อัปเดตล่าสุด 2022-08-27 10:54:45

ตอนที่ 8 เศียรปู่บรมครูผู้สร้างหนัง ตอน ๒

บทที่ 8

เศียรปู่บรมครูผู้สร้างหนัง ตอน 2

 

               ดาราสาวตรวจดูผิวหน้าและสีปากอีกครั้งให้แน่ใจก่อนลงจากรถ นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนที่เธอเพิ่งได้รับโอกาส สำหรับอาชีพดารานักแสดงโดยเฉพาะตัวท็อปของวงการ แค่ไม่มีงาน 6 เดือน อาจจะเป็นการได้พักผ่อนใช้ชีวิตสบาย ๆ ได้เที่ยวทริปยาว ๆ แต่สำหรับดาวรุ่งพุ่งแรงที่ตอนนี้พุ่งดิ่งลงเหว การไม่มีงานแสดงถึง 6 เดือน เรียกได้ว่าเตรียมตัวอดตายได้เลย

           หญิงสาวฉีดน้ำหอมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลงจากรถ เธอรีบตรวจสอบความยับเยินของชุด ปัดฝุ่นปลายกระโปรงสั้น แล้วดึงขึ้นอีกสักคืบเพื่อเพิ่มความเซ็กซี่ พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้งานในวันนี้

           เธอก้าวเดินผ่านบานประตูของบริษัทเข้ามายังห้องโถงภายใน ระหว่างทางไม่ว่าจะพนักงานตำแหน่งไหน เธอก็ยกมือไหว้สวัสดีแทบทุกคน ถึงแม้ว่าคนที่เธอเดินผ่านจะเป็นแค่แม่บ้านก็ตาม ดาราสาวถูกบอกทางให้เดินขึ้นชั้น 2 ซึ่งเป็นสถานที่นัดแนะคุยงานในวันนี้  คนบอกทางกำชับหนักแน่นว่าให้ตรงไปที่ห้องเจ้าของบริษัททันที เธอรีบทำตาม แต่เหมือนว่าทางที่กำลังไปไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะมีตัวขัดขวางเบอร์ใหญ่ชนิดที่แค่เดินข้ามไปก็คงไม่พ้น

             “ดาราตกอับอย่างแกถูกเรียกมาแคสต์ด้วยเหรอยะ” เสียงแสบหูดังมาจากด้านหลัง นิลประกาย จำได้โดยที่ไม่ต้องหันไปมอง มันคือเสียงของหญิงแพศยาที่แย่งทุกอย่างไปจากเธอ

               นิลประกายก้าวยาวและเร็วขึ้น ไม่หยุดเสวนา จุดหมายของเธอคือห้องเจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์

               “นี่ยายนิล ไม่ทักทายเพื่อนสนิทหน่อยเหรอ” สัมผัสที่ไหล่ขวาถูกดึงอย่างแรง และสัญชาตญาณนำหน้าสติไปแล้ว เธอสะบัดไหล่ให้พ้นจากการเกาะกุม พร้อมที่จะประจันหน้ากับคนหาเรื่อง

               “อัมภิกา หยุดการกระทำชั่ว ๆ ของเธอซะ ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ เธอได้พี่เทพไปแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก ?!” นิลประกายจ้องเขม็ง เธออยากจะตบอีกฝ่ายให้คว่ำถ้าไม่กลัวจะเป็นข่าว ความเจ็บแค้นที่อีกฝ่ายเคยทำไม่ได้มีแค่ลดค่าตัวเพื่อตัดหน้าจนเธอไม่มีงาน แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเคยแย่งคนรักของเธอไปอย่างหน้าด้าน ๆ และต่อให้วันนี้อีกฝ่ายก้มลงกราบเท้า เธอก็จะไม่มีวันยกโทษให้หญิงแพศยาคนนี้เป็นอันขาด

