โครม!
เสียงถีบประตูดังขึ้นพร้อมกับที่นนทการบุกเข้ามาภายในห้องปกครองเพราะได้ยินเสียงตะโกนอันผิดปกติของเด็กนักเรียนคนที่เพิ่งเข้าไปด้านใน
ภาพที่นนทการได้เห็นทำเอาเขาหน้าซีดเพราะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังมองเห็นอยู่ตอนนี้นั้นคืออะไร สิ่งที่เขาเห็นคือร่างที่เล็กกว่าของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งคร่อมผู้บังคับบัญชาของตน เด็กมัธยมที่ไม่น่าจะสู้แรงของตำรวจที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีได้กำลงกดรางนั้นไว้อย่างอยู่หมัด
สีหน้าของเทวกานต์ไม่สู้ดีนักเพราะมีมือทั้งสองข้างที่กำลังบีบคอของเขาอยู่ เรี่ยวแรงที่ไม่สมเหตุสมผลกำลังทำให้สารวัตรหนุ่มหายใจลำบาก ปลายเล็บที่จิกเข้าไปในลำคอทำให้มีเลือดไหลหยดลงบนพื้น นนทการทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าจะออกแรงกระชากหรือถีบร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าให้ล้มพับไป แต่ในระหว่างที่เขากำลังใช้ความคิดอย่างสุดความสามารถเขาก็เหลือบไปเห็นนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ในเวลานี้
“หมวดเสือ!” นนทการตะโกนเรียนนายตำรวจรุ่นพี่แม้จะมียศน้อยกว่าแต่ตนก็เคารพในประสบการณ์ที่ยากจะเติมเต็มช่องว่างนั้น ดวงตาของเขาหวังว่าจะได้รับคำตอบหรือคำแนะนำใดๆ แต่ก็เปล่าเลยเมื่อสิ่งที่หมวดเสือทำนั้นคือการยืนนิ่งๆมองร่างของผู้บังคับบัญชานอนดิ้นอยู่กับพื้น
หมวดเสือจ้องคนทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันด้วยสายตาแข็งกร้าว ดวงตานั้นคมกริบไม่เหมือนคนมากวัย ริมฝีปากที่ถูกปกคลุมด้วยหนวดเครากำลังขยับด้วยความรวดเร็วพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่ลอดไรฟันออกมา
นนทการตวาดกร้าวอีกครั้งเพราะคิดว่าหมวดเสือคงกำลังยืนนิ่งด้วยความตกใจไม่ต่างจากตน เวลาผ่านไปไม่กี่วินาทีถัดมาชายมากวัยล้วงมือเข้าไปในถุงย่ามที่สะพายติดตัวตลอด เขาหยิบเอาประคำเส้นหนึ่งออกมาด้วยความรวดเร็ว
ประคำเส้นนั้นลักษณะเหมือนกับเส้นเดิมที่กำไว้ในมือต่างกันตรงที่ความยาวและจำนวนลูกประคำที่มากกว่าเป็นสิบเท่า หมวดเสือใช้สองมือจบและดึงเส้นประคำให้ตึง ความยาวของมันน่าจะพอๆ กับส่วนสูงของอาร์ตพอดิบพอดี
หมวดเสือเดินอ้อมไปด้านหลังของเด็กหนุ่มในขณะที่นนทการไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้เลย โชคดีที่เขานึกได้ว่ายังมีเด็กอีกสองคนที่น่าจะได้ยินและกำลังจับจ้องสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับเขา
“เด็กๆ มาทางนี้!” นนทการหันไปดึงความสนใจของภัทรและภูก่อนจะใช้แรงฝืนลากเด็กทั้งสองให้ออกห่างจากห้องปกครองเพราะกลัวว่าจะเกิดภาพที่ไม่น่ามองขึ้นก็เป็นได้
ตอนนี้ภายในห้องนั้นเหลือเพียงคนทั้งสามกับสถานการณ์อันแปลกประหลาด หมวดเสือชูประคำขึ้นสูงจากนั้นเหวี่ยงมันออกไปในอากาศเป็นวงกลมสะบัดมันลงมาครอบตัวของเด็กหนุ่ม พลิกข้อมือเล็กน้อยแล้วจึงกระชากมันด้วยความแรง
“กรี๊ด!” สัมผัสของประคำคล้ายเหล็กแหลมทิ่มแทงเข้าไปในลำคอของอาร์ต แต่เสียงที่กรีดร้องนั้นกลับไม่ใช่เสียงของเด็กชายวัยมัธยม แต่เป็นเสียงคล้ายหญิงชราที่กำลังเจ็บปวดทรมานจนเกินจะทนไหว
“โอม นะโม ตะโต โพธิสัตโต… ด้วยอำนาจจากปากกู วาจากูจงสัมฤทธิ์ มึงไม่อาจต้าน ไม่มีสิทธิ์จะคงอยู่ จงหายไป! สลายไป! ณ บัดนี้!”
