แสงไฟสีขาวสว่างจ้าสะท้อนเข้าตาคนที่นอนอยู่จนรู้สึกระคายเคือง เด็กหนุ่มที่ยังรู้สึกปวดหัวตุบค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆไม่คุ้นตา สายตาของเด็กหนุ่มยังปรับตัวเข้ากับความสว่างนั้นไม่ได้ทั้งที่มันเป็นแค่แสงไฟนีออนธรรมดาๆ
เด็กหนุ่มสำรวจร่างกายดูจึงพบว่ามันอ่อนแรงมากกว่าครั้งใดๆ ในชีวิต แขนขารู้สึกว่ามันหนักทั้งที่สายตากำลังบอกเขาว่ามันเล็กลง เขาพยายามที่จะลุกขึ้นนั่งตั้งสติ เพราะรู้ว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเขาอยู่เพียงคนเดียว
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงเรียบๆ ดังขึ้นมาจากมุมห้องทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มรู้สึกตัว สายตาของเขายังคงเลือนรางจึงมองเห็นชายที่มีอายุมากกว่าได้ไม่ชัดนอกจากกลิ่นบุหรี่ที่ลอยอยู่ในอากาศ
“ผม...” เมื่อเขาตั้งใจที่จะพูดเพื่อถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่คนนั้นแต่กลับกลายเป็นว่าเสียงของเขาไม่ดังออกมาอย่างที่ใจคิดนอกจากนั้นยังรู้สึกเจ็บคอเหมือนอาการของคนที่ขาดน้ำมาเป็นเวลานานทั้งที่มือข้างหนึ่งของเขาถูกโยงไว้ด้วยสายน้ำเกลือขวดใหญ่
“นั่นใครล่ะ” นายแพทย์ตุลย์ลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาใกล้เตียงคนไข้อย่างช้าๆ ด้วยคำถามที่ผู้ฟังต้องขมวดคิ้วเพื่อคิดตาม ทั้งสองสบตากันในความเงียบและคนถูกถามก็รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ล้อเล่น
“ผมชื่อ...กล้า” คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้นายแพทย์โล่งใจจนยิ้มออกมาเบาๆ แม้ภายนอกของเขาจะดูเป็นคนแข็งกระด้างแต่แท้ที่จริงแล้วเขาคือคนที่มีใจโอบอ้อมอารีไม่แพ้ใคร
นายแพทย์ตุลย์ตัดสินใจไม่ถามอะไรกับกล้าในตอนนี้เพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ เขาปล่อยให้เด็กหนุ่มนอนพักบนเตียงต่ออีกหน่อยจากที่เห็นว่ากล้ายังคงมีอาการอ่อนเพลียอยู่เล็กน้อย
กล้าถูกปล่อยเอาไว้ในห้องแคบๆ นั้นคนเดียวโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติม เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่รู้สึกกลัว หรือต้องการจะออกไปจากที่นี่ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นใครเขาก็ไม่รู้จัก สิ่งเดียวที่เขารับรู้ได้ตอนนี้คือสมองที่หมุนคว้างไร้จุดหมาย แม้จะมีความคิดใดผุดพรายขึ้นมา แต่เพียงวูบหนึ่งมันจะอันตรธานหายไปในพริบตา
“โอ๊ย..” กล้ารู้สึกเจ็บที่แก้วหูเหมือนมีอะไรบางอย่างอัดกระแทกเข้าไปพร้อมกลับเสียงแหลมสูงที่ดังกังวาลอยู่ในโสตประสาท แก้วหูของเขาคล้ายถูกแรงดังบางอย่างกดจนเหมือนมันจะฉีกออกจากกันและในที่สุดเสียงแหลมสูงนั้นก็หายไปกลายเป็นเสียงแว่วหวานของท่วงทำนองหนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคย
