“อ๊ากกกก!”
ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างของกล้าที่กำลังดิ้นพล่านอย่างเจ็บปวดก่อนจะกระตุกแล้วนอนนิ่งลงไปกับเตียงในไม่กี่นาทีถัดมา
ห้องทั้งห้องเงียบสงับยังไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดเพราะไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ทุกคนได้ยิน ปฏิกิริยาของกล้าที่เพิ่งฟื้นขึ้นมานั้น ‘แปลกประหลาด’ ราวกับไม่ใช่ตัวเขาเอง
เทวกานต์ตั้งสติได้ก่อนคนอื่นๆ จึงเข้าไปเขย่าตัวของเด็กน้อยที่ไม่ได้สติ เขาพยายามตรวจจับชีพจรแต่ก็ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองรับรู้ได้สักเท่าไหร่ ดีที่นายแพทย์ตุลย์วิ่งเข้ามาในห้องพยาบาลทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของคนไข้ที่เพิ่งฟื้น
“เด็กๆ มานี่! เดี๋ยวนี้เลย!” เทวกานต์ตวาดเรียกอาร์ต ภัทร และภูให้ถอยห่างออกจากเตียงคนไข้ที่นายแพทย์ตุลย์กำลังตรวจอาการเพื่อนของพวกเขาด้วยสีหน้าที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าหนักใจ
ในครั้งแรกเด็กหนุ่มทั้งสามคนยังคงยืนตัวแข็งอยู่กับที่เพราะกำลังตกใจและไม่กล้าที่จะทิ้งเพื่อนรักเอาไว้เพียงลำพัง แต่เสียงตวาดของเทวกานต์ก็ดังและหนักแน่นจนเด็กที่ในวัยที่ด้อยด้วยวุฒิภาวะยากจะขัดขืน
สายตาทั้งสามคู่ยังคงจ้องมองไปที่ร่างของเพื่อนในการดูแลของนายแพทย์ ขาสองข้างเริ่มไร้เรี่ยวแรง สติที่เลื่อมเลือนราง สัมปชัญญะที่อ่อนล้าเต็มที่ การคิดอ่านขัดขืนใดๆ ล้วนไม่อยู่ในสามัญสำนึก ณ เวลานี้
พ้นเขตห้องพยาบาลของโรงเรียนออกมาก็เหลือเพียงความมืดของยามค่ำคืน ไม่มีไฟทางเดิน แสงสว่างจากภาพด้านนอกที่สะท้อนมาพอช่วยให้เห็นทางเพียงรางๆ เท่านั้น
เด็กทั้งสามคนก้าวเท้าขึ้นรถกระบะของเจ้าหน้าที่ตำรวจคันหนึ่งที่ถูกจอดทิ้งไวภายในโรงเรียน ตลอดเวลาบนถนนเทวกานต์เหลือกตามองเด็กๆ ทั้งสามคนเป็นระยะโดยไม่มีใครพูดอะไรเพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ นั่นทำให้สารวัตรหนุ่มตัดสินใจเอ่ยปากถาม
“ตกลงว่าพวกเธอมาทำอะไรกันดึกดื่นขนาดนี้” ภัทรที่ดูจะมีสติเหลือมากที่สุดสะดุ้งกับประโยคนั้นอย่างออกอาการซึ่งมันไม่มีทางเล็ดลอดสายตาของตำรวจไปได้แน่ๆ
ภัทรอ้ำอึ้งไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปได้แต่ลนลานแอบสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาทั้งสามคู่สบกันด้วยความไม่เข้าใจ ภัทรและภู ตกอยู่ในความตระหนกไม่ต่างกัน เว้นก็แต่อาร์ตที่ดูจะจมอยู่ในภวังค์ความคิดอะไรสักอย่างทำให้ไม่ได้สนใจเพื่อนอีกสองคนเท่าที่ควร
“พูดมาเถอะ อย่าคิดว่าไม่เห็นของที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นนั่นนะ” เทวกานต์ย้ำในสิ่งที่พวกเขาได้สร้างขึ้นและถูกจับได้คาหนังคาเขา