สิ้นเสียงตวาดด้วยกำลังจิตประคำในมือกระตุกรัดแน่นครั้งหนึ่งก่อนจะคลายออกพร้อมกับร่างของอาร์ตที่หมดสติร่วงกระแทกลงกับพื้น เทวกานต์ไอโขลกรู้สึกเจ็บไปทั่วลำคอ แผลที่คอลึกกว่าที่เขาคิดไว้พอสมควร
“ทำไมต้องรอให้ผมจัดการทุกที นายจัดการเองตั้งแต่แรกก็จบไม่ต้องได้แผล เจ็บตัวเปล่าๆ” หมวดเสือพูดอย่างเหนื่อยใจระหว่างที่กำลังพยุงร่างของอาร์ตขึ้นจากพื้น
“หมวดก็รู้ ผมแค่ ‘ทำได้’ ไม่ได้ ‘ใช้เป็น’ เหมือนกับหมวดนะ ผมไม่กล้าใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก เกิดเด็กเป็นอะไรไป ผมทำผิดทำถูก ก็ซวยกันพอดี” เทวกานต์พูดติดตลกเล็กๆ เพื่อคลายบรรยากาศให้หมวดเสือได้ผ่อนอารมณ์ลงบ้าง
ทุกอย่างกลับสู่ความสงบโดยมีนนทการกลับมาสมทบหลังจากนำตัวภัทรและภูไปพักไว้ที่อีกห้องหนึ่ง นนทการเห็นแผลที่คอของเทวกานต์ก็เข้ามาใช่ปฐมพยาบาลให้เบื้องต้นเพราะเจ้าตัวยืนกรานว่าจะไม่ยอมไปทำแผลให้เรียบร้อย
“เหมือนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นนะครับ” ไกรวัลย์ผู้อำนวยการโรงเรียนทรัพย์สถิตวิทยาเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อได้เห็นประตูห้องที่นอนอยู่กับพื้นและข้าวของในห้องที่กระจัดกระจายไปทั่ว
นายตำรวจทั้งสามยืนตัวตรงแทนการทักทายโดยที่มีร่างของเด็กนักเรียนคนหนึ่งฟุบอยู่กลับโต๊ะใกล้ๆ ผู้อำนวยการปะติดปะต่อเรื่องราวอย่างช้าๆ แล้วจึงถอนหายใจส่ายหัวอย่างอ่อนแรง “ตามผมมาครับ”
ร่างที่ไม่ได้สติของอาร์ตถูกพาไปนอนพักที่ห้องพยาบาลโดยมีทั้งอาจารย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ของทางตำรวจช่วยดูแล เพราะหมวดเสือยืนยันว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอาละวาดอีกอย่างแน่นอน ทุกคนจึงวางใจที่จะลายสายตาจากเด็กหนุ่มคนนี้ไปสักระยะหนึ่ง
นนทการเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ตามคนอื่นมาด้วยเพราะถูกเรียกตัวด่วนจากทางศูนย์บรรชาการของตำรวจเนื่องจากมีคดีด่วนเข้ามาแทรก จริงๆ แล้วเทวกานต์ต้องเป็นคนไปรับฟังรายละเอียดด้วยตัวเอง แต่ด้วยหน้าที่ที่ติดพันอยู่จึงได้ส่งนนทการไปแทน
นายตำรวจทั้งสองเดินตามผู้อำนวยการโรงเรียนมาตามทางเดินอย่างเงียบๆ ปลายทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปคือห้องประจำตำแหน่งของผู้อำนวยการโรงเรียนทรัพย์สถิตวิทยา
ภายในห้องถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหราสมฐานะของโรงเรียนที่ขึ้นชื่อว่ามีค่าเทอมแพงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ไฟในห้องสว่างไสวสะท้อนรับกับของตกแต่งภายในห้องที่ส่วนมากล้วนทำจาก แก้ว และ โลหะ ไกรวัลย์เดินผ่านโต๊ะทำงานตัวใหญ่กับโซฟาของแขกที่วางอยู่กลางห้องไปเสียเฉยๆ
