บทที่ 4
หอหนังผี ตอน 4
ทัศนัยรู้สึกว่าบนจอที่กำลังฉายไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพยนตร์ แต่เหมือนว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน ชายหนุ่มพยายามขยับตัว เขาอยากจะลุกไปจากตรงนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้ คล้ายมีแรงดึงดูดยึดเขาไว้กับที่ ขณะที่กำลังหาทางหนี เขากลับต้องหยุดเพื่อเงยหน้าขึ้นไปมองฉากน่าสยดสยอง
“กูไม่ใช่ลูกมึง!” เสียงของตัวละครที่ชื่อทัดดังก้องจนเขาแสบหู เหมือนกับเสียงลำโพงแตก ทัศนัยยกมือขึ้นปิดหูทันที แต่เหมือนว่ามันจะกันได้แค่เสียงสะท้อนเท่านั้น ไม่สามารถกันเสียงที่พยายามเล็ดลอดเข้ามาได้หมด เริ่มมีเสียงอู้อี้ฟังไม่เป็นภาษา ทั้งแทรกสอดและซอกซอนเข้ามาเหมือนพยายามจะดึงให้สติเขาหลุดออกไป ชายหนุ่มรู้สึกวิงเวียนจนอยากอาเจียน แต่แล้วอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายก็เริ่มจางหาย มันแทนที่ด้วยอีกเสียงที่แปลกประหลาดกว่า
เสียงกรีดร้องระงมของคนในบ้านแว่วดังจนคนนั่งข้างสะดุ้ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงมือนุ่มนิ่มของหญิงสาว ที่บีบรัดแขนเขาแน่น ยากจะขยับหนีได้ เดือนดารากำลังเกาะแขนเขาไว้ สายตาที่ส่งมาบอกถึงความห่วงใยแบบที่เขาไม่เคยได้พบได้เจอมาก่อน ทัศนัยรู้สึกแปลกที่อกข้างซ้าย มันพองโตและเริ่มเปลี่ยนเป็นเต้นรัวเร็วอย่างบ้าคลั่ง
ทัศนัยรู้สึกปวดมวนในท้อง ตามมาด้วยความรู้สึกเวียนหนักที่ย้อนกลับมา เหมือนมีภาพแล่นเข้ามาไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกจากความทรงจำบางอย่างกำลังทาบทับกับภาพปริศนาอันเลือนราง เขาทั้งสับสนและว้าวุ่นใจ
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงเสียงเรียกของคนทางด้านขวา พอได้สติก็เห็นใบหน้าของเดือนดารากำลังจ้องมาที่เขา ที่เห็นเด่นชัดบนใบหน้าของเธอคือคิ้วขมวดแน่นแทบจะชิดติดกัน และเสียงร้องเรียกเริ่มดังขึ้นจนแสบหู
ทัศนัยเข้าใจว่าเธอคงพยายามเขย่าปลุกเขาให้ตื่น มันแรงขึ้น แรงขึ้น จนเกินกว่าแรงของผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ จากที่รู้สึกดีเมื่อครู่ ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกรำคาญ เขาพยายามดึงมือเธอออก แต่อีกฝ่ายกลับยื้อยุดไว้ จนในที่สุดเขาเงยหน้าขึ้นจะตวาด แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็น...
