อัปเดตล่าสุด 2019-07-25 09:14:26

ตอนที่ 13 กลับมา

                บรรยากาศในห้องเงียบงัน ไม่มีใครตอบรับคำกล่าวหาของผู้อำนวยการโรงเรียนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยงเรื่องนี้เข้าด้วยกัน แต่ลึกลงไปในใจกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนก็รู้สึกเช่นนั้น

                ขออนุญาตสักครู่ครับ เทวกานต์พูดขึ้นพร้อมกับลุกออกไปรับโทรศัพท์จากคนที่ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไรคงไม่โทรหาเขาในเวลางานอย่างนี้ หมวดเสือกับไกรวัลย์นั่งก้มหน้าเงียบรอให้อีกคนหนึ่งเสร็จธุระ

                สีหน้าของเทวกานต์ระหว่างการสนทนานั้นหลากอารมณ์เสียจนคนที่นั่งมองอยู่อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่โทรเข้ามา และเรื่องอะไรกันที่ทำให้ผู้บังคับบัญชาของเขาต้องขมวดคิ้วแน่นอย่างที่นานๆ จะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง

กริ๊ง...

                เสียงกริ่งหน้าห้องดังหนึ่งครั้งไกรวัลย์สะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว เขาลุกแล้วก้มหัวให้หนึ่งครั้งเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะปลีกตัวไปต้อนรับแขกที่น่าจะรออยู่ที่นอกประตูห้องทำงานของเขาโดยกำชับกับหมวดเสือไว้ว่าอย่าเพิ่งออกจากห้องนี้ไปก่อนที่เขาจะกลับมา

                เกิดอะไรขึ้นครับนาย คนมากวัยกว่าถามผู้บังคับบัญชาที่ดูจะหัวเสียอยู่ไม่น้อยหลังจากวางสายที่เพิ่งโทรเข้ามา เทวกานต์ทิ้งตัวลงบนโซฟาถอนหายใจเสียงดัง สองมือกุมที่ท้ายทอยขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด เพราะไม่อาจตีความหรือเข้าใจในสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากนายแพทย์ตุลย์ได้แม้แต่น้อย

                .................................................................................

                ในห้องพยาบาลสีขาวสะอาดอาร์ตค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เด็กหนุ่มพยายามประกอบสติเข้าด้วยกันแต่กลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายอาการคล้ายคนที่เพิ่งรถล้มมาหมาดๆ

                ยิ่งอาร์ตพยายามออกแรงขยับร่างกายมากเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกร้าวระบมมากเท่านั้น กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงปลายเท้ารู้สึกชาไม่รับรู้ถึงสัมผัสของผืนผ้าที่ห่มคลุมอยู่แต่ยังขยับได้ตามปกติ

                อีกอาการหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกังวลกับตัวเองนั่นคือ ปอดที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ ความรู้สึกในความคิดของเขาคล้ายกับปอดนั้นหดเล็กลง การหายใจเข้าออกแต่ละครั้งสั้นและไม่เต็มอิ่ม ลมหายใจติดขัด แม้จะลองพยายามสูดหายใจให้ลึกมากขึ้นเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกแน่นในหน้าอกจนต้องไอออกมาโขลกใหญ่ และเมื่อไอก็ยิ่งเจ็บร้าวไปทั่วทั้งตัว นี่แหละคืออาการหลังถูกพลังงานบางอย่างเข้าแทรกแทรกร่างกายที่ไม่พร้อมและอีกทั้งยังเป็นการฝืนเข้าแทรกด้วยเจตจำนงอันแรงกล้าของผู้อื่นไม่ใช่ความต้องการของตัวเอง

                สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องยอมแพ้ทิ้งตัวลงกับเตียงตามเดิมนอนหอบหายใจอยู่อย่างนั้น สายตามองหาความช่วยเหลือแต่ในห้องกลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