“เชิญทางนี้ครับ” ผู้อำนวยการผายมือเชิญคนทั้งสองไปยังช่องว่างหลังชั้นหนังสือที่มุมห้อง ทางแคบระหว่างกำแพงห้องและชั้นหนังสือมีประตูบานหนึ่งวางขวางอยู่ซึ่งถ้าไม่เดินเข้ามาตรงนี้คงจะมองไม่เห็น
ไกรวัลย์ก้มหัวให้นิดหนึ่งแล้วเปิดประตูให้เทวกานต์และหมวดเสือเข้าไปด้านใน ข้างในนั้นเป็นเพียงห้องโถงโล่งๆ ขนาดเล็กห้องหนึ่งเท่านั้นแต่ถูกแต่งเอาไว้อย่างเรียบง่ายต่างจากห้องที่เพิ่งเดินผ่านมาโดยสิ้นเชิง
“ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของผมครับ ผมเอาไว้พักผ่อนเวลาเครียดๆ เรื่องงาน” ไกรวัลย์เดินไปหยิบเหยือกกาแฟอุ่นๆ และแก้วสองใบมาวางไว้ตรงหน้านายตำรวจทั้งสอง
โซฟาที่นุ่มสบายทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เสียงถอนหายใจของผู้อำนวยการดังเสียจนดูเป็นการเสียมารยาท แต่มันก็ทำให้ผู้ฟังรับรู้ได้ถึงความเหนื่อยใจที่ถูกเก็บอยู่ในใจของชายคนนี้มานานนับปี
“คุณสองคนคิดว่า… โรงเรียนนี้มันเป็นยังไง” ไกรวัลย์ขึ้นต้นประโยคแล้วเว้นวรรคไว้เพื่อเน้นใจความของประโยคหลัง ตำรวจทั้งสองคนไม่ตอบเพราะรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่ดูเหมือนเป็นการเกริ่นนำก่อนที่จะเล่าเรื่องอะไรบางอย่างให้ฟังเสียมากกว่า
ผู้อำนวยการโรงเรียนหยิบกาแฟในแก้วขึ้นมาจิบให้รู้สึกดีขึ้น สองนิ้วนวดคลึงที่ขมับไปมาอยู่หลายนาทีก่อนจะเริ่มบทสนทนาอีกครั้งด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่
“คุณรู้ไหม โรงเรียนนี้มันมีเรื่องบ้าๆ อะไรเกิดขึ้นบ้าง!” ไกรวัลย์เผลอใส่อารมณ์ตบโต๊ะอย่างแรงก่อนจะขอโทษคนทั้งสองหลังจากที่ตั้งสติได้
ตำแหน่งผู้อำนวยการของโรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้มีหน้าที่แค่บริหารหรือขับเคลื่อนโรงเรียนนี้ไปข้างหน้าเหมือนอย่างโรงเรียนอื่นๆ แต่อีกหน้าที่ที่สำคัญยิ่งของเก้าอี้ตัวนี้คือการ ‘ปิดบัง’ ความลับบางอย่างที่ไมอาจเปิดเผยสู่ภายนอกได้ไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม
‘ที่นี่จะมีเด็กตายในทุกๆ ปี’ นั่นคือใจความหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด ไกรวัลย์ไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะตัวเขาเองหรือแม้แต่ใครก็ตามที่อยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ ไม่มีใครรู้ถึงความจริงในข้อนั้น พวกเขาไม่เข้าใจ ทำได้แค่ ‘รับรู้’ และ ‘ยอมรับ’ ในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ก็เท่านั้น
ทรัพย์สถิตวิทยาถูกสร้างขึ้นเมื่อนานมาแล้ว สถานที่แห่งนี้ผ่านกาลเวลาด้วยรูปแบบที่มั่นคงไม่เปลี่ยนมาหลายชั่วอายุคน ‘สถานศึกษา’ โรงเรียนแห่งนี้ไม่เคยทำกิจการอื่นใดนอกจากการให้ความรู้ มันเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาตามคำบอกเล่า แน่นอนว่ารวมไปถึงการเสียชีวิตอย่างปริศนาของเด็กนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้