ใบหน้ากลมโตสีดำทะมึน ดวงตาเบิกโพลง เห็นเพียงตาขาว รอยไหม้ค่อยลุกลามจากใต้คางจนถึงใบหู แสงสีแดงอมส้มจากเปลวเพลิงเริ่มลุกลามจนเนื้อมีรูรั่วให้น้ำเหลืองหยดย้อยร่วงเผาะลงที่แขนของทัศนัย เขาพยายามดีดดิ้นแต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะสู้ สุดท้ายแรงดูดมหาศาลก็ดึงเขาเข้าไปยังฉากสีดำสนิทไร้แสงสว่าง ความมืดมิดค่อยบีบรัด กัดกินทุกความรู้สึก เขาตัวสั่นระริก หวาดผวา กลัวเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนมาใกล้ บางอย่างสัมผัสที่แขนขวา ชายหนุ่มร้องลั่นดิ้นรนหาทางหนี
“คุณทัด คุณทัดคะ!” เสียงของผู้หญิง แรกเริ่มเดิมทีทัศนัยแค่คุ้นว่าเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน แต่พอลืมตาขึ้นก็เห็นหญิงวัยกลางคน ใบหน้าที่มองมาทาบทับกับใบหน้าของแม่บ้านในภาพยนตร์ที่ทัศนัยกำลังดูอยู่ในโรงเมื่อครู่
ภาพเบื้องหน้าคือผนังสีขาวสะอาด พอมองไปรอบ ๆ ก็มีอีกหลายห้องเรียงรายต่อกัน ทัศนัยมองดูหน้าห้องที่เขายืนอยู่มีป้ายชื่อเขียนที่หน้าประตูอ่านได้ว่า นายวิรัช วิรัชทัศนศิลป์ นั่นชื่อของพ่อเขาเอง เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนในชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดตาเพิ่งเดินผ่านเขาไป
“ที่นี่ที่ไหน ผมอยู่ที่ไหน ?” ที่จริงทัศนัยอยากถามว่า เขามาอยู่ในโรงพยาบาลได้อย่างไร เพราะเมื่อครู่กำลังนั่งดูภาพยนตร์อยู่ และฉากก่อนหน้าคือตัวละครที่ชื่อทัดกำลังบีบคอพ่อของตัวเอง แล้วภาพก็ตัดไปเป็นจอดำมืด ทัศนัยมองไปรอบ ๆ ในตอนแรกคิดว่าไฟฟ้าในโรงภาพยนตร์ดับ เขาพยายามตะโกนเรียกเดือนดารา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบกลับใด ๆ จนในที่สุดทัศนัยตัดสินใจลุกยืนขึ้น แล้วพอพยายามเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือได้สำเร็จ แสงไฟที่สว่างจ้าก็ทำให้เขาเห็นภาพบานประตูห้องพักผู้ป่วย ไม่เพียงเท่านั้น เขาไม่เห็นที่นั่งในโรงภาพยนตร์ ไม่เห็นจอฉาย แต่กลับเป็นป้าแม่บ้านที่ยืนตะโกนเรียก ทั้งยังจูงมือเขาเข้าไปในห้องอีก หรือว่าเขาถูกดึงให้เข้ามาอยู่หนังที่กำลังฉายอยู่
ไม่นะ! เขาต้องติดอยู่ในหนังแบบนี้น่ะเหรอ!
“คุณท่านฟื้นแล้วค่ะ ท่านอยากพบคุณหนู” ทัศนัยอยากจะหาทางออกจากที่นี่ แต่เท้าทั้งสองข้างไม่เป็นใจ มันเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมมันได้
ภาพเบื้องหน้าคือร่างของพ่อที่นอนให้น้ำเกลืออยู่ สีหน้าราบเรียบแต่ดวงตาเศร้า ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้กำลังจะไต่ถามด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายกลับไม่ต้องการ
“อย่าเอามือสกปรกของแกมาแตะตัวฉัน” พ่อพูดด้วยเสียงเรียบ นั่นทำให้ทัศนัยต้องรีบดึงมือตัวเองกลับ ระหว่างนั้นเกิดความเงียบที่ทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกกรีดแทงไปถึงเนื้อใน เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ทำไมเขาต้องรู้สึกเจ็บด้วยที่พ่อปฏิเสธการมาของเขา ทัศนัยรู้สึกสับสน ภาพยนตร์ที่พาคนย้อนอดีตไปเจอเรื่องราวในอดีตก็มีมาก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยดูภาพยนตร์แฟนตาซีพวกนี้ แต่นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ จนทำให้ตอนนี้มันมีแต่คำถามที่ผุดขึ้นเต็มไปหมด และที่เด่นชัดที่สุดคือตอนนี้เขาควรยืนอยู่ภายใต้บรรยากาศอึมครึมแบบนี้ หรือควรจะทำอะไรต่อ
“ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทำไมถึงทำกับพ่อแบบนั้น แต่ผม...ไม่ได้ตั้งใจ” ทัศนัยรู้สึกแปลกกับกลไกของร่างกายตัวเอง บางอย่างเขายังไม่ทันคิดแต่ก็พูดออกไป บางครั้งไม่ได้รู้สึกแต่เขากลับมีน้ำตาและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำ แต่นั่นไม่ใช่ตัวเขาเลย คล้ายกับว่าเขากำลังพูดตามหน้ากระดาษที่มีใครเขียนไว้
“ถ้าแกอยากไปเรียนต่อก็ไปซะ แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
“พ่อ!”
“ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก”
“คุณท่านคะ...”
“ฉันบอกให้ออกไปไง! ไป!”
ทัศนัยรีบออกจากห้องทันที ทั้งโมโหและเสียใจ พอเดินออกมาถึงหน้าห้องเขาก็เพิ่งนึกได้ว่านี่ไม่ใช่ความจริง เขาแค่ถูกดูดเข้ามาในฉากหนึ่งของหนังผีบ้า ๆ แต่มันเหมือนจริงมากเสียจนเขาแยกไม่ออก
ชายหนุ่มรีบสอดส่ายสายตามองหาทางออก เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่ากำลังฝัน หรือเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของผีห่าซาตานตนไหน เขาถึงมาติดอยู่ในนี้ได้ แต่ก็คงแค่ชั่วคราวเพราะเขาเชื่อว่ามันต้องมีทางออกจากที่นี่
ทัศนัยออกตัววิ่งไปที่ลิฟต์ตรงสุดทางเดิน แต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ขยับ เขายังคงยืนค้างอยู่หน้าประตู
“คุณท่านทำไมถึงไม่บอกคุณทัดเรื่องวิญญาณคุณต้นตระกูลล่ะคะ” เสียงของป้าแม่บ้านลอดออกมาจากบานประตูที่ปิดไม่สนิท
“ฉันไม่อยากให้เจ้าทัดรู้ว่าฉันฆ่าคนถึงสองคน เพื่อให้ได้หอหนังเก่านั่นมา ทัดคงไม่อยากกลับมาบริหารต่อ” เสียงของพ่อตอบกลับมา
“แต่คุณท่านก็รู้ว่ามีคนทำอาถรรพ์ใส่คุณหนู แบบนี้ยังจะให้คุณหนูไปอเมริกาอีกเหรอคะ” ป้าแม่บ้านรู้อะไรงั้นหรือ ชายหนุ่มสะกิดใจตรงคำว่ามีคนทำอาถรรพ์ใส่ตัวเขา มันคืออะไรแล้วใครทำ
“ให้เจ้าทัดไปอยู่ไกล ๆ ล่ะดีแล้ว ฉันจะได้ตกลงกับเจ้าพอร์ชได้”
เขาจำชื่อพอร์ชได้มันคือตัวละครที่วางแผนทำร้ายคนชื่อทัด ใบหน้าของคนที่แสดงเป็นทัดก็ไม่เหมือนทัศนัยเลยสักนิด แต่มันกลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนกับว่ากลายเป็นคนเดียวกัน ชายหนุ่มรีบไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เขาพยายามเตือนสติตัวเอง แค่ชื่อคล้าย...ไม่ใช่คนเดียวกันสักหน่อย
“คุณพอร์ชรู้เรื่องแล้วหรือคะ ตายจริง! แล้วรู้ไหมคะว่าเขาเป็น...” แม่บ้านหยุดคำไว้เพียงแค่นั้น ทัศนัยจับใจความไม่ได้ จึงต้องลอบมองผ่านช่องประตู และเห็นพ่อกำลังพยักหน้ารับ
“เจ้าพอร์ชมันรู้แล้วว่าเป็นลูกชายของฉันอีกคน ลูก...ที่เกิดจากเมียเก็บของฉัน มันคงโกรธและเกลียดที่ฉันไม่เคยไปดูดำดูดีแม่ของมันเลย แม้กระทั่งใกล้วาระสุดท้าย”
ทัศนัยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้จักคนชื่อพอร์ช ไม่รู้จักคนชื่อเมฆ สองคนนี้ปรากฏตัวแค่เฉพาะในภาพยนตร์ที่เขากำลังนั่งดูอยู่เท่านั้น
จริงสิ...นี่เขากำลังหลุดเข้ามาอยู่ในเนื้อเรื่อง ต้องหาทางออก ต้องหลุดออกไปจากที่นี่ให้ได้!