                อาร์ตพยายามจะตะโกนเรียกใครสักคนที่อาจจะอยู่เฝ้าดูอาการของเขาอยู่ไม่ไกล แต่เสียงที่ลอดผ่านลำคอของเขาก็แหบแห้งเสียจนตัวเองยังแทบไม่ได้ยิน หนำซ้ำเขายังรู้สึกกระหายน้ำอย่างรุนแรง ในลำคอแห้งผากเหมือนกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน

                อาการต่างๆ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกทรมานและอึดอัดคล้ายอยู่ในที่แคบที่ไม่ทราบขยับตัวได้อย่างใจนึก อาร์ตพยายามนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าว่าทำไมเขาจึงมานอนอยู่ตรงนี้ ภาพสุดท้ายที่ยังชัดเจนในหัวของเขาคือตอนที่เขาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าสารวัตรเทวกานต์และหมวดเสือ

                ห้องนั้นเป็นห้องปกครองเขาจำได้ดี หลังจากเข้ามาภายในห้องสิ่งที่พอจะนึกออกมีแค่ความเย็นของเครื่องปรับอากาศกับ ใช่ ลูกตุ้มหน้าตาประหลาดๆ อันนั้น อาร์ตจ้องมองมันอย่างสงสัยจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีก

                นึกสิ นึกๆๆ อาร์ตใช้มือทุบหัวตัวเองเบาๆ เพราะรู้สึกเหมือนลืมเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างไป เด็กหนุ่มพยายามใช้ความคิดเท่าที่ร่างกายของเขาในตอนนี้จะอำนวยให้ แล้วสิ่งที่เขานึกออกก็ทำให้เขารู้สึกจุกขึ้นมาจนถึงหน้าอก

                ทันทีที่เด็กหนุ่มนึกออกความรู้สึกคลื่นไส้ก็ปะทุขึ้นมาจากภายในร่างกาย เขาทำท่าเหมือนจะอ้วกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรออกมานอกจากน้ำเหนียวๆ ใสๆ คล้ายน้ำลายแต่มีกลิ่นที่แรงกว่ามาก

                อาร์ตจำได้แล้วว่าก่อนที่สติของเขาจะขาดหายไปเขารู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่มีน้ำหนักประมาณหนึ่งกดทับจนแน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน รู้สึกหนักไปทั่วทั้งตัวลึกลงไปในความรู้สึกคล้ายจมอยู่ใต้น้ำลึกเพราะรู้สึกหนาว ทัศนวิสัยมืดบอดพร้อมกับเสียงที่แว่วอยู่ในหูจากที่ไกลๆ แม้จะพยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่อาจจะจับเอาใจความใดๆ ได้จากประโยคเหล่านั้น

                หลังจากความมืดมิดในภวังค์ของจิตนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ครั้งถัดมาที่ดวงตานั้นมองเห็นแสงสว่างคือวินาทีเดียวกันกับที่เขารู้สึกเจ็บที่ลำคอเพราะถูกประคำเม็ดใหญ่รัดไว้แน่น แม้เป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีแต่อาร์ตก็ได้เห็นมือของตัวเองที่กุมลำคอของนายตำรวจเอาไว้ ก่อนที่มือนั้นจะเปลี่ยนมาตะเกียกตะกายสายประคำจนทุกอย่างกลับสู่ความมืดอีกครั้ง

โครม!

                ด้วยความทรมานอาร์ตใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดในการดิ้นทุรนทุรายพยายามควานหาสิ่งของ หรือมือของใครสักคนที่จะเข้ามาช่วยเขาให้พ้นจากความกลัวที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขาในตอนนี้

                อาร์ตร่วงลงจากเตียงกระแทกข้าวของที่วางตั้งอยู่แถวนั้นจนเกิดเสียงดังเรียกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายพยาบาลของทางตำรวจวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจไม่แพ้กับคนที่นอนอยู่บนพื้น