               “ก็งานนี้ยังไงล่ะ ได้ข่าวว่าเจ้าของบริษัทหล่อกว่าพี่เทพอีก ฉันอยากจะได้มาควงเล่นซะหน่อย” อัมภิกา เดินผ่านเธอด้วยสายตายิ้มเยาะ แต่สิ่งที่กวนใจนิลประกายคือแฟนเก่าของเธอที่ชื่อ แทนเทพ กำลังจะถูกสวมเขา คนรักของนิลประกายลาจากเธอไปอย่างไร้เยื่อใย แต่เธอก็เกลียดเขาไม่ลง วันที่เธอตกอับไม่มีงานทำในขณะที่ฝ่ายชายกลายเป็นพระเอกดาวรุ่งพุ่งแรง เขาก็ยังยอมอยู่ดูแลเธอ จนกระทั่งวันที่นิลประกายได้แนะนำให้เขารู้จักกับเพื่อนสนิทอย่างอัมภิกา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ชายคนรักเริ่มเย็นชาและพูดจาแข็งกระด้าง แอบหายไปตอนกลางคืนแล้วกลับมาตอนรุ่งเช้า ทิ้งให้เธอนอนหนาวกายหนาวใจตลอดทั้งคืน จนกระทั่งในที่สุดก็ทะเลาะกันตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ชายคนรักกล่าวบอกลาแล้วเดินออกจากห้องไปง่าย ๆ ทิ้งให้เธอร้องไห้อย่างเดียวดาย ตอนแรกเธอสะใจที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังจะถูกหักหลังบ้าง แต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจมันถึงดื้อดึง เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกรธ โกรธที่ผู้หญิงคนนี้ได้ตัวพระเอกที่หล่อที่สุดในวงการไปแต่ไม่ดูแลให้ดี

                แม้นิลประกายกับแทนเทพจะจบความสัมพันธ์กันได้ 1 ปีแล้ว แต่ความเป็นเพื่อนก็ยังหลงเหลืออยู่ การที่แฟนเก่าเลือกคนผิดนั่นทำให้เธอรู้สึกรังเกียจผู้หญิงคนนี้

               “เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป” นิลประกายคว้าแขนอีกฝ่ายแรงจนเหมือนกระชาก “พี่เทพเขาบอกว่ารักเธอมาก จนถึงขนาดยอมเลิกกับฉัน เธอคงไม่ได้กำลังจะหักหลังเขาเหมือนที่ทำกับฉันหรอกนะ”

               นิลประกายอยากจะตบปากตัวเองที่พูดออกไป ผู้ชายคนนี้ทอดทิ้งเธอแท้ ๆ แต่กลับเป็นห่วงเขา อันที่จริงทั้งวงการบันเทิงก็เมาท์กันทั่ว ว่าเพื่อนเธอคนนี้กว่าจะเป็นดาราดังได้ต้องทำเรื่องอย่างว่ากับผู้จัดละครจนในที่สุดก็ได้เป็นนางเอก มันเหมือนกรรมที่ทำให้ทั้งชายและหญิงแพศยาได้มาเจอกัน แต่สุดท้ายแล้วเธอก็อดห่วงแทนเทพไม่ได้

                 “รักเหรอ โอ๊ย อันที่จริงพี่เทพก็บอกรักฉันทุกวันนะ แต่มีแค่ความรัก ไม่มีเงิน แถมโง่ด้วย ฉันก็คงควงได้ไม่นานหรอก รอรับน้ำใต้ศอกคืนไปนะจ๊ะ ฉันกินจนอิ่มแล้ว” อัมภิกาพ่นสิ่งหยาบคายเสร็จก็เชิดใส่ทันที 

               สมองของนิลประกายนั้นอื้ออึง คำก็น้ำใต้ศอก มีแค่ความรักแต่ไม่มีเงิน และสุดท้ายคำว่าโง่ ที่เหมือนกระแทกใส่หัวใจเธอจนคุกรุ่นเป็นความโกรธ และฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลง ไม่คงไม่แคสต์งานมันแล้ววันนี้

               นิลประกายกระชากผมของอัมภิกาอย่างแรงจนอีกฝ่ายหงายหลัง ก่อนก้าวขึ้นคร่อมร่างแล้วตบจนอีกฝ่ายชะงัก

               “ให้เจ้าของบริษัทที่แกจะอ่อยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ก็แล้วกัน” นิลประกายจิกหัวอีกฝ่ายขึ้นมาดูสภาพหน้าแล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน

               คัต!