ไกรวัลย์หยิบ ’สมุด’ เก่าๆ เล่มหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ยื่นมันให้กับนายตำรวจทั้งสองโดยไม่พูดอะไร เทวกานต์เปิดแต่ละหน้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อได้รับรู้ถึงความจริงบางอย่าง
“มีคนตายมากขนาดนี้เลยเหรอ…” เทวกานต์พูดกับตัวเองเบาๆ ไกรวัลย์พยักหน้าให้กับประโยคนั้น สารวัตรหนุ่มหน้าถอดสีหลังจากที่พยายามนับจำนวนของเด็กนักเรียนที่ถูก ‘บันทึก’ ไว้ในสมุดเล่มนี้
‘ที่นี่มีเด็กนักเรียนตายทุกปี ปีละหนึ่งคน’ ประโยคที่ได้ยินมาหลายครั้งก่อนหน้านี้สอดรับกับจำนวนรายชื่อบนหน้ากระดาษ แต่ละหน้าที่เปิดผ่านไปผิวของกระดาษยิ่งเหลืองกรอบและเก่าลงเรื่อยๆ จนช่วงท้ายๆ วัสดุที่ถูกใช้ทำเป็นสมุดนั้นก็ต่างออกไป วิธีการบันทึกนั้นหลากหลาย ตั้งแต่ลายมือ ตัวอักษรที่ดูแตกต่างจากปัจจุบันเล็กน้อย กลายเป็นพิมพ์ดีด และการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ในที่สุด
“ใช่ครับ จำนวนเด็กเท่ากับจำนวนปีที่โรงเรียนนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมา” ไกรวัลย์พูดหลังจากที่เทวกานต์ยื่นสมุดเล่มนั้นคืนให้กับตน ‘สมุดบันทึก’ เล่มนี้ถูกทำขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อ ‘บันทึก’ สิ่งที่เกิดขึ้นแต่เพื่อค้นหาความจริงบางอย่างที่อาจมีอยู่ในผู้ที่จากไปในแต่ละราย
เทวกานต์รับรู้ข้อมูลผ่านสายตาอย่างคร่าวๆ จึงยังไม่สามารถมองหาความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ แต่กลับเป็นฝ่ายของไกรวัลย์เองที่พูดออกมาว่า ‘นักเรียนแต่ละคนไมมีความเชื่อมโยงกันเลยแม้แต่น้อย’
ตลอดเวลาหลายปีและหลายชั่วอายุคนที่ผ่านมานั้นไม่มีข้อมูลใดของผู้เสียชีวิตที่สอดคล้องกันแม้แต่นิดเดียว วันเดือนปีเกิด ชื่อ ภูมิลำเนา หรืออะไรใดๆ ล้วนกระจัดกระจาย นอกเสียจากตัวแปรหนึ่งที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
“วันที่เกิดเหตุการณ์เสียชีวิตของนักเรียนจะเกิดขึ้นก่อนวันงานสถาปนาโรงเรียน 10 วัน และอย่างที่เห็นได้ชัด ผู้เสียชีวิตทุกคนเป็นนักเรียน” ไกรวัลย์เน้นที่พยางค์หลังด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเจ็บปวดเอาไว้ หัวอกคนเป็นครูอย่างเขาการที่ต้องสูญเสียนักเรียนไปนั้นคงไม่ต่างจากการถูกมีดกรีดไปตามร่างกายของตัวเองสักเท่าไหร่
ผู้อำนวยการไม่เว้นวรรคให้ผู้ฟังตั้งคำถามเพราะตนยังคงมีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังอยู่ นอกจากรายชื่อของผู้จากไปแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมารุ่นสู่รุ่น ทุกคนเคยช่วยกันพยายามหาทางออกให้กับเรื่องนี้ พยายามค้นหาความจริง แต่สุดท้ายก็คว้าได้เพียงอากาศธาตุของตำนานโรงเรียนเท่านั้น
