยอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสุขสันติ์จะมีบ้างก็แต่ข้าวของบางชิ้นที่เคยเป็นสมบัติของลูกสาวถูกนำมาวางไว้ตามโต๊ะและเก้าอี้เพื่อระลึกถึงในบางเวลา
“เราขอขึ้นไปดูห้องของพี่มะลิวัลย์นะครับ” ไม่มีเสียงตอบรับจากแม่ของมะลิวัลย์ เธอเพียงแค่เดินอย่างเหม่อลอยกลับเข้าไปในครัวที่ดูเหมือนว่าจะทำอะไรค้างไว้อยู่ก่อนจะมาเปิดประตูบ้านให้เด็กทั้งสอง ภาพนั้นยากที่จะเข้าใจแต่มันก็เกิดขึ้นจริงแล้วในขณะนี้
เนื่องจากไม่ได้รับการตอบกลับใดๆทั้งสองคนจึงต้องเดินไปจุดต่างๆภายในบ้านขนาดกลางเพื่อหาห้องนอนของมะลิวัลย์ด้วยตัวเอง ภายในบ้านแม้จะยังคงสะอาดเรียบร้อยดีแต่ไฟในบ้านกลับถูกเปิดไว้อย่างจำกัด ทางเดินบางมุมนั้นแทบจะมือสนิทถ้าไม่มีแสงไฟสะท้อนมาจากห้องใหญ่ที่อยู่ถัดไป
ขณะภายในบ้านมีแค่เด็กทั้งสองคนกับแม่ของมะลิวัลย์ ส่วนพ่อของเธอนั้นไม่อยู่ไม่และไม่มีใครรู้ว่าออกไปไหนและจะกลับมาเมื่อไหร่ซึ่งมันทำให้พวกเขารู้สึกกดดันเพราะพ่อของเธออาจจะกลับมาได้ทุกเมื่อ
“พร้อมไหมวะ?” ภูพูดทั้งที่ไม่ได้หันมามองเพื่อนรักที่ยืนอยู่ข้างหลัง ตอนนี้ทั้งสองหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่ชั้นสองของบ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือห้องนอนของมะลิวัลย์ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือ ‘ที่เกิดเหตุ’ เพราะที่หน้าประตูห้องนั้นยังคงมี police line กั้นเอาไว้อยู่
“เดี๋ยวก่อน กูขอเคลียร์กับมึงก่อน” ภัทรดึงมือเพื่อนไว้ก่อนที่ภูจะเอื้อมมือไปจับลูกบิด เด็กหนุ่มยังคงค้างคาใจกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับแม่ของมะลิวัลย์ ในครั้งแรกเขาเชื่อจริงๆว่ามันคงจะเป็นผลกระทบมาจากความเสียใจอย่างรุนแรง แต่ความรู้สึกแปลกๆที่แฝงอยู่รอบๆตัวพอจะบอกเขาได้ลางๆว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ภัทรมั่นใจว่ามันมีสิ่งอื่นนอกเหนือความเข้าใจของเขา และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจอีกเช่นกันว่าเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ต้องรู้ ว่ามันคืออะไร
ภัทรถามเอาความจากภูด้วยน้ำเสียจริงจังกว่าที่เคย ภูพยายามเฉไฉไปมาแต่สุดท้ายก็ไม่อาจทัดทานอารมณ์จของคนตรงหน้าได้ ภูหันซ้ายหันขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครมาจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบอับไม้ทรงกลมขนาดเล็กออกมาจากในนั้นยื่นใส่มือเพื่อน ภัทรแง้มฝามันออกทำให้กลิ่นหอมอ่อนๆของมันโชยออกมา
“สีผึ้งปลุกเสก กูแอบไปเอามาจากที่บ้าน พ่อกูเคยพูดไว้ว่าถ้าใช้ทาปากแล้วเวลาไปพูดกับใคร เขาจะเชื่อฟังมึงหมด กูก็ไม่แน่ใจจนได้เห็นผลของมันกับแม่พี่ลินี่แหละ” เด็กหนุ่มเจ้าของวัตถุอาถรรพ์พูดด้วยท่าทางเลิกลั่กแสดงออกถึงความไม่มั่นใจและความกลัวที่ซ่อนอยู่ภายใน
