บทที่ 23
หนังของผีที่คนกำกับ ตอนที่ 5
สภาพห้องสอบสวนในเซฟเฮาส์ลับ ตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้เปลี่ยนเพียงแค่ภาพ แต่บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ อุณหภูมิลดฮวบจนเดือนดาราต้องเอามือกอดอกเพราะหนาวสั่น ที่เด่นชัดไม่ใช่แค่ฉากป่าช้าดำมืด แต่กลับเห็นดวงตาเป็นสีแดงฉาน และร่างที่ผิวเป็นเถ้าถ่านกำลังบีบคอฆาตกร
ร่างทัศนัยเหมือนถูกตรึงอยู่ตรงหน้า สองมือของเขาพยายามดึงซากเศษมือไหม้กรังที่กำลังบีบคอ ทัศนัยพยายามโหยหาอากาศหายใจ เขาดีดดิ้นในขณะที่ร่างกายกำลังลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปลายเท้าที่ลอยอยู่เหนือพื้นเหยียดเกร็งจนเริ่มไม่ขยับ
“หยุดนะ พอได้แล้ว เขารับสารภาพแล้ว” เดือนดาราพยายามตะโกน แต่เหมือนว่าเสียงของเธอจะกลายเป็นเพียงความเงียบ หญิงสาวเคยคิดอยากจะฆ่าผู้ชายคนนี้ด้วยมือของเธอ ทว่าหากลงมือเธอก็จะกลายเป็นฆาตกร เธอถึงเข้าใจว่าคนร้ายที่ถูกฆ่าตายตามเหยื่อจะไม่ทรมานเท่ากับการที่ถูกคุมขังจำกัดอิสรภาพ เพราะอย่างน้อยเขายังมีชีวิตเอาไว้ให้ได้เห็นว่าตัวเองทำผิด ไม่ได้ตายตามไปโดยไม่ได้ใช้สมองรำลึกถึงความชั่วของตัวเอง
เสียงตะโกนของเดือนดาราไม่ได้ช่วยให้ร่างไหม้เกรียมนั้นยอมปล่อยทัศนัย แต่กลับมีร่างดำไหม้เกรียมเพิ่มขึ้นจนทำให้เธอหวาดกลัว มันเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนนับไม่ถ้วน
หญิงสาวพยายามเข้าไปช่วยคนที่กำลังถูกเงาดำทะมึนยกให้ตัวลอยสูงขึ้น หากแต่เธอกลับถูกผลักออกมา แม้จะพยายามไขว่คว้าหาหนทางเพียงใดแต่ก็ไร้ประโยชน์ เธอพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายเพื่อเตือนสติดวงวิญญาณเหล่านั้นที่เธอสร้างขึ้นมา
“ก็เราตกลงกันแล้วไงว่าเสร็จโปรเจกต์นี้ฉันจะทำบุญไปให้ ไม่เข้าใจหรือไง” เดือนดาราพยายามตะโกนอีกครั้ง แล้วครั้งนี้เธอก็ทำสำเร็จ เสียงเธอดังกังวานจนดวงตาแดงฉานนับร้อยคู่หันมาจ้องเธอเป็นสายตาเดียว
ดวงวิญญาณที่กำลังเพิ่มจำนวนเคลื่อนตัวมาทางเธอ ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอก้าวถอยหลังติดกำแพง ได้แต่โทษตัวเองในสิ่งที่ทำลงไป ทำในสิ่งที่ไม่ปรึกษาผู้บังคับบัญชาให้ดีก่อน เธอไม่น่าเลยไม่น่าทำให้โปรเจกต์นี้ต้องแปดเปื้อน พอนึกถึงมันทีไรก็เพิ่งรู้ตัวว่าทำเกินไปจริง ๆ
1 เดือนก่อน
เพราะทัศนัยไม่ยอมปริปาก ทำให้เดือนดาราไม่สามารถหาเบาะแสและหยุดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องได้ ตำรวจสาวทั้งโกรธและเคืองแค้นที่ฆาตกรหนุ่มทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทัศนัยไม่แสดงแม้กระทั่งอาการสำนึกผิด เขาดูหมิ่นกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ ดูหมิ่นชีวิตอันมีค่าของเหยื่อที่ตายไป เมื่อจนแต้มเธอจึงเข้าไปเสนอต่อผู้บังคับบัญชา ขอเดินเรื่องงานวิจัยที่ทางตำรวจพับเก็บไปแล้ว โปรเจกต์ VR ที่สร้างภาพเสมือนทันทีที่นักโทษได้ใส่แว่น VR เข้าไปจึงเริ่มถูกนำมาใช้