“เขาเล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเคยจ้างหมอผีร่างทรงมาหาสาเหตุ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรกลับไป ขนาดเอาคนที่มีชื่อเสียงมาก็แล้ว ก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบนี้ได้เลยสักครั้ง” ไกรวัลย์กำลังจะเอ่ยปากเล่าต่อแต่ก็ถูกขัดไว้ด้วยคำถามของหมวดเสือ
“ผอ.ครับ แล้วคุณก็รับรู้เรื่องราวพวกนี้มาตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งอีกใช่ไหม แต่ก็ยังยอมรับตำแหน่งนี้อีกเหรอครับ” หมวดเสือคาดเดาเอาจากอายุและหน้าที่การงานว่าไกรวัลย์คงจะเคยเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนี้มาก่อนที่จะไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนด้วยผลงานและอายุ
“ตรงนี้แหละครับ ที่มันแปลก และผมกำลังจะเล่าให้ฟัง” ไกรวัลย์สบตากับผู้ถามพร้อมให้ข้อมูลว่า เรื่องแปลกอย่างหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้คือ ตำแหน่งผู้อำนวยการจะถูกสรรหามาจากภายนอก ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียนมาจะไม่ใช่ครูอาจารย์ภายในขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการ ต่อให้อยู่ทำงานจนเกษียณอายุไปก็ตาม
ไกรวัลย์เองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกผู้อำนวยการคนก่อนยื่นข้อเสนอมาให้ผ่านมือคนรู้จักอีกต่อหนึ่ง ด้วยจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้ เขาจึงตกปากรับคำมาเป็นผู้อำนวยการแห่งนี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลย
ในช่วงเปลี่ยนถ่ายตำแหน่ง นอกจากหน้าที่และภาระงานแล้ว ผู้อำนวยการคนเก่ายังค่อยๆ บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนแห่งนี้ให้เขาฟังทีละน้อย
“ตอนนั้นผมไม่เชื่อ คิดว่าอำกันเล่น แต่พออยู่ไปผมก็เริ่มได้รับรู้ว่า เรื่องราวพวกนั้นไม่ใช่การเล่นสนุกของอดีต ผอ. แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่นี่มาโดยตลอด และมันยังคงอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ในทุกๆ วัน” ไกรวัลย์ถอนหายใจอีกครั้ง
“อะไรที่คุณบอกว่าได้รับรู้มา” เทวกานต์ถามสั้นๆ
“มีหลายเรื่องครับ แต่ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ทั้งหมดมันเป็นเหมือนกับ ‘ตำนานโรงเรียน’ เรื่องที่เด็กๆ ชอบเล่าต่อๆ กันมารุ่นสู่รุ่นเหมือนกับในหลายๆ โรงเรียนนั่นล่ะครับ ตัวอย่างเช่น ห้ามไปที่แปลงผักกลางดึกเพราะจะเจอคนไม่มีหัวออกมาดูแลสวน เสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงที่จะดังขึ้นมาในช่วงโพล้เพล้ของคืนวันโกน เสียงตีเหล็กจากห้องงานช่าง