                ทุกคน! เด็กตื่นก่อนกำหนด! เข้ามาเร็ว!” เจ้าหน้าที่หลายคนวิ่งกรูเข้ามาภายในห้อง อาร์ตรับรู้ได้แค่สัมผัสของถุงมือยางที่จับต้องตามเนื้อตัวของเขา ทุกคนช่วยกันออกแรงยกร่างของเขาขึ้นจากพื้น ทำไมกันนะ เขาถึงรู้สึกว่ามันหนักเหลือเกิน หนักจนต้องให้คนอื่นมาช่วยถือช่วยพยุง นี่มันใช่ร่างกายของตัวเองจริงๆ งั้นเหรอ

                สุดท้ายอาร์ตก็ถูกจับให้นอนนิ่งอยู่กับที่ตามเดิมพร้อมกับสายน้ำเกลือที่เพิ่มเข้ามา เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าในขวดสีขาวที่ห้อยอยู่นั้นของเหลวภายในมีอะไรอยู่บ้างนอกจากน้ำเกลือที่เขาพอจะรู้จัก แต่ตอนนี้เขารู้สึกสบายตัว ร่างกายเหมือนเบาลง อัตราการหายใจลดต่ำ เว้นแต่เพียงเปลือกตาที่หนักเหลือเกิน

                ขอหลับสักพักก็แล้วกัน อาร์ตพูดกับตัวเองในใจก่อนจะปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ภวังค์อันเงียบงันด้วยฤทธิ์ของความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอด

                เคยมีคนพูดไว้ว่าในช่วงที่ร่างกายของเราอ่อนแอจนถึงขีดสุด บ่วงพันธนาการระหว่างกายหยาบและกายละเอียดนั้นจะอ่อนลง บางครั้งจิตจะหลุดลอยออกไปไกลแสนไกลเท่าที่สัญญาแห่งจิตจะไปถึง ไม่นานจิตนั้นจะกลับเข้าสู่ร่างในเวลาที่เหมาะที่ควร แต่บางครั้งคนก็พูดกันว่ามันเป็นเพียงอาการของจิตจากความเหนื่อยล้าเท่านั้น ไม่ได้มีการเคลื่อนที่ เคลื่อนย้าย เป็นเพียงภาพหนึ่งที่ผุดขึ้นในภวังค์ของความคิดคล้ายความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น

                ตอนนี้เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าอาร์ตกำลังจะได้รับการพิสูจน์ในเรื่องนี้ เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองจมหายลงไปกับเตียง แม้เบาะจะนุ่มจนทำให้รู้สึกนอนสบาย การยุบตัวของเตียงนั้นไม่ได้มากพอที่จะทำให้อาร์ตรู้สึกว่าตัวเองร่วงหล่นลงไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ

                สัมผัสที่แปลกประหลาดกำลังห่อหุ้มจิตนั้นที่เด็กหนุ่มคงคิดว่าเป็นร่างกาย จิตดวงนั้นหลุดลอยออกจากร่างเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ปลายทางของมันนั้นชัดเจน

                อาร์ตไม่รู้ว่าตรงนั้นคือที่ไหน บนหรือล่าง ซ้ายหรือขวา ไม่มีทิศ แม้แต่การเคลื่อนที่ของตัวเองเขายังไม่อาจแยกแยะได้ให้แน่ชัดว่ากำลังเดินไปข้างหน้า ร่วงหล่น หรือลอยขึ้น สิ่งที่รับรู้นั้นคืออะไร ผ่านดวงตา ผ่านหู หรือผ่านจิต

                ภาพที่เขาได้ รับรู้ คงต้องเรียกอย่างนี้มากกว่าคำว่า มองเห็น คือภาพของห้วงอากาศอะไรบางอย่างที่มืดสนิท แต่ความมืดนั้นไม่ได้นิ่งเงียบเหมือนอย่างท้องฟ้ายามค่ำคืนหรือห้องนอนที่ปิดไปก่อนหลับตา ความมืดนั้นคล้ายริ้วน้ำพริ้วไหวอย่างมีชีวิต บางครั้งก็ถูกถักทอด้วยเส้นแสงบางอย่างที่ส่องประกายแวววาวต่างจากที่เคยเห็น จะว่าขาวก็ไม่ใช่ จะว่ารุ้งก็ไม่เชิง รู้แต่ว่ามันสวยและน่าสัมผัส