“มันจะได้ผลจริงใช่ไหม” ผู้บังคับบัญชาของเดือนดาราดูมีสีหน้ากังวล และทิ้งท้ายคำพูดที่บีบหัวใจเธอ “ทดลองใช้แค่กับนายทัศนัยเท่านั้น และคุณต้องปิดปากให้สนิท ทุกอย่างต้องเป็นความลับ”
เมื่อได้รับการอนุญาตแบบลับ ๆ เธอก็ลงมือทันที แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่าทัศนัยกลับรู้สึกสนุก เหมือนกำลังเล่นเกม เขาหัวเราะให้กับภาพการตายของเหยื่อที่เขาเพิ่งลงมือฆ่าอีกครั้งในระบบ VR
“สนุกเป็นบ้าเลยว่ะ อย่างกับกูได้เล่นเกมฆ่าคน ฮะ ฮะ ฮ่า” ทัศนัยจงใจยั่วยุเธอ เดือนดาราได้แต่กำหมัด ถึงเจ้าหน้าที่ผู้ออกแบบภาพในระบบ VR จะเลี่ยงไม่ให้มีฉากการตายของน้องสาวของเธอ แต่ทัศนัยก็ยังกล้าพูดแบบไม่รู้สึกสักนิด
ตำรวจสาวรู้สึกโกรธที่ฆาตกรยังลอยนวล ในขณะที่เหยื่อซึ่งถูกทัศนัยทำร้ายเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวาน และผู้หญิงคนนั้นคือน้องสาวของเธอเอง
ดาวประดับที่เพิ่งจะจบ ม.6 ถูกข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งไว้ข้างป่ารกชัฏหลังมหาวิทยาลัยที่เธอเพิ่งไปรายงานตัว เดือนดารานัดกับน้องสาวไว้ในตอนค่ำ ว่าจะกินข้าวด้วยกัน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่น้องสาวเข้ากรุงเทพฯ ดาวประดับเป็นน้องสาวต่างแม่แต่ทั้งสองคนก็รักกันดี พ่อของทั้งคู่เป็นผู้ชายอาภัพที่ไม่ว่าจะแต่งงานกี่ครั้งภรรยาก็ต้องมาตายเพราะประสบอุบัติเหตุ โชคยังดีที่ยังมีลูกสาวไว้เป็นตัวแทนคอยมอบความรักให้ แต่แก้วตาดวงใจดวงที่สองกลับถูกบดขยี้เพราะเหตุผลโง่ ๆ ของฆาตกร
“ลัทธิพิพากษาไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ แล้วน้องสาวของฉันทำอะไรให้พวกแก ถึงได้ลงโทษเธอแบบนี้” เดือนดาราคุมสติไม่อยู่ทันทีที่ตำรวจรวบตัวฆาตกรได้ หากไม่มีตำรวจฝีมือดีแถวนั้นขวางไว้เธอคงพลั้งมือฆ่าคนร้ายตายไปแล้ว
ที่จริงทัศนัยไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่จมอยู่กับความเงียบ แต่แล้วกลับหัวเราะดังลั่นเหมือนคนเสียสติ
“ฮะ ฮะ ฮ่า รู้ได้ยังไงว่าน้องสาวเธอบริสุทธิ์” ทัศนัยพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้างและแววตาเย้ยหยัน
“แกว่าไงนะ ?! พูดใหม่อีกทีซิ!” เธอตั้งใจยกเท้าขึ้นหมายจะถีบคนร้ายให้ล้มคว่ำ แต่ถูกดึงไว้ก่อน