เสียงบรรเลงดนตรีไทยดังมาจากที่ไกลๆ หรือดังอยู่ในหูของเขาเองนั้นไม่มีใครตอบได้ ไม่แม้แต่ตัวเขาเอง เสียงดนตรีที่บรรรเลงนั้นนุ่มเพราะเสนาะหู หากแต่มันดูจะผิดที่ผิดทางไปหน่อยก็เท่านั้น
สติของกล้าค่อยๆ เลือนรางลงอีกครั้งพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดระดับความดังของเสียงนั้นก็คล้ายกับมีวงดนตรีไทยมาตั้งอยู่จริงๆ ในห้องนี้
ท่ามกลางความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย กล้าคลับคล้ายว่าคุ้นเคยแต่เลือนราง เขาพยายาลืมตาให้กว้าง สมองของกล้าสั่งเขาอย่างนั้น แต่สิ่งที่ดวงตาคู่นั้นรับรู้กลับมาเพียงความมืดสนิทที่ไร้แสงสว่างและการสะท้อนของวัตถุใดจนเขาเริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นเขากำลังหลับตาหรือว่าลืมตาอยู่กันแน่
ในความมืดนั้นคล้ายมีลมพัดไหวไปมารู้สึกสบายตัว ความอ่อนล้าค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับความมืดที่ถูกแทนที่ด้วยแสงนวลสีขาว กล้าหยีตาในความคิด จิตรับรู้ถึงความสว่างนั้นไม่ใช่ดวงตาที่ถูกกระทบด้วยแสงสะท้องจากวัตถุ
“กลิ่นอะไร” คำถามผุดขึ้นในใจอย่างกะทันหันเมื่อจิตรับรู้ถึงสัมผัสบางอย่างที่ 'วิญญาณ' จดจำได้ว่ามันคือสิ่งที่เรียกว่า ‘กลิ่น’ เมื่อจิตรับรู้ดังนั้นจึงคิดต่อ ทบทวนต่อ เพื่อ ‘รำลึก’ หาความหมายของสิ่งที่สัมผัสได้
กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆ คืนสัมปชัญญะจนเกือบครบถ้วนสมบูรณ์ ร่างกาย หรือ จิต อะไรสักอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจคล้ายเบาขึ้น สบายขึ้น กล้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยขึ้นจากพื้นที่เหยียบอยู่อย่างช้าๆ
ความสูงของการลอยขึ้นนั้นน่าจะไม่เกินหนึ่งฝ่ามือจากพื้นดิน จิตของเขาก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อจิตนั้นหล่นวูบคล้ายคนตกจากตึก คราวนี้ความสูงของมันไม่ธรรมดา สิ่งที่รับรู้คือแรงกระชากจากเบื้องล่างและความเร็วที่ร่วงหล่นของตัวเอง
“ถอยไป!” กล้าสะดุ้งเฮือกกับเสียงตะโกนที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง จะลืมความรู้สึกที่รับรู้ได้เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนไปจนหมดสิ้น
ครั้งนี้เขาได้สติและกลับมาพร้อมความตกใจปนความกลัวเมื่อได้เห็นสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจและไม่คิดว่าตัวเองจะได้เห็นมันไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
กลิ่นที่จมูกของกล้าสัมผัสได้คือกลิ่นของดินที่เปียกน้ำจนชุ่ม กลิ่นของน้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่ไม่ไกลจากตัวเขาในเวลานี้ ความรู้สึกเหล่านั้นถูกตอกย้ำด้วยเสียงคลื่นกระทบกับตลิ่งและสิ่งปลูกสร้างที่ทำจากไม้