                ในความคิดนั้นอาร์ตพยายามเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้กับแสงสว่างกลุ่มนั้นแต่ยิ่งเอื้อมมือออกไปมันกลับยิ่งถอยห่าง สองมือนั้นคว้าได้เพียงความว่างเปล่าไร้แรงปะทะจากสสารได้ ภาพที่เห็นนั้นแปลก เจ้าตัวรับรู้ แต่ทำไมจิตรู้กลับบอกเขาว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็น

                ครั้งสุดท้ายที่อาร์ตพยายามออกแรงบังคับจิตให้ตัวเองมุ่งหน้าเข้าไปใกล้เส้นแสงนั้น เขาก็รู้สึกคล้ายกับมีเส้นแสงอีกเส้นหนึ่งที่แต่ไม่ใช่สีสว่างสดใส มันคือสีดำผสมกับสีแดงจนกลายเป็นสีใหม่ที่หน้าขนลุก

                เส้นแสงนั้นพุ่งเข้ามารัดรึงพัวพันจิตของเด็กหนุ่มเอาไว้จนสิ้น ภาพที่รับรู้ได้ไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดให้เห็นแม้แต่น้อย ความอึดอัดคล้ายถูกบีบอยู่ในช่องแคบปรากฏขึ้นในความรู้สึกก่อนที่จิตดวงนั้นจะรับรู้ได้ถึงแรงกระชากคล้ายตกจากที่สูงลงสู่พื้นด้วยความเร็วเกินจะจินตนาการ

                กลิ่นหอมของไอดินโชยเข้าจมูก ความสดชื่อจากอากาศบริสุทธิ์ของร่มไม้ทำให้อาร์ตรู้สึกดีขึ้น ภาพที่ปรากฏสู่สายตา คราวนี้เขาแน่ใจแล้วว่ามันคือสิ่งที่มองเห็นได้ผ่านสายตา สิ่งที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้านั้นประหลาด สมองรับรู้ แต่จิตไม่วิตก แปลก

                ทิวทัศน์ที่เด็กหนุ่มได้มองเห็นเวลานี้ไม่ใช่ห้องพยาบาล ไม่ใช่ทรัพย์สถิตวิทยา แต่เป็นลานดินโล่งกว้างที่เขาไม่รู้จัก ความทรงจำของเขาใน ตอนนี้ ไม่มีข้อมูลของสถานที่แห่งนี้ แต่ลึกลงไปกลับคุ้นเคย และผูกพัน

                อาร์ตคิดจะหันหน้ามองไปทางอื่นเพื่อสำรวจสถานที่ให้แน่ใจ เด็กหนุ่มมั่นใจว่าสั่งการให้ร่างนั้นหันหน้าไปทางหนึ่ง แต่คลองสายตากับไม่เคลื่อนที่ตามไปด้วย ทิวทัศน์ที่มองเห็นยังไม่เปลี่ยนแปลง

                เขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและความตกใจนั้นก็เป็นชนวนหนึ่งที่ดึงให้สติของเขากลับมาสมบูรณ์พร้อม ตอนนี้เขาได้รับรู้เพิ่มอีกหนึ่งอย่างคือร่างของเขากำลังเดินไปข้างหน้าโดยที่เขาไม่ได้เป็นคนสั่งการแต่อย่างใด

                แม้จะพยายามสั่งให้ตัวเองหันหน้า หรือหยุดเดิน ทุกอย่างล้วนไม่เป็นไปตามคำสั่ง เขาทำได้เพียง เฝ้าดูจากข้างในนั้น ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการสั่งการหรือเป็นส่วนหนึ่ง