แต่คราวนี้พันธนาการกลับถูกปลดปล่อย เขาวิ่งได้และมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ ทันทีที่ลิฟต์เปิดและเดินเข้าไป ก็เหมือนมีแรงดูดมหาศาลกระชากร่างชายหนุ่มเต็มแรง
ทัศนัยล้มลงบนพื้นหญ้าสีเขียวสด พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น ขนาดประมาณ 50 ตารางวา ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล คล้ายกับว่าหลุดมาอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรที่ไหนสักแห่ง
ภาพเบื้องหน้าคือผู้ชายกำลังพยุงหญิงคนหนึ่งนั่งลงบนโซฟา ผู้หญิงคนนั้นดูแก่ชราและผอมแห้งเหมือนหนังหุ้มกระดูก ที่ศีรษะมีหมวกไหมพรมคลุมอยู่ ส่วนชายคนนั้นดูอายุอ่อนกว่า และที่สำคัญเขาจำได้ในทันทีว่าเป็นใคร เสียงของคนคนนั้นพูดอะไรบางอย่าง แต่ทัศนัยได้ยินเพียงคำเรียกว่า ‘แม่’ ปะปนอยู่ ทันทีที่ทั้งสองสัมผัสได้ถึงการมาของเขา ผู้ชายที่อยู่ในบ้านก็หันมาสบตากับทัศนัยเข้าพอดี อีกฝ่ายลุกพรวดเปิดประตูบ้านออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“นี่มึงยังไม่ตายห่าอีกเหรอวะไอ้ทัด” พอร์ชพุ่งพรวดมากระชากคอเสื้อเขาให้ลุกขึ้น
ทัศนัยพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก แต่ดูท่าว่าพอร์ชจะแรงเยอะกว่า
“มึงมาหากูที่นี่ พ่อของมึงคงบอกแล้วล่ะสิ” แววตาของพอร์ชตอนนี้ช่างต่างจากตอนที่เขาเห็นตอนเป็นผู้ชม แววตาขวางถลึงจนแทบจะถลนจากเบ้า พอร์ชกำลังโกรธจัด
“เดี๋ยว ๆ นี่นายคือพอร์ชใช่ไหม” ทัศนัยกำลังจะอธิบาย แต่อีกฝ่ายไม่ฟัง เขาถูกโยนลงพื้นอีกครั้ง และคราวนี้เป็นพอร์ชที่วิ่งเข้าไปในบ้าน เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็ออกมาพร้อมอาวุธสีดำขลับในมือ มันไม่ใช่อาวุธปืนอย่างที่เขาจินตนาการไว้ แต่มันกลับเป็นกล่องสีดำที่ฝาเปิดอยู่ อีกฝ่ายใช้นิ้วมือกวาดผงอะไรบางอย่างจากในกล่อง ก่อนจะพุ่งตรงมาบีบแก้มของเขาเพื่อบังคับให้อ้าปาก
“ใช่ และกูก็คือคนที่จะส่งมึงลงนรกยังไงล่ะ!”