บทที่ 17
บ้านลืมตาย ตอน 5
“จะเอาไงต่อล่ะทีนี้ ทั้งกองถ่ายพากันตายหมด นักแสดงก็เสียชีวิต ถึงจะเป็นนักแสดงใหม่ แต่จะไม่แจ้งตำรวจจริงเหรอ” ภาพเบื้องหน้าคือชายสวมเสื้อกั๊กสีครีม ผู้กำกับที่รอดตายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในกองถ่ายเพียงคนเดียว
หลังจากนักแสดงที่รับบทเป็นป้าเรี่ยมถูกแขวนคอตายเพราะอุปกรณ์เซฟตี้เกิดขาด บุหงาก็พลาดตกลงมาหัวกระแทกพื้นเสียชีวิต แดนดินถูกไม้หน้าสามที่ฝังตะปูตอกทะลุศีรษะ ส่วนวิทูรย์หัวใจวายเฉียบพลัน ทีมงานในกองถ่ายที่บ้านท้ายซอยก็ค่อย ๆ ล้มป่วยและตายไปทีละคน
แต่เจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์กลับนั่งหันหลังพิงพนักทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล ไร้วาจาเอ่ยตอบ ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชารอฟังคำตอบอย่างร้อนใจ
“พี่ทัศ” ผู้กำกับเรียกชื่อเจ้าของบริษัท แต่คนที่สะดุ้งกลับเป็นคนที่กำลังนั่งดูภาพยนตร์
ทัศนัยคิดว่าเดือนดาราเรียกตนเอง แต่พอหันไปหาก็พบว่าเธอกำลังจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ที่กำลังฉาย
“แล้วแกรอดมาได้ไง ในเมื่อคนทั้งกองตายกันหมด” ตัวละครที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาเอ่ยถามคนเบื้องหลัง
ภาพบนจอตัดไปยังสีหน้าผู้กำกับที่ยืนตัวสั่น ใบหน้าเริ่มบูดบี้เหมือนคนจะร้องไห้ เขาพยายามพูด แต่กว่าจะฟังได้เป็นคำก็ต้องทนฟังเสียงสะอื้นอยู่พอควร
“ก็ผมเขียนชื่อคนในกองถ่ายไว้บนผนังตามที่พี่บอกไง ผมถึงรอดมาได้”
ฉากถูกตัดอีกครั้ง เหตุการณ์ที่นักแสดงทั้ง 4 คน เสียชีวิต ถูกตัดสลับไปมาให้เห็นว่าคนทั้งสี่ตายอย่างไร สลับกับภาพพื้นหลังไม้กระดานและข้อความมากมายบนผนัง แต่มันเป็นเวลากลางวันที่ผู้กำกับคนนี้มาถึงสถานที่ถ่ายทำเพียงคนเดียว
ผู้กำกับมองไปยังผนังเห็นชื่อของทีมงานสามคนก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย
“กูบอกให้เขียนชื่อแค่คนเดียว เดี๋ยวก็ได้ตายห่ากันหมดหรอก”
ความลับของคำสาปแช่งบนผนังนั้นถูกปกปิดเอาไว้โดยเจ้าของบ้านที่หายตัวไป ถูกเล่าโดยเจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์
ภรรยาที่ถูกสามีสวมเขาโกรธแค้นหนัก ด้วยแรงอาฆาตแทนที่จะเขียนคำสาปบนผนังเพียงครั้งเดียว เธอถึงกับเขียนทับรอยคาถาเดิมถึงสองครั้ง และนั่นนำมาสู่…
คำสาปทวีคูณ!