                เมื่อต้องพบกับสิ่งที่ยากจะอธิบายจิตจะเริ่มสั่นคลอนและแส่ส่ายด้วยความกลัวที่ก่อตัวขึ้น จิตดวงนั้นเคลื่อนไหวไปมาในความรู้สึก พยายามหาทางออก พยายามร้องเรียกหาใครสักคนที่ยังไม่ได้พบกัน ใคร ใครกันนะ

                จู่ๆ ทิวทัศน์ที่มองเห็นก็เริ่มเปลี่ยนไป ฟ้าที่เคยสว่างสดใสพลันมืดสนิทคล้ายจอภาพยนตร์ที่ถูกปิดอย่างกะทันหัน และโดยไม่ทันได้ตั้งตัวจอภาพนั้นก็กลับมาฉายละครอีกฉากหนึ่งให้ได้เห็น

                ที่แห่งนั้นยังคงเป็นลานกว้างมีไม้ใหญ่ทอดเงาให้เห็นอยู่ไกลๆ จมูกรับรู้ได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย และคิดถึง ภาพที่ดวงตาคู่นั้นมองเห็นในเวลานี้คือแม่น้ำสายหนึ่งที่ทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ความอบอุ่นซึมซาบไปทั่วหัวใจด้วยเหตุผลบางอย่างราวกับได้ร่วมรับรู้ถึงความรู้สึกของร่างที่อาร์ตอาศัยอยู่ในเวลานี้

                ร่างของใครสักคนตรงนั้นยืนมองแม่น้ำตรงหน้าอยู่นานสองนานท่ามกลางเสียงลมเสียงน้ำทำให้รู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย อาร์ตใช้เวลามองภาพตรงหน้าร่วมกับร่างนั้นโดยไม่รู้สึกว่ามันนานสักเท่าไหร่ จนเวลาผ่านไปได้สักครู่หนึ่ง มุมของทิวทัศน์ตรงหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป

                สิ่งสุดท้ายที่อาร์ตมองเห็นทำให้ดวงจิตของเขากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เขาเคยรู้สึก แม้ว่าคนตรงหน้าที่เขากำลังมองผ่านร่างนั้นอยู่จะแตกต่างไปบ้าง แต่เขาไม่มีวันลืมเพื่อนรักของตัวเองได้อย่างแน่นอน

                กล้า! กล้าโว้ย! กูอยู่นี่! ช่วยกูด้วย!’ เสียงนั้นดังสนั่นในความคิดแต่ไม่ได้ถูกส่งออกไปถึงภายนอก กล้าในวัยที่มากกว่าปัจจุบันแต่งตัวประหลาดไม่คุ้นตายืนนิ่งสบตาเขา ปากนั้นขยับพูดอะไรบางอย่างที่ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่รับรู้อีกแล้ว เพราะความดีใจ ความปีติ ที่เกิดขึ้นในห้วงแห่งจิตนั้นเองที่ดึงเอาสติของเขากลับมาสู่ร่างที่เขาควรจะอยู่ในตอนนี้

                กลิ่นของแม่น้ำและไอดินถูกแทนที่ด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อที่คลุ้งอยู่ทั่วทั้งห้องพยาบาลแห่งนี้ แสงไฟนีออนตอนนี้สว่างแสบตาไม่นุ่มนวลน่ามองเหมือนเส้นแสงที่เขาได้มองเห็นในห้วงแห่งจิตนั้น รอบข้างมีเสียงดังวุ่นวายจนเจ็บแก้วหู

                เด็กหนุ่มพยายามดันตัวขึ้นทั้งที่ยังหรี่ตาอยู่ อาร์ตรู้สึกถึงสัมผัสของมือนิ่มๆ ที่เข้ามาช่วงพยุงแขนและหลังของเขาให้อยู่ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งหลังพิงติดกับเตียงคนไข้ที่ถกปรับให้รับกับองศาหลังของเขาพอดี