เสียงจ้อกแจ้กจอแจทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถจะตั้งสมาธิไปยังสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ บวกกับคนที่เดินขวักไขว่ไปมายิ่งทำให้กล้าตกอยู่ในภวังค์แห่งความกลัว เพราะทุกคนล้วนแต่งตัวในชุดเสื้อผ้าที่แตกต่างไปจากปกติ แม้ว่ามันจะดูคุ้นตา แต่มันไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ตรงนี้ ต่อหน้าเขา
รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านหลังแล้วเอียงตัวแทรกผ่านเขาไป ชายคนนั้นดูมีอายุมากกว่าและไม่ได้สวมเสื้อมีเพียงผ้านุ่งที่คล้ายกับโจงกระเบนเท่าที่เขาพอจะจำได้จากคาบวิชาประวัติศาสตร์
ชายคนนั้นแบกหีบไม้ขนาดกลางไว้บนบ่าเดินตรงไปยังริมแม่น้ำที่มีผู้คนมากหน้าหลายตายืนมุงกันอยู่ กล้าตรงหยีตามองอีกครั้งเพราะยังไม่เชื่อสายตาของตัวเองว่าเขาจะได้พบกับ ‘ชาวต่างชาติ’ ที่ยืนอยู่ใกล้กับเรือขนาดใหญ่ลำหนัก
“กูต้องฝันไปแน่ๆ” กล้าบอกกับตัวเองอย่างนั้นแต่สัมผัสตอนที่โดนชายคนนั้นเดินชนยังคงชัดเจนอยู่ที่หัวไหล่ กลิ่นน้ำ กลิ่นดินยังคงโชยมาเตะจมูกไม่จางหาย และไม่ทันที่เขาจะได้คิดหรือได้เข้าใจอะไร ภาพตรงหน้าก็พลันเคลื่อนตัวไปจากจุดรวมสายตาที่เขามองอยู่
ภาพแวดล้อมไม่ได้เลือนหายและกล้าไม่ได้ตื่นจากฝัน แต่ภาพทั้งหมดนั้นเขาเพียงแค่ ‘เคลื่อนไป’ พร้อมกับร่างกายของเขาที่กำลังเดินไปข้างหน้าอย่างห้ามไม่ได้
กล้าพยายามออกแรงห้าม พยายามส่งเสียง พยายามที่จะหยุดยืนนิ่งแต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่เกิดขึ้น ตอนนี้กล้าเหมือนกับเป็นเพียง ‘ผู้ชม’ ที่คอยเฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้า ผ่านร่างกายของใครบางคนที่เขากำลังร่วมใช้ประสาทสัมผัสนั้นร่วมกัน
เขาได้ยิน ได้กลิ่น ได้เห็น ได้สัมผัส แต่ไม่อาจควบคุมร่างตรงหน้าได้ ทุกบทสนทนาที่ได้ยิน ทุกบทสนทนาที่เขาพูดออกไป ทุกการเคลื่อนไหวคล้ายวีดีโอม้วนหนึ่งที่เขาทำได้เพียงแค่ ‘เฝ้าดู’ มันเล่นไปเรื่อยๆ โดยไม่อาจเป็นส่วนหนึ่ง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้
วิวทิวทัศน์ที่ได้เห็นนั้นตระการตา อาจเป็นเพราะการเฝ้าดูที่พูดถึงนั้นจึงทำให้ความกลัวของกล้าค่อยๆ ลดลงและมองว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกก้าวที่ ‘เขา’ ก้าวไปตามทางมันกลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ไม่ใช่ความรู้สึกคุ้นเคยว่ากล้า ‘เคย’ มาที่นี่ แต่เป็นความรู้สึกเคยชินราวกับตัวเขาได้มาเยือนที่แห่งนี้อยู่เป็น ‘ประจำ’
กล้าเดินผ่านสถานที่ที่คาดว่าน่าจะเป็นตลาดหรือย่านการค้าบางอย่างเพราะมีข้าวของวางขายอยู่ทั่วพื้นที่ กล้าเพลิดเพลินไปกับการเฝ้ามองผู้คนที่แต่งตัวหลายหลาย บ้างถอดเสื้อ บ้างห่มคลุมด้วยชุดเสื้อผ้าสีพื้น บ้างคาดผ้า บ้างถูกตกแต่งด้วยผ้าสีสันสดใส