นั่นหมายความว่า ถ้าเขียนชื่อคนเพียงหนึ่งชื่อจะมีคนตายเพียงคนเดียวคือเจ้าของชื่อนั้น แต่หากมีชื่อถูกเขียนมากกว่าหนึ่งชื่อ คนที่ต้องสังเวยให้คำสาปนี้จะเพิ่มเป็น 2 เท่า เขียน 2 ชื่อ ต้องตาย 4 คน เขียน 3 ชื่อก็ต้องตาย 6 คน
และเพื่อไม่ให้มีใครเล่นสนุกเขียนชื่อผู้กำกับลงไปใต้คำสาป ทางเดียวที่เขาจะรอดคือต้องเขียนชื่อให้พอดีกับคำสาปทวีคูณ
ทีมงานในกองถ่ายมีทั้งหมด 10 คน และมีนักแสดงที่เข้าฉากในบ้านท้ายซอยอีก 4 คน เขาต้องเขียนชื่อลงไป 7 ชื่อ คำสาปมันถึงจะทวีคูณให้มีคนต้องตาย 14 คน จะมีเพียงหนึ่งคนที่รอด และคนคนนั้นต้องเป็นเขาซึ่งเป็นผู้กำกับเขาต้องผ่านคืนนี้ไปให้ได้
ผู้กำกับเลือกที่จะไปซ่อนตัวในโบสถ์แล้วรอให้เวลาผ่านไป 1 วัน เพียงเท่านี้เขาก็จะรอด
ค่ำคืนนั้นเขาให้ผู้ช่วยผู้กำกับทำหน้าที่ดูแลการถ่ายทำหน้างานแทน ส่วนตัวเองแกล้งทำเป็นไม่สบายก่อนขอตัวไปพัก แล้วเหตุการณ์สยองขวัญก็เกิดขึ้นจริง ผู้กำกับเห็นทุกเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดที่ได้เข้าไปติดไว้ก่อนการถ่ายทำ เหตุการณ์เหล่านั้นแสดงผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิด
ป้าเรี่ยมถูกจับแขวนคอ บุหงาพลาดหล่นลงมาตาย วิทูรย์หัวใจวายที่เห็นแดนดินถูกไม้หน้าสามที่มีตะปูปักอยู่ฟาดจนเลือดอาบ ไม่เพียงแค่นั้น บนจอยังเห็นเงาของร่างลี้ลับ 7 ร่างพยายามไล่ตามทีมงานทุกคน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ปัก ปัก ปัก ปัก ปัก!
จากเสียงเคาะกลายเป็นเสียงทุบประตูจนคนข้างในสะดุ้งเฮือก
“เปิดประตูหน่อยค่ะ พี่คะ ไม่ถ่ายต่อแล้วเหรอ” เสียงบุหงาดังฟังชัด ทั้งที่ดูภาพกล้องวงจรปิดในมือถือ ร่างของบุหงาเพิ่งหัวกระแทกพื้น และยังนอนจมอยู่ในกองฟาง
ผู้กำกับหนุ่มเอามือปิดปากตัวเอง แม้แต่จะส่งเสียงยังไม่กล้า เขาได้แต่อดทนรออยู่หลังพระประธานในโบสถ์จนฟ้าสาง ที่จริงมันไม่มีทีมแพทย์หรือใครมาช่วยทั้งนั้น พวกวิญญาณคนในกองถ่ายที่ตายมันเพิ่มบทเหล่านี้ขึ้นมาเล่นสนุกกันใหญ่ เพราะเขาจำหน้าหมอที่ปั๊มหัวใจได้ ใบหน้ามันเหมือนกับช่างไฟอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อเห็นแสงแดดส่องลอดผ่านช่องบานประตูโบสถ์ ผู้กำกับที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ จึงตัดสินใจลองเสี่ยงดวงเปิดประตูเดินออกมาพร้อมกับใจที่ยังหวาดหวั่นขั้นสุด แต่พอเห็นว่าไม่มีใครหรือผีตนไหนมารออยู่ ก็รีบวิ่งสุดชีวิตมาที่รถของตัวเอง แม้จะอยากเหลือบมองไปยังทิศที่บ้านท้ายซอยตั้งอยู่ แต่เขาก็ไม่กล้า ท้ายที่สุดจึงต้องรีบกลับไปรายงานให้เจ้านายทราบ