               “เยี่ยมมากครับ เยี่ยมทั้งคู่เลย!” เสียงเจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์ตัวจริง พร้อมเสียงปรบมือของพนักงานทุกคนที่กำลังชมการแคสติงอยู่ดังขึ้น

               “ดีจริง ๆ เหรอคะพี่” นิลประกายและอัมภิกาช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้น เบื้องหน้าการแสดงคือศัตรู แต่เบื้องหลังทั้งคู่คือเพื่อนสนิทที่กำลังตกอับไร้งานจ้าง และนี่เป็นงานแรกในรอบ 6 เดือนที่ได้รับการติดต่อมา

              เจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์บอกให้ทั้งสองคนเข้าไปรอในห้องก่อน ทั้งนิลประกายและอัมภิกาจึงมาจัดผมเผ้าที่รุงรังและเสื้อผ้าที่กำลังยับเยินจากการแสดงเมื่อครู่

               “ขอโทษนะแก ฉันเล่นแรงไป” นิลประกายเอ่ยปากขอโทษก่อน

               “ไม่เป็นไร๊ เล่นจริงอะดีแล้ว เราจะได้งานทั้งคู่ไง” อัมภิกาเอาแต่สนใจใบหน้าของตัวเองในกระจก เธอปัดแก้มให้เข้มขึ้น ทาลิปสติกย้ำ ๆ จนปากเป็นสีแดงจัด

              “ได้แน่ใช่ไหมแก ไม่ใช่ว่าเขาจะเลือกแค่คนเดียวนะ ถ้าเขาเลือกแกฉันก็คงแห้ว เก็บกระเป๋ากลับบ้านนอก” นิลประกายเริ่มกังวล เธอแคสต์งานเป็นครั้งที่ร้อยแล้วและทุกครั้งก็ผิดหวัง เงินที่มีอยู่ในบัญชีก็ต้องเจียดมาใช้อย่างประหยัด ยันให้พออยู่ในกรุงเทพฯ ได้อีกสักเดือน ถ้าเธอไม่ได้งานนี้คงต้องกลับไปหาอาชีพอื่นทำเพื่อประทังชีวิต

            “เขาเลือกคนเดียวอยู่แล้วแก ก็เขาได้นางเอกแล้วนี่ หนังที่ไหนจะมีนางร้ายสองคนมานั่งตบกันล่ะ บทเมื่อกี้ก็แค่วัดว่าใครจะร้ายกว่ากัน” อัมภิกายังเขียนคิ้วเพิ่ม พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยดูไม่กังวลอะไร ทั้งที่นิลประกายก็พอรู้ว่าฐานะทางการเงินของเพื่อนคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าเธอสักเท่าไร

              “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีใครสักคนอดน่ะสิ ถ้าฉันได้ฉันเลี้ยงแกเองนะอัม” เธอพูดจากใจจริง ตอนเธอเข้าวงการมาใหม่ ๆ เคยถูกพระเอกหลอกคบซ้อน ก็ได้อัมภิกานี่แหละที่ช่วยเตือนสติ แถมยังคอยตามสืบประวัติคอยเตือนเธอให้ระวังคนที่พยายามเข้าหา คนไหนไม่น่าไว้ใจ เพื่อนคนนี้จัดการด่าจนไม่กล้ายุ่ง และยังจะเรื่องหอพักที่อาศัยอยู่ด้วยกันอีก ตอนนี้เธอก็หารกันคนละครึ่งเพื่อความอยู่รอด