ลึกลงไปในจิตใจนั้นกล้ารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของ ‘ร่าง’ นี้ ในหัวใจดวงนั้นคล้ายโลดแล่นด้วยความรู้สึกลิงโลดคล้ายเด็กที่กำลังจะได้พบกับบางอย่างที่น่าตื่นเต้น แต่ความรู้สึกนั้นกลับถูกแฝงด้วยความกลัว ความไม่มั่นใจ ความรู้สึกด้านลบที่ยากจะอธิบายแต่ชัดเจนจนไม่สามารถลบมันออกไปได้ในเวลานี้
ร่างนั้นเดินมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง คลองสายตาที่กล้าใช้ร่วมกับเขากับลังสอดส่ายไปมาเหมือนกำลังพยายามมองหาใครบางคน
“ข้าอยู่นี่โว้ย!” เสียงของผู้ชายอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ใกล้ๆสูงขึ้นไปเหนือศีรษะของเขา ร่างนั้นและกล้ามองตามเสียงขึ้นไปยังกิ่งไม้ที่ทอดตัวเป็นเปลให้กับชายคนนั้นได้อย่างพอดิบพอดี
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสมส่วนสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูมีราคาขัดกับพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมห้อยเท้าก้มมองลงมายังคนข้างล่างด้วยรอยยิ้มแทนการทักทาย ภาพใบหน้าที่ปรากฏในคลองสายตานั้นทำให้ ‘กล้า’ ที่ซุกซ่อนอยู่ในหลืบมุมของ 'ร่าง' นั้นต้องตะโกนสุดเสียงในความคิด
“ไอ้อาร์ต!”
....................................................................................................
สารวัตรเทวกานต์และหมวดเสือจ้องไปที่ลูกตุ้มดินเหนียวอย่างใจจดใจจ่อเพราะมันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงและยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“หยุดมันทีได้ไหมครับ ผมรำคาญ!” อาร์ตพูดเสียงห้วนๆ กับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าตรงหน้า เทวกานต์หันกลับมามองเด็กหนุ่มด้วยความสงสัยเหมือนกับหมวดเสือที่กำลังพยายามวินิจฉัยว่าเด็กคนนี้มีอะไรที่ต่างออกไปจากเด็กคนอื่น
หมวดเสือยกวัตถุอันน่ารำคาญในสายตาของเด็กหนุ่มออกไปจากโต๊ะโดยวางมันไว้ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง แน่นอนว่ามันยังไม่หยุดทำงาน และหมวดเสือก็ไม่พลาดที่จะเดินไปหยิบเอาของบางอย่างออกมาจากย่ามของตนเองอีกหนึ่งชิ้น
บทสนทนาเป็นไปตามรูปแบบของการสอบปากคำเช่นเดียวกับภัทร และ ภู ต่างกันตรงที่อาร์ตนั้นไม่ยินดีที่จะตอบ เขาเลือกตอบเพียงบางคำถามและทุกคำถามที่เขาตอบล้วนเป็นเรื่องทั่วไป เมื่อใดก็ตามที่คำถามวนไปเกี่ยวกับเรื่องผีถ้วยแก้วในคืนนั้น หรือมีการเอ่ยชื่อ ‘มะลิวัลย์’ ขึ้นมาก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธและควบคุมอารมณ์อันพลุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
“คืนนั้นน้องเห็นอะไรหรือเปล่า?” เทวกานต์ถามด้วยความเป็นห่วงแต่เลือกที่จะใช้น้ำเสียงกระด้างเพราะต้องการข่มให้เด็กตรงหน้ารู้สึกกลัว ความใจดีในเวลานี้ไม่มีประโยชน์