“พวกเรา... เล่นผีถ้วยแก้วกันครับ” ภัทรตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าสบตา แต่พอจะเห็นว่าเทวกานต์กำลังจ้องมองพวกเขาผ่านกระจกมองหลังของรถ
“ใครล่ะ” สารวัตรหนุ่มถามสั้นๆ
“อะไรนะครับ?” ภัทรทวนคำถามเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“พวกเธอต้องการที่จะติดต่อกับใคร ถึงมาเล่นผีถ้วยแก้วกัน” คำถามที่รุนแรงกระทบกับความรู้สึกของคนฟัง จนสายตาคู่หนึ่งเปลี่ยนจากความเหม่อลอยเป็นความโกรธอย่างไร้เหตุผล
“พี่...มะลิวัลย์ครับ” ภูที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นมาเบาๆ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังไม่พอใจมากเพียงใด ดวงตาแข็งกร้าวของอาร์ตที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่านจ้องเขม็งไปยังเพื่อนรักอย่างอาฆาตจนไม่น่าเชื่อว่านั้นคือสายตาเพื่อนที่มีให้แก่กัน
เทวกานต์ไม่ตอบรับชื่อนั้น เพียงแค่ถอนหายใจอย่างเข้าใจเพราะสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันได้บางส่วนแล้ว เว้นก็เพียงแต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่เขารับรู้ได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบกับเด็กทั้งสี่ ความรู้สึกอันคลุมเครือที่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าความผิดปกตินั้นเกาะติดอยู่กับเด็กคนไหนกันแน่
หลังจากคำตอบของภูก็ไม่มีการสนทนาใดเกิดขึ้นอีกจนส่งเด็กทุกคนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย พร้อมกับกำชับเด็กทั้งสามคนว่า “ห้ามพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้อีกโดยเด็ดขาด”
ค่ำคืนอันยาวนานกำลังจะผ่านพ้นไป สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมายจากการตัดสินใจเล็กๆ ของเด็กสี่คน การตัดสินใจที่ยากจะยอมรับผลลัพธ์ที่จะถามมาในภายหลัง ผลลัพธ์ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เช้าวันใหม่มาถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เด็กทั้งสามคนมาโรงเรียนตามปกติโดยที่ยังไม่ได้รับข่าวของกล้าเลยแม้แต่นิดเดียว ในตอนเข้าแถวเคารพธงชาติในตอนเช้าเด็กทั้งสามคนพยายามมองหากล้า แต่ก็ไม่มีวี่แวว
แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันใหม่แล้วแต่บรรยากาศอันหดหู่และความกดดันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เดินไปมาในโรงเรียนยังคงอยู่ เด็กหลายคนเลือกที่จะหยุดเรียนอีกหนึ่งวัน ในขณะที่บางส่วนตัดสินใจมาเรียนตามปกติภายใต้ความกดดันเหล่านี้
