บทที่ 18
บ้านลืมตาย ตอบจบ
ทัศนัย วิรัชทัศนศิลป์ ฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดในปี พ.ศ.2570 ชายผู้ใช้ภาพยนตร์ฆ่าคน
จากประวัติที่ร้อยตำรวจตรีเดือนดาราสืบค้นได้ ทัศนัยเป็นโรคต่อต้านสังคมตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน ในตอนแรกพ่อและแม่ของเขาเข้าใจว่าเพราะกดดันลูกเรื่องการเรียนมากเกินไป จึงทำให้เด็กหนุ่มจุดไฟเผาเพื่อนทั้งเป็นโดยไม่แสดงอาการเสียใจเลยแม้แต่น้อย พวกผู้ใหญ่หารู้ไม่ว่านั่นไม่ใช่แค่โรคต่อต้านสังคม แต่ทัศนัยมียีนของฆาตกร
ไซโคพาธ (Psychopaths) คือบุคคลที่มีลักษณะนิสัยส่วนตัวแบบต่อต้านสังคม ไร้ซึ่งความรู้สึกเห็นใจ และที่สำคัญเขาคิดว่าการฆ่าและทำร้ายสิ่งมีชีวิตเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
หลังจากที่ทัศนัยจุดไฟเผาต้องตระการในโรงภาพยนตร์ ที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของนายวิรัชได้ไม่ถึงเดือน หลักฐานทุกอย่างถูกเก็บกวาดเรียบ สร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะจดหมายลาตายที่เขียนด้วยลายมือของต้องตระการซึ่งวางอยู่ในห้องนอน แต่ต้นตระกูลไม่เชื่อว่าลูกชายของตัวเองจะฆ่าตัวตายจริง ๆ ช่องโหว่ในคดีนี้คือภาพยนตร์ที่ฉายรอบเที่ยงคืน ปกติภาพยนตร์รอบนี้จะมีโปรแกรมเข้าฉายบ้าง แต่เพราะอาทิตย์นั้นโปรแกรมฉายว่าง หอภาพยนตร์จึงถูกปิดตั้งแต่ห้าทุ่ม ทัศนัยนัดต้องตระการมาดูภาพยนตร์ด้วยกันเพียงสองคน จากนั้นก็จุดไฟเผาร่างต้องตระการในโรงภาพยนตร์ที่ไร้ผู้คน หลักฐานเดียวคือภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งถูกทำลายทิ้งโดยฝีมือของนายวิรัชผู้เป็นพ่อ
ต้นตระกูลพยายามจะรื้อคดีแต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้างได้ว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย คดีจึงเลือนหายไปอย่างเงียบเชียบ
วิรัชตั้งใจจะส่งทัศนัยไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกา จัดการเรื่องเอกสารทุกอย่างให้ และฝากให้พักอยู่กับญาติที่นั่น
เมื่อทัศนัยเดินทางไปถึงกลับบอกกับญาติว่าจะไปอาศัยอยู่กับผู้กำกับภาพยนตร์ ญาติจึงรีบติดต่อนายวิรัชเพราะกลัวทัศนัยหนีหายไปจนไม่สามารถติดต่อได้ แต่เพื่อให้ทัศนัยได้พักรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาและเรียนในสายภาพยนตร์ที่เขาชอบ พ่อและแม่ของเขาจึงยอมตามใจแต่โดยดี
แต่ทัศนัยไม่ได้เป็นแค่โรคไซโคพาธ เขายังชอบสร้างเรื่องราวจินตนาการว่าพ่อแม่ไม่รัก ชอบบังคับ และตั้งเงื่อนไขแบบตัวละครเด็กมีปัญหา
การอยู่คนเดียว นั่งดูภาพยนตร์แนวฆาตกรรมไปเรื่อย ทำให้ทัศนัยถูกกระตุ้นจากความทรงจำในอดีต เขาเริ่มรู้สึกอยากให้ก้อนเนื้อหนังมนุษย์แตกระแหงและมีเลือดสีแดงสดไหลออกมา แต่การกลับมาเมืองไทยคราวนี้ไม่ใช่แค่การฆ่า เขาวางแผนให้มันสนุกขึ้นด้วยการเปิดบริษัทสร้างภาพยนตร์ และการวางแผนฆาตกรรมก็เริ่มขึ้นอย่างแยบยล