อาร์ตไม่ตอบได้แต่ทำท่าฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ ท่าทางของเขาอยู่ไม่สุขพยายามขยับตัวไปมาเปลี่ยนท่าหนึ่งเปลี่ยนตำแหน่งการวางมือเท้า และที่แน่ๆ คือ เขาไม่ยอมสบตาใครในห้องเลยแม้แต่นิดเดียว
แม้ว่าอาร์ตจะแสดงออกถึงความไม่พอใจมากมายเพียงใด แต่การสบตาตรงๆ กับคนตรงหน้ายังดูเป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าทำ เทวกานต์สังเกตเห็นถึงอาการนั้นจึงพยายามถามคำถามที่กระทบกับความรู้สึกนั้น และพยายามที่จะจ้องหน้าเด็กหนุ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เทวกานต์สังเกตเห็นความผิดปกติอีกอย่างหนึ่งที่ขัดกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ตอนนี้เสื้อนักเรียนของอาร์ตเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนมองทะลุเห็นเนื้อหนังภายในได้ เรื่องนี้มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าในห้องนี้ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศไว้จนเย็นจัด
“ผมจะกลับแล้ว” อาร์ตลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปยังประตูห้องปกครอง เขาออกแรงเปิดประตูแต่กลับไม่มีการขยับเขยื้อนใดปรากฏขึ้น เด็กหนุ่มนักกีฬาออกแรงกระชากประตูจนเกิดเสียงดังและพยายามที่จะเตะมันเหมือนหวังว่ามันจะพังลงไปกับพื้น ซึ่งไม่ใช่วิสัยปกติที่ควรทำต่อหน้าผู้ใหญ่
หมวดเสือจ้องมองเด็กคนนี้เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่งที่กำลังพยายามจะออกแรงพังกรงขังออกไปสู่โลกภายนอกเพื่อหนีจากบรรยากาศและสถานที่อันรู้ดีว่าตัวเองเสียเปรียบและเสี่ยงอันตรายเพียงใด
ผู้ที่รู้สาเหตุของอาการนั้นมีเพียงหมวดเสือและสารวัตรเทวกานต์ ทั้งสองเหลือบไมองไปยังเพดานห้องทั้งสี่มุม ที่ตรงนั้นหากไม่สังเกตให้ละเอียดจะมองไม่เห็นผ้ายันต์ผืนเล็กๆ ที่ติดเอาไว้ครบสี่ด้าน เพราะมันถูกพรางด้วยกระดาษสาสีขาวอีกชั้นหนึ่ง
“กลับมานั่งเถอะ คุยกันก่อน” เทวกานต์พูดเบาๆ ก่อนจะหลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาช้าๆ อีกครั้งพร้อมกับทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไป สิ่งที่สารวัตรหนุ่มเห็นจากร่างของเด็กชายตรงหน้าคือกลุ่มควันสำดำสนิทหน้าแน่นยิ่งกว่าหมอกในยามเช้า หรือเขม่าควันจากการเผาไหม้ กลุ่มควันนั้นไม่ได้วนเวียนล่องลอยอยู่ในอากาศ แต่มันเคลื่อนตัวผ่านร่างของอาร์ตไปมาอย่างน่าขนลุก
เทวกานต์ยังไม่ขยับตัวทำสิ่งใดเพียงแค่ ‘มองดู’ ภาพตรงหน้าเพื่อยืนยันความคิดของเขาว่า ‘เรื่องนี้’ มีอะไรมากกว่าการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม
อาร์ตทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก ดวงตานั้นแข็งกร้าวราวกับต้องการจะซัดคนตรงหน้าให้หงาย แต่ข้างในดวงตากลับเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสๆ นัยน์ตาดำกวัดแกว่งไร้จุดหมายอย่างคนไม่มั่นใจ