“มึงต้องทำขนาดนี้เลยเหรอะวะ” ภัทรข้ามเรื่องของความเชื่อหรือไม่เชื่อไปเพราะได้เห็นถึงผลลัพธ์ของมันด้วยตาคู่นั้นแล้ว คำถามมุ่งประเด็นไปที่ความตั้งใจของคนตรงหน้ามากกว่า
“ถ้าในบ้านหลังนี้พอจะมีเบาะแสเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆของเรา จะอะไรกูก็ทำว่ะ” มิตรภาพของลูกผู้ชาย เพื่อนคือสิ่งที่ไม่อาจเอาอะไรมาทดแทนได้ ภัทรเองก็เข้าใจในข้อนั้นดีเมื่อได้ฟังความใจของคนตรงหน้าแล้วเขาก็หมดข้อกังขาใดๆแล้วปล่อยมือของภูเดินไปยืนข้างๆเพื่อให้เพื่อนมั่นใจว่า เขาเองก็จะไม่ไปจากตรงนี้จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน พวกเขาจะต้องหาวิธีช่วยเพื่อนของตัวเองให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ภูกำลูกบิดในมือแน่น เหงื่อที่ไหลซึมออกมาจากฝ่ามืออาจทำให้มันลื่นไปบ้างแต่ประตูก็เปิดออกทันทีหลังจากที่ออกแรงบิดเพียงนิดเท่านั้น
สัมผัสแรกหลังบานประตูนั้นคือกลิ่นคาวที่ถูกกักเก็บไว้ในห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท เด็กทั้งสองต้องใช้มือเปิดจมูกเพื่อเดินเข้าไปในนั้น ตอนนี้ห้องยังมืดอยู่เพราะไฟในห้องไม่ได้เปิดเอาไว้ ภัทรควานหาสวิทซ์ไฟไปตามกำแพง
“พ่อแม่เขาเปิดแอร์ไว้ทำไมวะ หนาวชิบ” ภูสบถออกมาเบาๆ ภัทรเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน อากาศภายในนี้เย็นเฉียบน่าจะเกิดจากการเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศา
มือของภัทรสัมผัสกับพลาสติกแข็งๆที่น่าจะเป็นสวิทซ์ไฟได้ที่กำแพงด้านหนึ่งถัดจากประตูห้องไปไม่ถึงหนึ่งเมตร เขาใช้ปลายนิ้วกดที่สวิทซ์เบาๆห้องทั้งห้องก็สว่างพร้อมกับเผยให้เห็นพื้นที่เกิดเหตุและร่องรอยที่มะลิวัลย์ทิ้งเอาไว้ในวันที่เธอจากไป
“นี่มันบ้าไปแล้ว” ภัทรพยายามเค้นเสียงพูดของตัวเองออกมาอย่างยากลำบากเพราะมันแทบจะถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นเกินความเข้าใจของมนุษย์ธรรมดาไปมากโข
ห้องนอนที่เดิมทีคงจะถูกตกแต่งเอาไว้อย่างน่ารักและเรียบง่ายตามแบบฉบับของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนี้มันล้มระเนระนาดข้าวของหลายชิ้นกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น แม้กระทั่งชั้นวางหนังสือที่ดูจะหนักเกินกว่าแรงของเด็กผู้หญิงคนเดียวจะเคลื่อนย้ายมันได้ก็เอนตัวล้มพิงเตียงนอนอยู่อย่างนั้น
หนังสือหลายเล่มกระจัดกระจายไปตามพื้น มีเศษกระดาษถูกฉีก เศษแก้วที่มาจากโหลเลี้ยงปลาปะปนอยู่ตามพื้นจนทำให้เด็กทั้งสองคนต้องก้าวเท้าอย่างระวังไม่อย่างนั้นก็คงจะได้เสียเลือดเสียเนื้อกันไปบ้าง ที่พื้นมีข้าวของบางอย่างหายไปเหลือไว้เพียงวงสีขาวที่ถูกพ่นโดยเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาเก็บหลักฐานไปพิสูจน์
แต่ทั้งหมดนั้นยังไม่อาจเทียบเท่ากับสิ่งสุดท้ายที่ปรากฏชัดอยู่ทั้งบนพื้น ฝาผนังและเพดานห้อง สิ่งนั้นคือรอยเลือดที่แห้งกรังจนคล้ำกลายเป็นสีเข้มเกือบจะดำสนิท