“ขอพบ นายวีระภัทร นายอัสดง และ นายคีรีสรวง ที่ห้องปกครองในเวลานี้ด้วยค่ะ” เสียงประกาศที่หน้าเสาธงเรียกให้เด็กทั้งสามไปพบด้วยเหตุผลที่พวกเขาพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าคืออะไร การเรียกชื่อพวกเขาเพียงสามคน ไม่ใช่สี่ มันคงมีได้แค่ความหมายเดียว แต่พวกเขาก็ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าขอให้มันไม่ใช่ข่าวร้ายเช่นเดียวกับเรื่องของมะลิวัลย์ก็เพียงพอ
ที่หน้าห้องปกครองเวลานี้ไม่มีใครเพราะทางเดินถูกกันด้วยเทปสีเหลืองของตำรวจเพื่อกันไว้ให้เป็นสถานที่เฉพาะในการทำงานของเจ้าหน้าที่
เด็กทั้งสามคนยืนนิ่งมองนายตำรวจหนุ่มที่ยืนรอเขาอยู่หน้าประตูห้องปกครอง
“นั่งรอก่อนนะ พี่จะปล่อยให้เข้าไปทีละคน” นนทการพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหวังว่าจะช่วยให้บรรยากาศนั้นดีขึ้นบ้างสักเล็กน้อย และเด็กคนแรกที่ถูกพาเข้าไปในห้องนั้นคือ ‘ภัทร’
ภัทรก้าวเข้าไปในห้องด้วยอาการกล้าๆ กลัวๆ ที่ตรงนั้นไม่มีวี่แววของอาจารย์ประจำชั้นหรืออาจารย์ท่านอื่นๆ ที่เขาพอจะถามหรือขอคำปรึกษาใดๆ ได้เลย แม้ว่าจะพยายามมองไปจนทั่วทั้งชั้นของอาคารแล้วก็พบเพียงนนทการที่ยืนอยู่ตรงนั้นเท่านั้น
ภายในห้องปกครองถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายตามแบบฉบับของห้องที่ไม่ต้องการให้ถูกใช้บ่อยมากนักในโรงเรียนมัธยม
โต๊สี่เหลี่ยมตัวใหญ่ถูกตั้งไว้กลางห้อง ภัทรนั่งลงที่เก้าอี้เปล่าด้านหนึ่งหนึ่งตรงข้ามกับอีกสองคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ทักทายทั้งสองคนด้วยความกลัว เพราะยังไม่รู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองถูกเรียกมาในวันนี้ คนหนึ่งคือคนที่เขาจำหน้าได้นั่นคือเทวกานต์ วันนี้เขาอยู่ในชุดไปรเวทเหมือนตามปกติจนดูไม่ออกว่าชายคนนี้มีอาชีพเป็นตำรวจ
ส่วนอีกคนนั้นยิ่งทำให้ผู้พบเห็นเกิดความสงสัยที่มากกว่าว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงๆ หรือไม่ ด้วยผมเผ้าที่ขาวโพลนยาวรุงรัง หนวดเคลาที่ไม่ได้โกนและไม่แม้แต่จะจัดการมันให้ดูเรียบร้อย อีกทั้งยังมีรอยสักที่โผล่ออกมาตามขอบของเสื้อผ้าที่สวมใส่
“ขนมไหม?” เทวกานต์เลื่อนจานขนมมาวางไว้ตรงหน้าของเด็กหนุ่มหวังจะช่วยให้ภัทรได้หายเกร็งขึ้นมาบ้างแต่มันก็ไม่ได้ผล สุดท้ายทางออกเดียวที่คิดได้คือ การอธิบายเหตุผลให้ฟัง
ภัทรตั้งใจฟังเหตุผลที่ตัวเองถูกเรียกมาในวันนี้ สิ่งที่เทวกานต์ต้องการจากเด็กนักเรียนตรงหน้าไม่ใช่การตำหนิหรือเอาโทษใด แต่เขาต้องการข้อมูล เขาต้องการสอบถามเพื่อนรวบรวมทุกอย่างที่จะช่วยให้การตายของมะลิวัลย์ไม่สูญเปล่า
“เมื่อคืนนี้พี่เชื่อว่าน้องคงได้เห็นแล้วว่า โลกใบนี้ยังมีเรื่องที่ยากจะอธิบายอยู่” เทวกานต์เปลี่ยนสรรพนามเพื่อทำให้ผู้ถูกสอบปากคำเปิดใจ ภัทรคิดตามประโยคนั้นพลันนึกถึงสิ่งที่ได้พบเจอในคืนที่ผ่านมา
เหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นไล่เลี่ยกัน แต่ทั้งหมดนั้นก็ยากที่จะปฏิเสธว่ามัน ‘ผิดปกติ’ ผีหรือเปล่า? ไม่มีใครรู้ รู้แต่เพียงว่ามันผิดปกติ ผิดจากทุกสิ่งทุกอย่างที่มันควรจะเป็นก็เท่านั้น
“พี่เชื่อนะว่า ผีมีจริง” เทวกานต์เปิดบทการสนทนาด้วยสิ่งที่ไม่คาดคิด เขาจงใจเว้นวรรคคำลงท้ายไว้นิดหนึ่งเพื่อเน้นว่าสิ่งที่เขาต้องการจะถามนั้น เกี่ยวกับอะไร
ภัทรพยักหน้าตอบรับเพราะเริ่มจะเปิดใจให้บ้างแล้ว เทวกานต์พยักหน้ารับไมตรีนั้นแล้วหันไปแนะนำนายตำรวจมากวัยที่นั่งอยู่ข้างๆ ‘หมวดเสือ’ ก้มหัวให้เล็กน้อยแทนการทักทาย และปล่อยให้การอธิบายเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาแต่เพียงผู้เดียว
การสนทนาของทั้งสองคนดำเนินไปอย่างช้าๆ เริ่มจากการถามถึงที่มาที่ไปและความสัมพันธ์ของเจ้าตัวกับผู้ตายที่อยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ โดยที่ยังไม่พูดถึง ‘กล้า’ เลยแม้แต่คำเดียว
ตลอดเวลาการพูดคุยสายตาของภัทรจ้องมองไปยังวัตถุประหลาดที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากตัวเขามากนัก เทวกานต์ที่สังเกตได้จึงสะกิดให้หมวดเสืออธิบายถึงสิ่งแปลกปลอมที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ลูกตุ้มดักผี” ชายมากวัยพูดขึ้นมาสั้นๆ ก่อนจะค่อยๆ อธิบายถึงสิ่งที่มีชื่อน่ากลัวเหมือนกับรูปลักษณ์ของมัน ‘ลูกตุ้มดักผี’ คือชื่อที่เจ้าของอย่างหมวดเสือตั้งมันขึ้นมาด้วยตัวเองโดยดัดแปลงการใช้งานมาจากศาสตร์อื่นอย่าง ‘ดาวซิ่ง (Dowsing)’
ภัทรรับฟังและมองไปยังวัตถุคล้ายลูกตุ้มที่ถูกห้อยลงมาจากก้านไม้สามก้าน มันด้วยเชือกคล้ายสายสิญจน์ ที่ปลายเชือกมีวัตถุคล้ายก้อนดินเหนียวปั้นเป็นทรงกลมห้อยอยู่
“ข้างในเป็นกระดูกผีตายโหงเจ็ดศพ” หมวดเสืออธิบายต่ออย่างไม่แยแสว่าเด็กจะกลัวหรือไม่ ภัทรกลืนน้ำลายอึกใหญ่รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว ไม่ใช่เพราะเขาได้รู้ว่ามันทำมาจากอะไร แต่มันคือการเคลื่อนไหวอย่างไร้เหตุผลของตุ้มถ่วงนั้นมากกว่า
ลูกตุ้มดักผีนั้นถูกครอบไว้ด้วยกรอบแก้วปิดสนิทอีกหนึ่งชั้นซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางที่ลมจะพัดผ่านเข้าไปภายในได้แม้แต่นิดเดียว เมื่อไม่มีแรงกระทำจากภายนอกก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ลูกตุ้มนั้นจะขยับไปมาเบาๆ อยู่ข้างใน
ภัทรจ้องก้อนดินเหนียวนั้นขยับไปมาอยู่ในกรอบแก้ว เด็กหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่ามันอาจจะเพิ่งถูกนำมาวางแล้วที่มันขยับอย่างนั้นก็เป็นเพราะแรงที่เกิดจากการเขย่าเท่านั้น