10 ปีหลังจากย้ายไปอยู่อเมริกา อาการของทัศนัยดีขึ้นและพูดได้อย่างเป็นปกติ นายวิรัชจึงวางใจให้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทย แต่โชคร้ายที่ผู้เป็นพ่อประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ในขณะที่แม่เลี้ยงของเขา คุณแพรวธิดาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จากการตามสืบ เดือนดาราคาดเดาว่าทัศนัยน่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของแพรวธิดา ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการติดต่อกับทัศนัยและหายตัวไปในวันที่ชายหนุ่มกลับมาจากสหรัฐอเมริกา มีคนเห็นว่าเธอไปยังบ้านร้างท้ายซอยแล้วก็ไม่กลับออกมาอีกเลย แม้เวลาจะคาบเกี่ยวกับวันที่ทัศนัยเดินทางกลับ แต่มีเบาะแสที่พอเป็นไปได้ในทางก่อคดี นั่นก็คือทัศนัยมีการติดต่อกับลูกน้องในเมืองไทยก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะเดินทางกลับ คดีนี้ยังอยู่ในชั้นของการสืบสวน เนื่องจากไม่มีพยานและหลักฐานชี้ชัดถึงผู้กระทำความผิด
จากเบาะแสที่ทางตำรวจสืบค้นได้ บ้านท้ายซอย สถานที่อาถรรพ์นี้มีอยู่จริง มันตั้งอยู่อีกซอยหนึ่งถัดจากซอยบ้านของทัศนัย ชาวบ้านพูดกันปากต่อปากว่าอาถรรพ์ของภรรยาที่ถูกสามีนอกใจนั้น แท้จริงแล้วก็คือคุณแพรวธิดาที่ลักลอบคบชู้กับนายแบบหนุ่ม แต่จับได้ว่านายแบบคนนั้นซ่อนชู้รักเพศเดียวกันไว้อีกคน คนรับใช้ในบ้านวิรัชทัศนศิลป์พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณแพรวธิดาเคยพาเพื่อนชายมาที่นี้หลังจากเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปได้เพียงวันเดียว ทุกครั้งที่แพรวธิดาพาเพื่อนสนิทขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ทุกคนจะถูกสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นไปชั้นบนเด็ดขาด
แต่หนึ่งวันก่อนการเผาศพของสามีคือวันที่ลูกเลี้ยงกลับมาจากสหรัฐอเมริกาพอดี ตำรวจไม่พบศพคุณแพรวธิดาในบ้านของทัศนัยและไม่พบในบ้านร้างท้ายซอย ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการลักพาตัว
แต่พอมาตรวจสอบที่บ้านท้ายซอยกลับพบรอยเลือดบนผนังเขียนรายชื่อและข้อความประหลาดมากมายคล้ายกับว่ามันคือคาถาสำหรับสาปแช่ง ที่สำคัญรอยเลือดพวกนั้นมี DNA ตรงกับของแพรวธิดา ตำรวจยังไม่สามารถสรุปอะไรได้เพราะยังไม่พบศพคุณแพรวธิดา ไม่พบศพเพื่อนชายคนสนิทตามที่คนในบ้านวิรัชทัศนศิลป์เอ่ยถึง คดีจึงยังไม่ถูกปิดลงจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ยังมีคดีการหายตัวไปของพอร์ชพี่ชายต่างมารดาของทัศนัย และเมฆเพื่อนคนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ทั้งสองคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งอาทิตย์มีการเคลื่อนไหวทางบัญชีของทัศนัยว่าโอนเงินให้แก่ผู้สูญหายทั้งสองคน ไม่เพียงแค่นั้น แม่ของพอร์ชที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายก็หายตัวไปด้วย ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสามคนเป็น ตาย หรือเข้าพักรักษาตัวที่ไหนเลย คล้ายกับว่าทั้งสามคนถูกทำให้สลายหายไปในอากาศ