ห้ามเล่นดนตรีไทยหลังเลิกเรียนไม่อย่างนั้นจะมีนางรำออกมารำให้ดู” ไกรวัลย์ไล่เรื่องราวให้นายตำรวจฟังอยู่นานและบอกว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียง ‘ส่วนหนึ่ง’ ของตำนานทั้งหมดแน่นอนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามีเด็กนักเรียนพยายามพิสูจน์และท้าทายเกี่ยวกับตำนานเหล่านี้ ผลลัพธ์คือ มากกว่าครึ่งพูดว่าตำนานนั้นเป็นเรื่องจริง
“ถ้าโรงเรียนมันจะเฮี้ยนขนาดนี้ทำไมไม่สั่งปิดไปเสียให้มันจบๆ” หมวดเสือเริ่มมีความขุ่นเคืองในอารมณ์พูดใส่หน้าผู้อำนวยการอย่างไม่เกรงใจจนผู้บังคับบัญชาที่นั่งข้างๆ ต่างปรามไว้แล้วขอโทษอีกฝ่ายตามมารยาท
ไกรวัลย์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามาตอบคำถามนั้น “คุณคิดว่าไม่เคยมีใครทำอย่างนั้นเหรอ”
ประโยคนั้นทำให้หมวดเสือต้องเงียบปากในทันที ก่อนหน้านี้สักสองหรือสามรุ่นไกรวัลย์ไม่แน่ใจ ผู้อำนวยการโรงเรียนในขณะนั้นพยายามจะสั่งปิดโรงเรียนแห่งนี้เพราะทนไม่ได้ที่ต้องเห็นนักเรียนของตัวเองตายไปในทุกๆ ปี ชายคนนั้นดำเนินการมาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการจ่ายเงินชดเชยให้กับอาจารย์ในโรงเรียนก่อนจะสั่งปิดโรงเรียนอย่างถาวร
แต่แล้วในวันที่เขานัดอาจารย์ทุกคนมาฟังเหตุผลในการปิดโรงเรียน ผู้อำนวยการคนนั้นก็ไม่มาปรากฏตัวในห้องประชุม พบตัวอีกทีก็กลายเป็นศพอยู่ในอาคารเก่าหลังโรงเรียน
“จริงๆ แล้วเรื่องในวันนั้นก็ไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกันไหม แต่ทุกคนก็เชื่อว่ามันเกี่ยว แล้วก็ไม่มีใครกล้าสั่งปิดโรงเรียนนี้อีกเลย” สิ้นสุดประโยคนั้นห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในเวลานี้ ไกรวัลย์เปิดเผยเรื่องราวที่เขารู้ให้ฟังแล้วเพราะหวังว่ามันจะช่วยให้เทวกานต์ไขความลับของสถานที่แห่งนี้ได้ง่ายขึ้น อย่างน้อยวันหนึ่งคงไม่มีใครต้องมาตายในรั้วโรงเรียนแห่งนี้อีก
นายตำรวจทั้งสองพยายามเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกันจากหลักฐานอันน้อยนิดและไม่ปะติดปะต่อ เพราะในเหตุการณ์ล่าสุด การจากไปของ ‘มะลิวัลย์’ นั้นไม่เข้าข่ายที่ไกรวัลย์ได้ให้ข้อมูลมาเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าคุณบอกว่า 10 วันก่อนงานสถาปนาโรงเรียน อย่างนั้น มะลิวัลย์ ก็ไม่เกี่ยวข้องกำเรื่องที่คุณพยายามจะเล่าให้ฟังใช่ไหม มันคงจะเป็นเหตุนอกเหนือจากตำนานบ้าๆ บอๆ ของที่นี่” หมวดเสือพูดอย่างหงุดหงิด
“ครับ ในครั้งแรกผมก็คิดอย่างนั้น ผมคิดว่ามีใครบางคนเข้ามาทำร้ายนักเรียนของผม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่ แต่ก็อย่างที่ทางตำรวจกล่าวมานั่นแหละครับ ไม่พบพยานหลักฐานอะไรเลยว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใครสักคนหรือเป็นการฆาตกรรม พอเป็นอย่างนั้นผมก็เลยนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”