“ผู้หญิงที่ยอมเป็นเด็กเสี่ยแลกกับการได้ของแพง ๆ น่ะเหรอที่เรียกว่าบริสุทธิ์ ถุย!” ทัศนัยหยาบคายได้แค่นั้นจริง ๆ เพราะหลังจากนั้นทันทีที่หลุดจากวงแขนบึกบึนได้เดือนดาราก็กระโจนใส่ กว่าจะแยกทั้งคู่ออกจากกันได้ก็ทำเอาตำรวจทั้งโรงพักเหนื่อยหอบ ความแค้นนี้ทำให้ตำรวจสาวทำเกินหน้าที่และเลือกที่จะทรมานฆาตกรอย่างช้า ๆ
ในการทำโปรเจกต์ VR เพื่อโน้มน้าวให้ฆาตกรยอมรับสารภาพ เธอมักจะวางที่เขี่ยบุหรี่ไว้ในห้อง เพราะก่อนการเริ่มโปรเจกต์ทัศนัยจะขอสูบบุหรี่ก่อนหนึ่งมวน
บุหรี่ซึ่งผสมขี้เถ้าของคนตายและชิ้นเนื้อของเหยื่อที่ตายไปแล้ว!
เดือนดาราเลือกหาห้องเงียบ ๆ ในเซฟเฮาส์ลับของผู้บังคับบัญชา เธออาศัยจังหวะที่มีคนเข้าออกน้อย ๆ นั่นคือเวลาเที่ยงคืน ทันทีที่แน่ใจว่าไม่มีใครเดินผ่านไปมาหน้าห้อง พิธีกรรมที่เสมือนการปลุกเสกก็เริ่มขึ้น ตำรวจสาวไม่รู้ว่าต้องทำพิธีอย่างไร หากไปปรึกษาเจ้านายหรือนายตำรวจท่านอื่นก็คงจะถูกสั่งห้าม เธอจึงตัดสินใจปลุกเสกบุหรี่ซองนี้มั่ว ๆ เท่าที่เธอจะทำได้ เดือนดาราวางซองบุหรี่ลงบนพาน ข้างในมีบุหรี่ผสมขี้เถ้าคนตายอยู่ 10 มวน เธอหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวลเพื่อใช้ทำพิธี จากนั้นวางกระถางธูปไว้เบื้องหน้าพาน เมื่อจุดบุหรี่ผีแล้วเธอจึงวางหงายขึ้นให้ควันลอยไปทั่วห้อง
“ถ้าไม่อยากให้มีรายต่อไป พวกเธอต้องช่วยฉันบีบให้มันรับสารภาพนะ” เดือนดาราพยายามสื่อสารกับวิญญาณเหล่านั้น ควันจากบุหรี่ที่จุดลอยคลุ้งส่งกลิ่นเหม็นสาบจนหญิงสาวอยากจะอาเจียน เธอไม่ถูกกับกลิ่นควันบุหรี่อยู่แล้วแต่ก็ยังทนอยู่ในห้องนั้น พยายามจุดธูปและอธิษฐานกับดวงวิญญาณที่อาจจะสิงสู่อยู่ที่ไหนสักแห่ง เธอเชื่อว่ามันจะต้องได้ผล เดือนดาราปักธูปลงในกระถาง เปิดหน้าต่างแล้วเดินออกมา รอจนกว่าควันบุหรี่จะหมด เธอทึกทักเอาเองว่าเป็นอันเสร็จพิธี แต่จะว่าเธอทึกทักเอาเองก็ไม่ถูก เพราะทันทีที่เธอเดินเข้าไปเพื่อหยิบซองบุหรี่เตรียมนำไปใช้ ก็เกิดลมพัดแรงวูบหนึ่งผ่านหน้าเธอไป สิ่งที่เธอคิดได้มีเพียงอย่างเดียว มันเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าวิญญาณคนตายนั้นรับรู้และพร้อมจะช่วยเหลือเธอ
แล้วผลของมันก็เกินคาด ทัศนัยเริ่มไม่เป็นตัวเองและเริ่มเสียสติ เริ่มถามว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน เดือนดารายังคงสองจิตสองใจว่าควรจะเชื่อว่าเขาสติเลอะเลือนหรือทำเป็นเสแสร้งกันแน่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดถ้าทัศนัยคิดจะแกล้งเป็นคนความจำเสื่อมเธอก็พร้อมที่จะเล่นด้วย ตำรวจสาวยังคงกักตัวทัศนัยไว้เพื่อทำการทดลองต่อ แต่ผลมันกลับเกินความพอดีเมื่อเธอใช้ขี้เถ้าของคนตายที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ และดวงวิญญาณที่เธอเชิญมาต้องการมากกว่าคำรับสารภาพ
“ฉันจะทำบุญไปให้นะ ช่วยฉันทีเถอะ”
“กูไม่เอาบุญ กูจะเอามันไปอยู่ด้วย!”