            “แกจะบ้าเหรออีนิล จะมาเลี้ยงฉันไปตลอดไม่ได้หรอก แค่ให้ฉันมาแชร์ค่าห้องอยู่ด้วยนี่ก็ขอบใจมากแล้ว” แม้ภายนอกอัมภิกาเหมือนจะเป็นผู้หญิงมั่นใจ แววตาแข็งกร้าวและมักจะไม่ยอมให้ใคร หากมีคนมากล่าวหาว่าเธอให้เสียหาย เธอจะสู้ยิบตาไม่ว่าจะรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนสนิทคนนี้ก็มีมุมน่ารักที่ใครก็ไม่คาดคิด อัมภิกาเป็นคนขี้เกรงใจมาก และมักจะจดจำคนที่มีบุญคุณเสมอ นั่นทำให้นิลประกายเลือกที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยทันทีที่เพื่อนรักโดนกระแสโจมตีจากแฟนคลับ เรื่องการใช้คำพูดรุนแรงและชักสีหน้าใส่นักข่าว อัมภิกาถูกแบนจนไม่มีงาน นิลประกายก็ยื่นมือเข้าไปช่วยทันทีแม้ว่าตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด งานที่มาแคสต์ในวันนี้นิลประกายก็ชวนอัมภิกามาแคสต์ด้วยเพื่อตอบแทนที่เคยช่วยเธอไว้ทุกครั้ง

               “แต่ถ้าแกได้...ฉันก็ยินดีด้วย” นิลประกายเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิท อีกฝ่ายสวยจัดจ้านในขณะที่หน้าตาของเธอดูหวานใสไม่เหมาะกับบทนางร้ายสักนิด มีหวังอัมภิกาต้องได้งานนี้ไปแน่ ถึงอย่างนั้นเธอก็เชื่อว่าถ้าเพื่อนคนนี้ได้ดีจะไม่ทิ้งเธอแน่

               “โอ๊ยอีนี่ เลิกเล่นเป็นนางเอกดึงดราม่าได้แล้วค่า” อัมภิกาทำเสียงรำคาญ หันมาทำตาขวางใส่แล้วหยิบตลับแป้งขึ้นมาปัดแก้มอีกรอบ ก่อนพูดขึ้นหลังจากแต่งหน้าเสร็จ “ฉันพอมีวิธีให้เราได้งานนี้ทั้งคู่ แต่แกอย่าไปบอกใครนะ”

             หลังจากคำพูดนั้น อัมภิกาก็ขยับตัวเข้าไปใกล้นิลประกาย ส่งเสียงเบาที่สุดเหมือนไม่อยากให้ใครได้ยิน เพื่อนรักเหลือบไปมองด้านบน นิลประกายเลื่อนสายตาตามขึ้นไป เธอได้เห็นว่ามีบางอย่างที่ไม่ใช่พระพุทธรูปอยู่บนหิ้ง เศียรที่อยู่ข้างบนเหมือนเศียรที่ใช้ในงานครอบครู ทว่าเธอกลับรู้สึกเหมือนเคยเห็นของแบบนี้ที่ไหนสักแห่ง แต่จิตใต้สำนึกกลับบอกว่าเคยเห็นสิ่งนี้เมื่อนานมาแล้ว นานมากจนนับไม่ได้

                “อีนิล ฟังฉันอยู่หรือเปล่า ?!” เสียงแหลมเล็กของอัมภิกาทำเธอสะดุ้ง นิลประกายรีบละสายตาจากเศียรบนหิ้งนั่น มาประจันหน้ากับสายตาที่จ้องเขม็ง “แกรู้สึกได้ใช่ไหม ?”

                “รู้สึกอะไร ?”