พูดจบไกรวัลย์ก็เดินหายออกจากห้องนั้นไปแล้วกลับมาในเวลาไม่นานพร้อมกับห่อผ้าที่คงจะเคยเป็นสีขาวมาก่อนแต่ตอนนี้มันสกปรกไปด้วยคราบฝุ่นหนาเตอะ
“หลังจากได้รับตำแหน่งแล้ว ผอ.คนเก่าได้ให้ของสิ่งนี้ไว้กับผม บอกว่ามันเป็นของที่ถูกส่งต่อกันมาทุกรุ่น กำชับว่าต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีห้ามให้สูญหายหรือชำรุด และมันก็เป็นเหตุผลที่ผมเชิญคนทั้งสองคนมาที่นี่ในวันนี้”
เทวกานต์รับห่อผ้าขาวมาไว้ในมือ น้ำหนักของมันเบาจนน่าตกใจ เขาบรรจงวางมันลงบนโต๊ะค่อยๆ คลี่ผ้าผืนนั้นออกเผยให้เห็นของที่ถูกห่อไว้ข้างใน เทวกานต์คาดเดาสิ่งที่ถูกเก็บไว้ข้างในนั้นไว้หลายอย่างจากน้ำหนักของมันแต่ก็ผิดถนัด เพราะสิ่งที่ถูกเก็บไว้ในนั้นไม่ใช่ของที่จะพบได้ทั่วไปในสมัยนี้
ห่อผ้าดิบสีขาวขมุกขมัวถูกคลี่ออกอย่างช้าๆ ทุกสายตาจับจ้องไปที่วัตถุทรงแบนคล้ายกระดาษที่มีสีน้ำตาลคล้ำจนเกือบกลายเป็นสีดำ กลิ่นฉุนของมันยังคงอยู่แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนาน แผ่นหนังสกปรกนั้นถูกสลักไว้ด้วยตัวหนังสือหวัดๆ สีแดงสดที่พอจะจับใจความได้ดังนี้
“สาปธรณีมิเคลื่อนคล้อย มิโรยรา สาปปรารถนา สิงสู่อณูดิน”
เทวกานต์อ่านถ้อยความนั้นก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วสันหลัง ความรู้สึกคลื่นไส้บางอย่างก่อตัวจนอยากจะอาเจียน จากนั้นไกรวัลย์ก็บอกให้เทวกานต์พลิกอีกด้านหนึ่งของแผ่นหนังนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง
“คำสาปนั้นจะเลือนหายก็ต่อเมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งเหยียบย่างเข้ามาในเขตของที่ดินผืนนี้ เมื่อนั้นจะมีคนตายมากกว่าหนึ่ง เมื่อนั้นทุกอย่างจะคลี่คลาย”
ข้อความที่ถูกเขียนไว้ด้านหลังนั้นเป็นคำที่ทันสมัยกว่าและลายมือดูบรรจงมากกว่าหลายเท่าซึ่งน่าจะถูกเขียนขึ้นหลังจากข้อความแรกนานพอสมควร หลังจากอ่านจบเทวกานต์เงยหน้ามองไกรวัลย์ที่น่าจะรับรู้ข้อความนี้มาก่อนตนและตอนนี้ทั้งสามคนน่าจะมุ่งความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ‘มะลิวัลย์’ เธอคนหนึ่งชีวิตที่ถูกพรากไปก่อนวันงานสถาปนาด้วยอะไรบางอย่างหากคำข้อความที่ถูกเขียนไว้บนแผ่นหนังนี้เป็นจริง ‘คนกลุ่มหนึ่ง’ ที่ว่านั้นคือใครกัน
เทวกานต์ขนลุกไปทั่วทั้งตัว รู้สึกหวิวในหัวใจแขนขาอ่อนแรงเมื่อสมองของเขาประหวัดคิดถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อาจเป็นคนกลุ่มเดียวกับคำทำนายบนแผ่นหนังผืนนี้
“อย่าบอกนะว่าคุณหมายถึงพวกเขา” เทวกานต์ถามเสียงอ่อน
“ใช่ครับ ผมคิดว่าเป็นเด็กทั้งสี่คนนั้น”