นั่นคือเสียงที่แทรกเข้ามาในห้วงความคิด เดือนดาราสะดุ้งตื่นขึ้นก็เห็นทัศนัยกำลังใช้มือบีบคอตัวเอง หญิงสาวขนลุกทั่วทั้งสรรพางค์ เธอพยายามเข้าหาร่างที่ลอยสูงเหนือหัวหมายจะคว้าข้อเท้าของชายหนุ่มเพื่อดึงรั้งไว้ แต่กลับถูกดวงวิญญาณตรงหน้าขัดขวางและผลักเธอจนล้มลง
“อย่าฆ่ามัน ปล่อยให้มันทรมานจนตายเถอะ!” เธอขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ใช่เพื่อร้องขอชีวิตให้ฆาตกรคนนี้ แต่ทำเพื่อน้องสาว ความเจ็บปวดที่ทัศนัยกำลังได้รับยังไม่เทียบเท่ากับที่น้องสาวและเธอได้รับ และความตายไม่ใช่ทางออก ถ้าตายแล้วทุกอย่างจบไม่ต้องพบเจอกับความเจ็บปวดอีกเธอคงเลือกหั่นฆาตกรตรงหน้าให้เป็นเศษเนื้อ แต่เพราะเธอรู้ดีว่าความเจ็บปวดเพียงสิ้นชีพไม่ได้ทำให้มันรู้สึกถึงความผิดบาป การจองจำในคุกเท่านั้นที่จะทำให้ฆาตกรกระหายเลือดคนนี้ได้รู้จักถึงความทรมานที่ไม่ได้ฆ่าคน ความทรมานที่ไร้ซึ่งอิสรภาพ ความเจ็บปวดทรมานที่จะฝังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนกว่ามันจะหมดลมหายใจไปพร้อมกับภาพซี่กรงขังที่จะไม่มีวันได้เปิดออก เหมือนกับที่ภาพศพของน้องสาวเธอยังไม่เคยลบเลือนออกจากสมอง
“มีบางสิ่งที่ทำให้มันทรมานมากกว่าที่เธอพูด” เสียงของดวงวิญญาณที่แทรกเข้ามานั้น เธอยังรับรู้ได้ถึงความโกรธแค้นอาฆาต
“อะไร คุณหมายถึงอะไร ?”
“รับรองว่าเธอต้องไม่อยากดู”
อ้ากกกกก!
เสียงกรีดร้องของฆาตกรที่ผ่านม่านมนตร์อนธการ เสียงสวดบริกรรมคล้ายพวกหมอผีกำลังสร้างมวลอากาศที่ตรึงแน่น หญิงสาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวในขณะที่ร่างของฆาตกรเลือนหายไปจากสายตา จากแสงสีขาวจุดเล็ก ๆ ขยายใหญ่ทั่วทั้งจักษุ และหลังจากนั้นสิ่งที่ดวงวิญญาณได้เอื้อนเอ่ยก็ทำให้ความต้องการของเธอสมปรารถนา