หมวดเสือหยิบเอาสร้อยประคำเส้นเล็กที่ดูคล้ายกับกำไรข้อมือออกมาถือไว้ใต้โต๊ะ ชายมากไววางประคำไว้บนร่องนิ้วตรงข้างนิ้วชี้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือค่อยๆ กด เลื่อนลูกประคำแต่ละลูกให้ผ่านไปอย่างช้าๆ โดยลูกประคำทุกลูกนั้นล้วนถูกจารไว้ด้วยอักขระบางอย่าง
ทุกครั้งที่ลูกประคำแต่ละลูกเคลื่อนผ่านนิ้ว ‘อาร์ต’ ก็ดูจะมีอาการแย่ลงเรื่อยๆ เหงื่อที่เคยไหลซึมตอนนี้ไหลท่วมคล้ายคนที่เพิ่งออกมาจากการแข่งกีฬาติดกันนานนับชั่วโมง ลมหายใจเริ่มหนักหน่วง
ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่สามารถประคองร่างของตัวเองให้ตั้งตรงได้อีก ใบหน้าของเขาค่อยๆ ก้มต่ำลงจนหน้าผากจรดกับขอบโต๊ะ ไหล่สองข้างตกอย่างคนไม่มีแรง เสียงหอบหายใจนั้นสั่นเครือ บ้างก็กระตุกเป็นจังหวะ คล้ายกับจะร้องไห้ และหัวเราะไปพร้อมๆ กัน
เทวกานต์มองร่างของเด็กตรงหน้าอย่างร้อนใจพยายามคิดหาทางช่วยเหลือให้เร็วที่สุด ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า ‘อาร์ต’ ได้รับผลกระทบจากอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นผีถ้วยแก้วในคืนนั้น หรือไม่ก็ตัวแปลอื่นที่อาจเชื่อมโยงไปถึงการตายของมะลิวัลย์
ตึก! ตึก! ตึก!
อาร์ตพยายามยกใบหน้าของตัวเองขึ้นจากพื้นโต๊ะแต่ก็ดูเหมือนจะอ่อนแรงจนเกินไป หน้าผากที่สูงขึ้นจากโต๊ะได้ไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงกลับให้ตกลงบนนั้นจนเกิดเสียงดังอีกหลายครั้ง
เทวกานต์ที่ทนมองภาพนั้นต่อไปไม่ไหวหันไปมองหมวดเสือที่ยังคงนับประคำในมือพร้อมกับบริกรรมคาถาอะไรบางอย่างอยู่เบาๆ หมวดเสือส่ายหัวบอกให้เทวกานต์คอยด้วยจุดประสงค์บางอย่าง แต่สารวัตรหนุ่มตอนนี้ไม่สามารถทนเห็นหน้าผากของเด็กที่แดงจนเริ่มที่จะนูนขึ้นมาอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป
“น้อง! ตื่น!” เทวกานต์ลุกยืนเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปเขย่าตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าเพื่อเรียกสติ แต่แทนที่อาร์ตจะได้สติกลับมา ความถี่ของการกระแทกนั้นจะมากขึ้น เสียงกระทบกันของผิวหน้าผากและพื้นโต๊ะดังขึ้นกว่าเก่า
เทวกานต์ก้มหน้าเข้าไปใกล้อีกตะโกนเรียกชื่อของเด็กหนุ่มอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็มีครั้งหนึ่งที่ร่างนั้นหยุดนิ่งลง อาร์ตเงยหน้าขึ้นมามองนายตำรวจตรงหน้าด้วยดวงตาสีดำสนิทไร้ตาขาว ด้วยตานั้นกลมโตใบหน้าไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด
อาร์ตใช้เท้าข้างหนึ่งยันตัวเองขึ้นไปบนโต๊ะแล้วกระโจนใส่สารวัตรเทวกานต์จนล้มลงไปกับพื้น ร่างเล็กๆ ของเด็กมัธยมตอนนี้กำลังกดผู้ใหญ่ที่มีร่างกายสมบูรณ์พร้อมเอาไว้กับพื้นได้อย่างอยู่หมัด ดวงตาสีดำสนิทนั้นไร้แวว มีเพียงปากที่ตะคอกใส่เทวกานต์เท่านั้นที่มีความหมาย
“ออกไป! อย่ามายุ่งกับกู! อย่ามายุ่งกับที่ของกู!”