รอยเลือดนั้นมีหลากหลายรูปแบบที่พอจะเข้าใจได้จากสายตาของเด็กมัธยม กลุ่มหนึ่งนั้นคือหยดเลือดเล็กๆที่กระเด็นไปเปื้อนตามที่ต่างๆไม่สามารถเดาสาเหตุของการเกิดได้ แต่ลอยเลือดที่เหลือนั้นชัดเจนและเข้าใจยากยิ่งกว่า รอยเหล่านั้นไม่ใช่รอยเปื้อน แต่มันถูก ‘วาด’ ด้วยจุดประงสงค์บางอย่าง
ภัทรมองตามร่องรอยเหล่านั้นจนเริ่มเห็นเป็นภาพรวมที่พอจะเข้าใจเพราะเคยเห็นมาบ้าง คราบเลือดเหล่านั้นเชื่อมถึงกันโดยมีเส้นหลักเป็นแกนทอดตัวเป็นวงกลม มันคล้ายกับยันต์ตามความเชื่อโบราณของคนไทย แต่รายละเอียดของมันนั้นไม่คุ้นตา วงยันต์นั้นมีทั้งเล็กและใหญ่สลับกันไป แต่เมื่อสังเกตดูดีๆแล้วจะรู้ว่ามันเหมือนกัน
ไม่ว่าจะวงเล็กหรือวงใหญ่ทั้งรูปร่างและลักษณะของมันนั้นเหมือนกันอย่างหมดจดคล้ายกับการย้ำคิดย้ำทำของเจ้าตัวที่วาดมันขึ้นมาซ้ำๆ
“ภัทร มาดูตรงนี้สิ” ภูส่งเรียกจากอีกมุมห้องหนึ่ง บนพื้นตรงนั้นมีกระดาษสมุดฉีกขาดวางอยู่กับพื้น สิ่งที่ภูสังเกตเห็นนั้นไม่ใช่รอยเลือด แต่เป็นตัวหนังสือที่ถูกเขียนด้วยดินสออันเลือนรางเพราะถูกรอยเลือดกลบเอาไว้
ภัทรก้มหน้าเข้าไปมองกระดาษนั้นใกล้ๆ ข้อความที่ถูกเขียนไว้นั้นไม่สมบูรณ์ เขาจึงรีบมองหากระดาษอีกส่วนหนึ่งที่น่าจะตกหล่นอยู่ภายในห้องนี้ตรงไหนสักแห่ง เด็กทั้งสองคนช่วยกันหาอย่างรีบร้อนจนไม่ทันได้สังเกตว่าเก้าอี้ที่เคยล้มอยู่กับพื้นห้อง ตอนนี้มันตั้งตรงอยู่เบื้องหลังพวกเขา
กึก…
เด็กทั้งสองหยุดชะงักเมื่อได้ยินคล้ายของแข็งกระทบกันดังมาจากเบื้องหลัง เสียงนั้นดังขึ้นอีกสองสามครั้งห่างกันครั้งละเกือบสิบวินาที ภัทรที่ยังอยู่ในท่าก้มเพราะไม่กล้าขยับตัวเผลอมองลอดใต้หว่างขาของตัวเองไปยังต้นกำเนิดเสียงประหลาดโดยไม่ตั้งใจ
เก้าไม้ตัวเล็กๆที่มะลิวัลย์เคยใช้อ่านหนังสือ ตอนนี้มันกลับมาตั้งตรงอยู่กับพื้นโดยปราศจากคนนั่ง เสียงแปลกๆที่ได้ยินนั้นเกิดจากการที่ขาข้างหนึ่งของมันไม่สมดุลกับอีกสามข้างที่เหลือ พอมีน้ำหนักมากดลงบนที่นั่งมันจึงเกิดเป็นเสียงดังอย่างที่ได้ยิน
“เมื่อกี้มันล้มอยู่ไม่ใช่เหรอวะ” ภูมองเก้าอี้ตัวนั้นอย่างหวาดระแวงเพราะแม้แต่ในเวลานี้มันก็ยังคงสั่นอยู่เป็นระยะๆราวกับมีใครสักคนนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ
ภัทรสะกิดแขนเพื่อนเป็นสัญญาณบอกว่าควรกลับได้แล้ว ก่อนที่มันจะมีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่าเก้าอี้ที่ขยับได้โดยที่ไม่มีคนนั่ง ภูพยักหน้าตอบรับความคิดเห็นนั้น ทั้งสองคนค่อยๆก้าวถอยหลังอย่างช้าๆเพื่อมองหาทางหนีทีไล่
“เดี๋ยว!” ภัทรนึกขึ้นได้จึงรีบหันไปหยิบกระดาษสมุดที่ร่วงอยู่บนพื้นมาถือไว้ในมือ แต่ในครั้งนี้เองก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นอีกเมื่อกระกาษที่ขาดไปอีกส่วนหนึ่งนั้นวางอยู่ข้างๆกันพอดีๆ แต่ในตอนนี้เขาไม่มีเวลามาคิดมากอะไรอีกเขาต้องรีบออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุด กระดาษทั้งสองส่วนจึงถูกกำไว้ในมืออย่างยับๆทั้งอย่างนั้น
ปึ้ง!