คดีฆาตกรรมที่คาดว่าทัศนัยน่าจะเป็นตัวการก่อคดียังไม่หมดเพียงแค่นั้น นิลประกายและอัมภิกาสองดาราสาวที่เคยดังเป็นพลุแตก มีละครที่ดังไกลไปถึงสหรัฐอเมริกา เดือนดาราเชื่อว่านั่นเป็นภาพของนักแสดงที่ทำให้ทัศนัยคิดอยากลงมือกับผิวขาวเนียนละเอียดของหญิงสาวทั้งสอง เมื่อสังเกตจากรูปพรรณของแพรวธิดาซึ่งเป็นผู้หญิงที่ผิวขาวเนียนละเอียด รูปร่างและหน้าตาดีเหมือนพวกดารานักแสดง นั่นอาจเป็นเหตุผลที่คนร้ายเลือกเหยื่อที่คล้ายกันเพื่อลงมือ นิลประกายกับอัมภิกาคือเหยื่อที่ถูกเลือกเพื่อระบายความต้องการฆ่าคนแบบอาชญากรโรคจิต
สมมติฐานของเดือนดาราเกี่ยวกับคดีนี้ก็คือ ทัศนัยใส่ยาหลอนประสาทลงในเครื่องดื่ม เขาเปลี่ยนบทให้ทั้งนิลประกายและอัมภิกากลายเป็นนางรำ แล้วให้คนที่เมายาตามไล่ฆ่าอีกคน ในขณะที่ตัวเองยืนดูอย่างลุ้นระทึกและชอบใจ
ก่อนถูกทางตำรวจจับกุมตัว ทัศนัยทำการสังหารหมู่ทีมถ่ายทำภาพยนตร์ของตัวเอง เขาสั่งกลไกมากมายจากต่างประเทศเพื่อทำให้แผนทั้งหมดดำเนินไปอย่างที่ต้องการ เชือกสลิงที่ใช้ถ่ายทำฉากผูกคอของป้าเรี่ยมขาด ราวบันไดอันเปราะบางที่ทำให้บุหงาตกลงมาตาย และตะปูที่ถูกตอกไว้บนปลายไม้หน้าสาม ส่วนที่เหลือก็แค่ใช้ยากระตุ้นหัวใจเกินขนาดใส่ลงในอาหารของกองถ่าย จนทีมงานค่อย ๆ หัวใจวายตายกันไปทีละคน บ้านท้ายซอยกลายเป็นสุสานที่เดิมกับที่เขาเคยสังหารแม่เลี้ยงของตัวเอง
แต่ในทุกคดีที่ผ่านมานั้นไร้เบาะแสสาวถึงตัวทัศนัย เดือนดาราเกือบจะต้องปล่อยฆาตกรให้ลอยนวลไปเสียแล้ว ถ้าเธอไม่ได้หลักฐานสำคัญ!
เดือนดาราเป็นคนจับกุมทัศนัยในบ้านพักพร้อมยาดมที่ถูกดัดแปลงให้ด้านหนึ่งบรรจุเลือดของเหยื่อเอาไว้ คาดว่าทัศนัยอาจจะชอบดมกลิ่นเลือดของคนที่เขาลงมือฆ่า และ DNA ในเลือดดันไปตรงกับ DNA ของเลขาฯ ของทัศนัยที่ชื่อเอก
หลักฐานทุกอย่างพร้อมที่จะจับทัศนัยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากแต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอต้องเค้นออกมาจากปากฆาตกรให้ได้ มันคือกลุ่มคนเบื้องหลังที่คอยช่วยเหลือเขาให้ก่อคดีฆาตกรรม กลุ่มคนที่คาดว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อลงโทษคนบริสุทธิ์ตามใจชอบ
ลัทธิพิพากษา!
คือชื่อที่ทัศนัยพูดก่อนจะสูญเสียความทรงจำ กลุ่มคนที่มีสมาชิกเป็นฆาตกรคอยพิพากษาเหยื่อที่คนในกลุ่มตัดสินว่ามีความผิดอย่างไร้เหตุผล ทัศนัยถูกจับกุมก็จริงแต่ก็ยังเกิดคดีฆ่าคนตายไม่เว้นในแต่ละวัน ทางเดียวที่จะหยุดอาชญากรรมรายวันได้คือต้องหาไฟล์รายชื่อผู้ร่วมขบวนการที่ทัศนัยหลุดปากออกมา
“พวกเราร่วมสาบานกันแล้ว ไม่มีทางที่พวกแกจะหาเจอ” ทัศนัยพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็หมดสติไป พอตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว
แต่เดือนดาราไม่เชื่อเลยสักนิด ทัศนัยเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนเสียสติ
และทางตำรวจเองก็มีวิธีแก้ปัญหา โดยการใช้นักสะกดจิตบำบัดเพื่อสืบหาไฟล์รายชื่อที่ซ่อนอยู่ การสะกดจิตที่ทำให้เขาลืมเหตุการณ์ทุกอย่างรวมทั้งคดีที่เคยก่อ จากนั้นจึงทำให้เห็นภาพต่าง ๆ ที่ทัศนัยเคยทำ
ตำรวจสาวหวังเพียงว่าฆาตกรรายนี้จะหลุดข้อมูลอะไรออกมาบ้าง
แต่ไม่เลย! ไม่มีเบาะแสอะไรหลุดจากปาก!