เจ้าของบริษัทยังคงนั่งหันหลังให้ ไม่แยแสที่จะหันมาถามถึงลูกน้องเลยสักนิด
“มึงจะโทษกูไม่ได้นะ กูบอกว่าอย่าไปยุ่งกับคำสาปบนผนังนั่น ให้แค่ถ่ายเก็บภาพพอ แต่พวกมึงเล่นพิเรนทร์กันเอง” เจ้านายยอมเปิดปากสักที แต่สิ่งที่พูดออกมานั้นไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเลย เรื่องจริงคือมีทีมงานมือบอนไปเขียนชื่อไว้บนผนังเหมือนกับท้าทายและไม่เชื่อ พอถ่ายรูปส่งมาให้เจ้าของบริษัทดูก็บอกว่าให้ปล่อยไปคงมีคนตายสักคนสองคน แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้นเพราะพวกมันเห็นเป็นเรื่องเล่นสนุกจึงเขียนชื่อเพื่อนลงไปอีก
“แต่พี่ก็ควรทำอะไรบ้างสิ แล้วศพทีมงานล่ะ พี่จะปล่อยไว้อย่างนั้นเหรอ” ผู้กำกับหนุ่มสติแตกจนได้
“เรื่องนั้นเดี๋ยวจัดการเอง” เสียงลิ้นชักถูกเลื่อนพร้อมกับการหยิบกระดาษใบหนึ่งขึ้นมา เจ้าของบริษัทในชุดสูทสีดำลุกขึ้น ใบหน้าที่ฉายชัดนั้นทำให้คนที่นั่งชมอยู่สบถออกมาด้วยความกลัว
“ผมอีกแล้ว! ทำไมมีแต่หน้าผม!” ทัศนัยกรีดร้องออกมากลางโรงภาพยนตร์ ตัวละครที่แสดงเป็นเจ้าของบริษัท มีใบหน้าเหมือนกับทัศนัยอย่างไม่ผิดเพี้ยน เดือนดาราถึงกับต้องจับตัวบอสหนุ่มไว้ไม่ให้ลุกหนี แต่เหมือนอีกฝ่ายจะสติแตกจนเกือบจะสะบัดหลุด โชคดีที่หญิงสาวไวกว่า เธอคว้าแขนของทัศนัยแล้วกระชากลงกดยึดไว้กับที่เท้าแขนแล้วใช้เชือกรัดไว้ได้ทัน
“ดูให้จบก่อน เผื่อคุณจะนึกอะไรออก” เดือนดาราพูดให้ทัศนัยสงบลง แต่นั่นเหมือนเป็นการทิ้งปริศนาไว้ให้ชายหนุ่มมากกว่า
“นึกอะไร... ผมต้องนึกอะไร ?”
หญิงสาวไม่ตอบเธอหันกลับไปดูภาพยนตร์ต่อ
ภาพบนจอฉายถึงตอนที่เจ้าของบริษัทเดินเข้าไปกอดผู้กำกับ ใช้คำพูดปลอบใจแต่ไม่ยอมปล่อยลูกน้องจากอ้อมแขน
“พักเถอะนะ เรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว” เจ้าของบริษัทใช้มีดเล่มยาวเสียบแทงเข้าที่สีข้างทะลุเข้าไปภายในร่างผู้กำกับหนุ่ม เลือดทะลักไหลออกมาจากปากแผล แล้วร่างนั้นก็ล้มลงไปนอนตาเหลือกในที่สุด
“โทษทีว่ะ มึงรู้ความลับของกูมากเกินไป”
...ภาพยนตร์เรื่องที่ 3 จบลงเพียงแค่นี้
ทัศนัยกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง พยายามกระชากแขนให้หลุดจากพันธนาการ ...แต่ไร้ผล
เดือนดารากระชากคอเสื้อของทัศนัยให้กลับมานั่งลง แล้วจับใบหน้าของทัศนัยให้หันมาประสานสายตากับเธอ ก่อนที่จะเตือนความจำอีกครั้ง
“จำได้หรือยังคะว่าคุณซ่อนศพไว้ที่ไหน ?”