เสียงประตูห้องนอนกระแทกปิดเข้ามาใส่หน้าเด็กทั้งสองคนในตอนที่พวกเขากำลังจะก้าวเท้าออกไป ใบหน้าของภูนั้นอยู่ห่างจากประตูที่กระแทกเข้ามาไม่ถึงหนึ่งนิ้ว แต่แม้ว่าเสียงประตูนั้นจะดังขนาดไหนแม่ของมะลิวัลย์ก็ไม่มีทีท่าจะรู้สึกถึงความผิดปกติในครั้งนี้เลยสักนิด
ภัทรลูพยายามเปิดประตูบานนั้นให้ออก เสียงบิดลูกบิดดังรัวพร้อมกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เด็กทั้งสองไม่กล้าหันกลับไปมองเบื้องหลังว่าตอนนี้มีอะไรจ้องมองพวกเขาอยู่ ถึงจะไม่ได้หันไปมองแต่พวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาบางคู่จับจ้องมาที่พวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายจากเก้าอี้ตัวนั้น
“เปิดสิๆๆๆๆ” เสียงของภูเริ่มสั่นจนฟังไม่เป็นศัพท์
“ถีบ! พังประตูเลย!” เมื่อความกลัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุดแล้วภัทรจึงตัดสินใจตะโกนอย่างนั้นแล้วออกแรงถีบไปที่ประตูห้องนอนอย่างแรงหลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออกในขณะเดียวกันนั้นเองภัทรก็ได้ยินเสียงภูตะโกนมาจากด้านหลังว่าให้หลบ พร้อมกับที่ภูวิ่งมาจากข้างหลังด้วยแรงเต็มที่
ภูใช้ไหล่และน้ำหนักตัวทั้งหมดของตัวเองบวกกับแรงส่งจากการวิ่งกระแทกที่ประตูบานนั้นกะว่าจะให้มันพังโครมลงมาทั้งชิ้นแต่มันกลายเป็นว่ามันแค่เปิดออกเหมือนกับไม่เคยถูกล๊อคมาก่อน เด็กหนุ่มพยายามตั้งหลักจากแรงวิ่งของตัวเอง มือข้างหนึ่งคว้าราวบันไดใกล้ๆเอาไว้ได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ตั้งตัวทันภูก็รู้สึกถึงมือข้างหนึ่งที่ไม่รู้มาจากไหนกุมอยู่ที่ข้อเท้าของเขา
แรงส่งจากการวิ่งยังไม่หมดไปผนวกกับแรงฉุดของมือปริศนาที่ข้อเท้าทำให้เด็กหนุ่มเสียหลักล้มกลิ้งลงไปกับบันไดบ้านจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งตัวบ้าน
“เฮ้ย! ไอ้ภู!” ภัทรร้องเสียงหลงเมื่อเห็นร่างของภูกลิ้งกระดอนไปกับบันไดจากชั้นสองร่วงไปนอนกองอยู่ที่พื้นชั้นล่าง จังหวะนั้นภัทรลืมเรื่องผีสางนางไม้ใดๆไปจากหัวจนหมดวิ่งลงไปหาเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
ภูนอนร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่กับพื้น ภายนอกนนั้นมีแผลถลอกจนเลือดซิบหลายจุด แต่ที่หนักคือแขนข้างซ้ายของภูนั้นห้องต่ำผิดปกติ และเจ้าตัวก็พูดออกมาเองว่าเขารู้สึกเจ็บมาก และไม่สามารถขยับแขนข้างนั้นได้อย่างใจ
กึก…
เสียงคล้ายไม้ที่บันไดกำลังขยับ ดวงตาทั้งสองคู่นั้นมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ แต่รับรู้ได้ถึงเสียงที่คืบคานเข้ามากใกล้ขึ้นเรื่อยๆคล้ายการเดินลงบันไดของมนุษย์ ไม่มีเงาร่างใดปรากฏให้เห็นแต่แผ่ไม้ที่ถูกใช้เป็นวัสดุทำบันไดนั้นมันยุบลงอย่างช้าๆทุกครั้งที่เสียงดังขึ้น
เด็กทั้งสองมองหน้ากันไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ดีว่านี่คือเวลาที่ควรจะต้องหนีไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่ต่อแม้จะอีกหนึ่งนาทีหรือหนึ่งวินาทีก็ตาม