แม้ว่าเด็กน้อยจะปลอบใจตัวเองอย่างนั้น แต่ตุ้มถ่วงนั้นกลับไม่ยอมหยุดเคลื่อนไหวทั้งที่เวลาผ่านไปแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง มันยังคงกวัดแกว่งไปมาด้วยแรงเท่าเดิม ไม่เพิ่มขึ้น และไม่ลดลง
“แล้วกล้าล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง?” ภัทรถามก่อนที่ตัวเองจะเดินออกจากห้องไปหลังจากให้การเสร็จสิ้นแล้วทุกอย่าง เทวกานต์ไม่ตอบคำถามนั้น ได้แต่กลบเกลื่อนไปว่าตอนนี้กล้ากำลังพักผ่อนอยู่ในการดูแลของผู้ปกครอง
นายตำรวจทั้งสองมองดูเด็กตรงหน้าเดินออกจากห้องปกครองไปอย่างช้าๆ ระหว่างรอให้นนทการเรียกเด็กคนถัดไปเข้ามา สารวัตรหนุ่มก็หันไปถามหมวดเสืออีกครั้งถึงสิ่งที่เรียกว่าลูกตุ้มดักผี
หมวดเสืออธิบายการทำงานของมันให้ผู้บังคับบัญชาฟังอย่างช้าๆ ถึงสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ข้างใน นอกจากกระดูกแล้วยังมีเศษเสี้ยวของวิญญาณเหล่านั้นหลงเหลือและถูกกำกับไว้ด้วยอาคมรูปแบบหนึ่ง วัตถุชิ้นนี้จะมีปฏิกิริยากับสิ่งของจำพวกเดียวกัน เช่น ของขลัง วิญญาณ คุณไสย และสิ่งชั่วร้ายต่างๆ หากมีของดังกล่าวเข้ามาใกล้ ตุ้มถ่วงนั้นจะเกิดการขยับเป็นการบอก
“นั่นก็หมายความว่า เด็กคนนี้ก็ถูกติดตามด้วยอะไรบางอย่างสินะ” หมวดเสือพยักหน้าตอบรับความคิดเห็นของเทวกานต์แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ‘ภู’ ก็เดินเข้ามาในห้อง
การสนทนาทั้งหมดคล้ายคลึงกับวิธีที่ถูกใช้กับภัทร ต่างกันตรงที่ภูดูจะไม่ค่อยสบอารม์มากนัก ใบหน้าของเขาแสดงออกย่างชัดเจนว่าไม่พอใจแต่ก็ไม่ถึงกับก้าวร้าว บทสนทนาจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีการพูดคุยนอกเรื่องแต่อย่างใด
“ระหว่างที่เล่นผีถ้วยแก้ว น้องเห็นอะไรบ้าง มะลิวัลย์ได้มาคุยกับพวกน้องจริงๆ ไหม?” ภูหลับตาพยายามนึกตามในสิ่งที่ถูกถาม คืนนั้นเขาจำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ สิ่งที่ติดตามีเพียงภาพของกล้าที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น
“ผมรู้สึกว่าผมได้ยินเสียง...ใครบางคน ไม่สิ... น่าจะเป็นกลุ่มคนมากกว่า” ข้อมูลของภูนั้นใหม่ เพราะภัทรไม่ได้รับรู้ถึงเสียงอย่างที่ภูพูดออกมา เทวกานต์เงียบฟัง
“เสียงมันคล้ายกับคนหลายคนวิ่งอยู่ข้างนอกห้องสมุด หรือข้างในก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันดังอยู่รอบๆ พวกผม” นี่เป็นครั้งแรกที่ภูเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง แม้แต่กับเพื่อนของตัวเองเขาก็ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย เพราะคิดว่ามันอาจจะทำให้สภาพจิตใจของคนอื่นๆ ย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิม
เทวกานต์ถามถึงรายละเอียดของเสียงนั้นต่ออีกนิดหน่อย แต่ดูเหมือนภูจะจำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้จริงๆ เมื่อหมดคำถามแล้วเขาจึงต้องปล่อยให้เด็กชายตรงหน้าได้กลับไปหาเพื่อนเสียที
“คนนี้ก็ใช่เหรอ?” สารวัตรหนุ่มพูดเบาๆ ขณะที่ภายในห้องมีแค่พวกเขาสองคน นายตำรวจทั้งสองมองดูลูกตุ้มในกรอบแก้ว มันกำลังขยับไปมาเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับภัทร แต่ดูเหมือนว่ารัศมีการแกว่งของมันจะกว้างกว่าเล็กน้อย
“ผมรับโทรศัพท์นะ” เทวกานต์หัไปบอกหมวดเสือตามมารยาท ชื่อที่แสดงบนหน้าจอนั้นคือ ‘ตุลย์’ เขาเอาโทรศัพท์แนบหูฟังสิ่งที่เพื่อนรักต้องการบอกอย่างเงียบๆ มีการพยักหน้าออกเสียงตอบรับบ้างแค่บางที แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการฟังเสียมากกว่า
เมื่อสิ้นสุดการสนทนา เทวกานต์วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเบาๆ ถอนหายใจเฮือกใหญ่เอาสองมือขึ้นมากุมขมับจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อดถามไม่ได้
“มีอะไรเหรอครับนาย?” หมวดเสือถามเพราะรู้ดีว่าเรื่องที่ทำให้ผู้บังคับบัญชาของตนมีท่าทางเคร่งเครียดได้ขนาดนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา
“ตุลย์โทรมาบอกว่า เด็กอีกคนฟื้นแล้ว แต่...” เทวกานต์ทิ้งช่วงเหมือนไม่อยากพูดมันด้วยปากของตัวเอง
“แต่อะไรครับนาย” หมวดเสือถามย้ำ
“ตุลย์บอกผมว่า เด็กที่ตื่นขึ้นมานั้น เหมือนไม่ใช่ตัวเอง ไม่ใช่ว่าจำอะไรไม่ได้ ไม่ได้ความจำเสื่อม แต่เหมือนกับเขาเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย” หมวดเสือรับฟังเงียบๆ หลังจากนี้พวกเขาคงต้องเหนื่อยอีกมากแน่ๆ
เสียงเคาะประตูเรียกให้ทั้งสองคนหลุดออกจากความเครียดกลับมาทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเพราะยังเหลือเด็กอีกหนึ่งคนที่ต้องให้การกับพวกเขา
ตึง!
เสียงกระแทกประตูแทนการยกมือไหว้ทักทายของ ‘อาร์ต’ ทำให้นายตำรวจทั้งสองคนเปลี่ยนจากท่าทางสบายๆ เป็นความจริงจังเพื่อกดไม่ให้เด็กวัยรุ่นตรงหน้าอาละวาดไปมากกว่านี้
อาร์ตทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้เสียงดังเช่นเดียวกัน เขาบอกไม่ได้เหมือนกันว่าโกรธอะไร หรือไม่พอใจอะไร เขารู้แต่เพียงว่าเขาโกรธ โกรธมาก โกรธจนอยากจะกระโดดซัดหมัดเข้าที่หน้าของนายตำรวจสักที ทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงคิดอย่างนั้น
“พี่ชื่อ-” เทวกานต์กำลังจะแนะนำตัวกับคนตรงหน้าแต่ถูกสะกัดไว้ด้วยเสียงเรียกจากคนข้างๆ หมวดเสือเรียกให้เขาหันมาดูตุ้มถ่วงที่อยู่ในกรอบแก้ว เพราะตอนนี้มันแกว่งไปมาด้วยความรุนแรง ลูกตุ้มดินเหนียวที่เคยไหวเพียงเบาๆ ตอนนี้แกว่งจนมันแทบจะคว่ำลงบนโต๊ะด้วยแรงสั่นของตัวมันเอง