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นดวงวิญญาณของนายวิรัช ผู้เป็นพ่อของทัศนัยมาปรากฏตัวในโรงภาพยนตร์ขณะที่กำลังทำการสะกดจิตอยู่ อาจเป็นเพราะดวงวิญญาณของผู้เป็นพ่ออยากให้ลูกชายรับสารภาพก็เป็นได้
เดือนดารากำลังพยายามนั่งรอด้วยใจสงบ รอให้ฆาตกรที่ยังเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยคนนี้ฟื้นคืนสติ หลังจากที่เธอถามทัศนัยว่าจำได้หรือยังว่าซ่อนศพเหยื่อไว้ที่ไหน ชายหนุ่มก็หมดสติไปทันที ในเวลานี้เดือนดาราเองก็อยากจะพักหายใจและใช้ความคิด หญิงสาวพยายามหาวิธีจัดการกับทัศนัยแบบที่ทรมานน้อยที่สุด แม้ว่าเธออยากจะทรมานเขามากเพียงใดก็ตาม
“แล้วจะเอาไงต่อ!” เสียงดังมาจากวิทยุสื่อสารที่เดือนดาราซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกง เป็นเสียงของนักจิตวิทยาอาวุโสที่ปลอมตัวเป็นลุงสว่างพ่อบ้านของทัศนัย เดือนดาราขอให้ชายสูงวัยคนนี้ช่วยปลอมตัวเพื่อสืบคดี พยายามใกล้ชิดและกลายเป็นคนสนิทของทัศนัยในที่สุด ลุงสว่างเป็นแพทย์ผู้เคยดูแลนักโทษที่มีอาการทางจิตอยู่หลายคดี เขาเข้าใจว่าเดือนดารากำลังพยายามทำอะไร แต่สิ่งที่ตำรวจสาวไม่คาดคิดว่าจะได้รับจากลุงสว่างคือการเตือนว่า การทำแบบนี้มันโหดร้ายเกินไปสำหรับนักโทษ และเธออาจกลายเป็นฆาตกรที่กำลังฆ่าทัศนัยอย่างช้า ๆ
แต่สำหรับเดือนดาราแล้ว เธอคิดว่าฆาตกรที่ก่อนหน้านี้นั่งตัวสั่นเทาใบหน้าเปื้อนน้ำตาอยู่ในตอนนี้ยังไม่ได้รับรู้แม้เพียงเศษเสี้ยวของความเจ็บปวดที่เหยื่อได้รับ
ตำรวจสาวจะต้องเค้นข้อมูลฆาตกรคนอื่น ๆ จากทัศนัยให้ได้ เดือนดาราหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาแล้วออกคำสั่งทั้งที่ยังนั่งอยู่กับฆาตกรในโรงภาพยนตร์
“ฉันจะฉีดสารกระตุ้นให้เขาฟื้น คุณรีบฉายหนังเรื่องต่อไปได้เลยค่ะ”
ฉึก!
เดือนดาราใช้เข็มฉีดยากดลงไปที่แขนของทัศนัย เพียงครู่เดียวอีกฝ่ายก็สะดุ้งเฮือกอย่างคนถูกปลุกให้ตื่น
“คุณตำรวจ คุณก็ไม่ต่างอะไรจากผมหรอก!” อีกฝ่ายเอ่ยแย้ง แต่ตำรวจสาวไม่สนใจ
“ฉันบอกว่า ฉายหนังเรื่องสุดท้ายเดี๋ยวนี้!”