                ตอนนี้ภายในห้องไม่ได้มีแต่อาร์ตอีกต่อไป แต่เป็นทุกคนในความทรงจำเท่าที่สมองของเขาจะประมวลผลทันในตอนนี้ ทุกคนที่มาเฝ้าดูอาการของเขาแสดงสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดเว้นแต่เพียงเด็กผู้หญิงที่กอดแขนของเขาเอาไว้แน่นใบหน้านองไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ

                อาร์ต! อาร์ตตื่นแล้ว!” นิ้งสะอึกสะอื้นเรียกชื่อเพื่อนรักอย่างไม่อายสายตาของผู้ใหญ่คนอื่นๆ เด็กหนุ่มที่ยังมึนงงกับสถานการณ์อยู่เผลอดึงแขนขัวตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้นเพราะรู้สึกเจ็บ ไกรวัลย์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆจึงต้องเข้ามาพาตัวนิ้งกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมของเธอ

                กลับมาแล้วหนึ่ง เหลืออีกหนึ่ง เสียงของนายแพทย์ตุลย์ดังมาจากเก้าอี้ข้างเตียงอีกฟากหนึ่ง กลับมา อาร์ตทบทวนคำคำนี้ในหัวสมองทันทีที่ได้ยิน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเลือกใช้คำนี้เพราะเขารู้ว่าเขายังไม่ได้ไปไหนเขาแค่นอนอยู่บนเตียงนี้ ก็เท่านั้น

                อีกหนึ่ง... อาร์ตคิดตามประโยคหลังแล้วจึงหันไปมองที่เตียงข้างๆ บนเตียงนั้นมีอีกร่างหนึ่งแน่นิ่งไม่ขยับเหมือนคนที่กำลังหลับสนิทอยู่ กล้า ยังไม่ได้สติด้วยสาเหตุบางอย่างที่อาร์ตกำลังจะได้ฟังต่อไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

                อาร์ตกวาดสายตามองไปยังใบหน้าของทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ จนสายตาของเขาไปสะดุดกับใบหน้าของคนที่เขาจำได้ว่าเคยกุมลำคอนั้นเอาไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ลึกลงไปในใจเขายังไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ได้รับรู้มากนัก แต่รอยแผลที่ปรากฏอยู่บนลำคอของเทวกานต์นั้นก็เป็นหลักฐานยืนยันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

                เป็นยังไงบ้าง พูดไหวไหม ผู้อำนวยการโรงเรียนเดินเข้าโอบไหล่ให้ความอบอุ่นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับเด็กที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

                ครั..บ อาร์ตพูดตอบรับน้ำใจนั้นแต่เสียงของเขายังไม่กลับมาทำให้ต้องใช้ภาษากายในการสื่อสารแทน เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พยายามจะเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ก็ถูกไกรวัลย์ห้ามไว้เสียก่อน

                คนในห้องค่อยๆ ทยอยออกไปข้างนอกเหลือไว้เพียงผู้เกี่ยวข้องไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือเทวกานต์ที่ยังคงไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่ม อาร์ตคิดว่านายตำรวจคงจะโกรธมากกับสิ่งที่ตัวเองทำไว้กับเขาจนต้องก้มหน้าหลบสายตา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เทวกานต์เพียงจ้องไปยังสิ่งผิดปกติที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังของเด็กหนุ่มต่างหาก

                ขอตัวสักครู่นะครับ อีกครั้งที่มีสายโทรศัพท์เข้ามาหาสารวัตรเทวกานต์ หมวดเสือและไกรวัลย์เองก็เลือกที่จะเดินออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กได้ปรับอารมณ์เสียก่อน

                ในห้องที่ว่างเปล่านั้นอาร์ตพยายามส่งเสียงเรียกเพื่อนรักที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย ครั้นจะเอื้อมมือไปสะกิดเขาก็ไม่มีแรงขนาดนั้น สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ทิ้งตัวพิงเตียงพักร่างกายตามเดิม