                “สัญญาก่อนว่าจะไม่บอกใคร ไม่งั้นฉันก็ไม่กล้าพูด” อัมภิกาดูมีลับลมคมใน เพื่อนคนนี้ไม่เคยมีความลับกับเธอแต่ท่าทีจริงจังนั้นทำให้เธอยิ่งอยากรู้

นิลประกายรีบตกปากรับคำทันที แค่สัญญาว่าไม่บอกใครแค่นี้เธอทำได้อยู่แล้ว ขอให้ได้มีเงินมีงานและมีชื่อเสียงอยู่ในวงการบันเทิงต่อ เธอก็พร้อมทำทุกอย่าง แม้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

                อัมภิกาชี้ไปที่หิ้งด้านบนสุด หิ้งที่มีเศียรฤๅษีตั้งอยู่

           “แกเห็นเศียรฤๅษีนั่นไหม คนในกองถ่ายที่ฉันเคยทำงานด้วยบอกมาว่าถ้าลองครอบเศียรนั่น จะขออะไรก็ได้” อัมภิกาทำตาเป็นประกายพร้อมฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี

                “จริงเหรอ!” นิลประกายตาลุกวาว เธอมีแสงสว่างนำทางชีวิตแล้วตอนนี้

                “แต่มันครอบได้ครั้งเดียวนะ อย่าครอบซ้ำ” อัมภิกาอธิบาย

                “ทำไมล่ะ ?” นิลประกายสงสัย เพราะเธอเองก็เคยครอบเศียรครูอยู่ทุกปี

                “มีคนบอกว่าถ้าครอบซ้ำจะเป็นบ้า แล้วก็อาจจะฆ่าตัวตาย” อัมภิกาพูดหน้าตาเฉย เธอไม่รู้สึกกลัว ในขณะที่นิลประกายขนลุกขนพอง

              “ทำไมล่ะ ?” นิลประกายเริ่มรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดจากด้านบนอีกครั้ง มันดึงรั้งเธอให้หันไปจ้องเศียรฤๅษีนั่น เบ้าตาที่เคยกลวงโบ๋เห็นเป็นหลุมสีดำกลับเปลี่ยนเป็นดวงตาสีแดงฉานที่มีนัยน์ตาดำ คล้ายกำลังกรอกไปมาเหมือนกับมีชีวิต

                หญิงสาวอยากกรีดร้องแต่ปากกลับไม่อาจเปิด เธอยืนแข็งทื่อ แต่เพียงชั่วครู่ก็ถูกปลุกด้วยเสียงแหลมเล็ก

               “ฉันไม่รู้!” เสียงอัมภิกาฉุดเธอออกจากห้วงความคิด แรงดึงดูดที่ส่งมาจากด้านบนนั้นหายเกลี้ยง หากเธอไม่ได้ตาฝาด เมื่อครู่เหมือนเห็นเศียรด้านบนมีแขนขางอก และกำลังฟ้อนรำกลางอากาศ

               “หูย ถ้าแบบนั้นฉันไม่เอาด้วยหรอก” ในที่สุดนิลประกายก็เอาชนะความรู้สึกอยากมองดวงตาบนเศียรนั่น แวบหนึ่งเธอเห็นหยดน้ำตาสีแดงไหลอาบลงมาจากดวงตาของเศียรปู่ฤๅษีแล้วก็หายลับไป

                  “ก็แล้วแต่นะ แต่ฉันจะครอบ ฉันอยากได้งานนี้” อัมภิกาลุกพรวด เธอเร่งเดินไปอยู่ใต้หิ้ง แล้วปีนเก้าอี้ขึ้นไปหยิบเศียรที่ตั้งอยู่ลงมาดื้อ ๆ

                 “เดี๋ยวก่อนอัม คิดให้ดีก่อน ของพวกนี้มีครู แล้วก็มีอาถรรพ์ที่เราไม่รู้ เกิดมันเข้าตัวแกอาจตายได้เลยนะ” นิลประกายพยายามห้ามเพื่อนสนิท

               แต่อัมภิกาไม่ฟัง เธอยกเศียรครอบลงศีรษะ และหันกลับมาตอบด้วยดวงตารื้น

               “จะอยู่หรือตาย ตอนนี้มันก็เหมือนกัน!”

 


แสดงความคิดเห็น
แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม


ความคิดเห็น