ตอนนี้จากบ้านที่เคยเงียบสงัดถูกแทนที่ด้วยเสียงฝีเท้าของเด็กทั้งสองคนที่กระเสือกกระสนจะหนีออกไปจากที่แห่งนี้ เสียงหอบหายใจของทั้งสองนั้นไม่ได้ทำให้แม่ของมะลิวัลย์ที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์หันมามองแม้สักนิด ภัทรเหลียวมองไปที่ใบหน้านั้นก็ยังรู้สึกขนลุกไปต่างจากครั้งแรก ดวงตาคู่นั้นยังคงเหม่อลอยไร้แวว เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันเกิดจากผลกระทบทางจิตใจ ผลจากสีผึ้งของภู หรือว่าเกิดจากอะไรบางอย่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ บางอย่างที่ทำให้มะลิวัลย์ต้องตาย บางอย่างที่กำลังไล่ตามพวกเขามาติดๆ
“แฮ่ก แฮ่ก อีกนิดเดียวเพื่อน อีกนิดเดียว” ในที่สุดเด็กทั้งสองคนก็พาตัวเองออกมาจนถึงประตูรั้วหน้าบ้านา เสียงฝีเท้าที่ยังตามมาติดๆทำให้หัวใจของพวกเขาแทบหยุดเต้น ตอนนี้ภูหน้าซีดเผือดเหมือนจะเป็นลมจากความเจ็บปวดและความกลัวที่เกิดขึ้น
ภัทรกัดฟันพยายามเปิดประตูรั้วอย่างทุกทุเลเพราะมือข้างหนึ่งต้องประคองเพื่อนเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ทันทีที่รั้วเปิดออกเขาก็รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีพาตัวเองกับเพื่อนกลับไปยังรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่ตรงมุมถนน
ภูเองก็ใช้แรงเท่าที่มีปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังเพราะตัวเองขับไม่ไหวแล้ว ภัทรพยายามสตาร์ทเครื่องอยู่หลายทีแต่ก็ไม่ติด ด้วยความกลัวปนความหวาดระแวงภัทรเผลอหันไปมองที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง สายตานั้นมองเห็นหน้าต่างห้องนอนของมะลิวัลย์ได้อย่างชัดเจน แสงไฟในห้องมันเปิดอยู่ทั้งที่พวกเขาเพิ่งออกมาจากความมืดในห้องนั้น
แสงไฟที่สว่างส่องผ่านผืนผ้าม่านออกมาภายนอกทำให้มองเห็นเงาร่างของคนที่ยืนอยู่ข้างใน ตรงหน้านั้นมีเงาดำคล้ายรูปร่างคนยืนอยู่ภายในห้อง แม้ไม่เห็นรายละเอียดของหน้าตา แต่ภัทรกลับมั่นใจว่าเงาร่างนั้นกำลังจ้องมองมาที่พวกเขาอย่างแน่นอน
รถมอเตอร์ไซด์คันเดิมพุ่งตัวออกจากซอยหน้าบ้านของมะลิวัลย์ด้วยความเร็วไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่สนใจสัญญาณไฟจราจร ความกลัวบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ไปจนมิด จนไม่เหลือการรับรู้ว่าทางข้างหน้านั้นเป็นสี่แยกที่เขากำลังเร่งความเร็วฝ่าไฟแดงออกมา
ในเสี้ยววินาทีที่สติของภัทรกลับมาเพราะแสงไฟที่หน้ารถกระบะคันใหญ่สาดใส่ตาคู่นั้น เสียงแตรที่ลากยาวมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เด็กหนุ่มหลับตาปี๋ยอมรับชะตากรรมที่ตัวเองไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดทบทวนถึงสาเหตุ เสียงเหล็กกระทบกันด้วยความแรงดังสนั่นสั่นสะเทือนสู่โสตประสาทของเขา
ภัทรรับรู้ถึงแรงกระแทกอ่อนๆที่ไม่รุนแรง และไม่เจ็บปวด แต่สติของเขากำลังเลือนรางลงอย่างช้าๆ ความเหนื่อยล้าเข้ามาแทนที่จนสุดท้ายสติที่เหลืออยู่น้อยนิดคล้ายเปลวเทียวที่ลู่ไปตามลมก็ถูกดับเหลือไว้เพียงความเงียบของยามค่ำคืนเท่านั้น