                อาร์ตจ้องมองแสงสว่างจากไฟเพดานแล้วก็เกิดคำถามว่าสิ่งที่ตนได้เห็นเมื่อสักครู่นี้นั้นคืออะไร เขาจำได้แต่เลือนราง และไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าเขาจำมันได้มากกว่าตอนนี้ที่เขากำลังคิดอยู่

                อะไรน่ะ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกับมีการเคลื่อนไหวของเงาดำบางอย่างผ่านมุมอับของสายตาไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงหันไปตามการเคลื่อนไหวนั้นเพื่อดูให้แน่ใจว่านั่นคืออะไร

                สิ่งที่อาร์ตได้เห็นนั้นทำให้เขาต้องกลัวจนแทบหยุดหายใจ เพราะตอนนี้ที่มุมห้องพยาบาลมีเงาดำร่างหนึ่งกำลังเดินไปมาอย่างช้าๆ ไร้จุดหมายเหมือนมองหาอะไรบางอย่างภายในห้องนี้ เงาร่างนั้นปรากฏเป็นกรอบโครงของมนุษย์อย่างชัดเจน ชุดเสื้อผ้าที่ใส่นั้นมีรอยขาดเป็นจุดๆ กางเกงที่ใส่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบบางอย่างคล้ายกับหยดสี ใบหน้านั้นซูบตอบ ดวงตากลวงโบ๋ ที่น่าขนลุกที่สุดคงจะเป็นปากที่อ้ากว้างย้อยต่ำลงมาจนเกือบจะถึงระดับหน้าอก แผลเหวอะที่แก้มข้างหนึ่งคงเป็นต้นเหตุให้มันไม่สามารถติดกันอยู่ได้ดังเดิม

                อาร์ตแทบหยุดหายใจเมื่อได้เห็น ผี เป็นครั้งแรก เขาพยายามมองหาความช่วยเหลือจากคนที่เพิ่งเดินออกไปจากห้อง แต่กลับกลายเป็นว่าที่อีกมุมห้องหนึ่งก็มีเงาร่างอีกหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ตรงนั้น รู้ตัวอีกทีทุกที่ที่เขามองเห็นก็ถูกเติมเต็มไปด้วยวิญญาณของคนที่เขาไม่รู้จักในกริยาท่าทางและใบหน้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

                อืม ว่าไง เทวกานต์รับสายของนนทการที่น่าจะได้รับข้อมูลของงานด่วนที่แทรกเข้ามาแล้วจึงโทรมาหาตนแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจึงรีบโทรมานัก อย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับมาที่นี่อยู่ดี

                พี่กานต์ครับ คือเรื่องมันผิดคาดไปหมด นนทการอ้ำอึ้ง

                เกิดอะไรขึ้น คดีมันทำไม เทวกานต์เริ่มกังวลกับสิ่งที่ได้ยิน

                ตัวคดีมันไม่เท่าไหร่ครับ ไม่ได้แปลกอะไร แต่คำสั่งที่สั่งลงมามันแปลกๆ ครับ ผมเองก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้ก็กำลังรีบเอาเอกสารทั้งหมดกลับไปให้พี่ดูอยู่ แต่ผมร้อนใจมากเลยโทรมาก่อน

                ก็พูดมาสักทีสิ คนรับสายเริ่มหงุดหงิดกับท่าที่ของรุ่นน้อง

                คือ.. มีคำสั่งด่วนให้เราจัดทีมเข้าจับกุมและทลายแหล่งกบดานของผู้ค้ายาเสพย์ติดรายใหญ่ครับ นั่นหมายถึง เราถูกสั่งให้ถอนตัวจากคดีของทรัพย์สถิตวิทยาอย่างกะทันหัน และต้องเข้าไปประจำพื้นที่เป้าหมายโดยเร็วที่สุดครับ ผมคิดว่าเต็มที่เราก็อยู่ที่ทรัพย์สถิตต่อได้ไม่เกินสามวันครับ

                ว่าไงนะ!”


แสดงความคิดเห็น
แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม


ความคิดเห็น