อัปเดตล่าสุด 2022-08-27 12:03:45

ตอนที่ 17 บ้านลืมตาย ตอนที่ ๕

บทที่ 17

บ้านลืมตาย ตอน 5

 

               “จะเอาไงต่อล่ะทีนี้ ทั้งกองถ่ายพากันตายหมด นักแสดงก็เสียชีวิต ถึงจะเป็นนักแสดงใหม่ แต่จะไม่แจ้งตำรวจจริงเหรอ” ภาพเบื้องหน้าคือชายสวมเสื้อกั๊กสีครีม ผู้กำกับที่รอดตายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในกองถ่ายเพียงคนเดียว

               หลังจากนักแสดงที่รับบทเป็นป้าเรี่ยมถูกแขวนคอตายเพราะอุปกรณ์เซฟตี้เกิดขาด บุหงาก็พลาดตกลงมาหัวกระแทกพื้นเสียชีวิต แดนดินถูกไม้หน้าสามที่ฝังตะปูตอกทะลุศีรษะ ส่วนวิทูรย์หัวใจวายเฉียบพลัน ทีมงานในกองถ่ายที่บ้านท้ายซอยก็ค่อย ๆ ล้มป่วยและตายไปทีละคน 

               แต่เจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์กลับนั่งหันหลังพิงพนักทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล ไร้วาจาเอ่ยตอบ ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชารอฟังคำตอบอย่างร้อนใจ

               “พี่ทัศ” ผู้กำกับเรียกชื่อเจ้าของบริษัท แต่คนที่สะดุ้งกลับเป็นคนที่กำลังนั่งดูภาพยนตร์

               ทัศนัยคิดว่าเดือนดาราเรียกตนเอง แต่พอหันไปหาก็พบว่าเธอกำลังจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ที่กำลังฉาย

               “แล้วแกรอดมาได้ไง ในเมื่อคนทั้งกองตายกันหมด” ตัวละครที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาเอ่ยถามคนเบื้องหลัง

               ภาพบนจอตัดไปยังสีหน้าผู้กำกับที่ยืนตัวสั่น ใบหน้าเริ่มบูดบี้เหมือนคนจะร้องไห้ เขาพยายามพูด แต่กว่าจะฟังได้เป็นคำก็ต้องทนฟังเสียงสะอื้นอยู่พอควร

               “ก็ผมเขียนชื่อคนในกองถ่ายไว้บนผนังตามที่พี่บอกไง ผมถึงรอดมาได้”

               ฉากถูกตัดอีกครั้ง เหตุการณ์ที่นักแสดงทั้ง 4 คน เสียชีวิต ถูกตัดสลับไปมาให้เห็นว่าคนทั้งสี่ตายอย่างไร สลับกับภาพพื้นหลังไม้กระดานและข้อความมากมายบนผนัง แต่มันเป็นเวลากลางวันที่ผู้กำกับคนนี้มาถึงสถานที่ถ่ายทำเพียงคนเดียว

               ผู้กำกับมองไปยังผนังเห็นชื่อของทีมงานสามคนก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย

               “กูบอกให้เขียนชื่อแค่คนเดียว เดี๋ยวก็ได้ตายห่ากันหมดหรอก”

               ความลับของคำสาปแช่งบนผนังนั้นถูกปกปิดเอาไว้โดยเจ้าของบ้านที่หายตัวไป ถูกเล่าโดยเจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์

               ภรรยาที่ถูกสามีสวมเขาโกรธแค้นหนัก ด้วยแรงอาฆาตแทนที่จะเขียนคำสาปบนผนังเพียงครั้งเดียว เธอถึงกับเขียนทับรอยคาถาเดิมถึงสองครั้ง และนั่นนำมาสู่…

             คำสาปทวีคูณ!

               นั่นหมายความว่า ถ้าเขียนชื่อคนเพียงหนึ่งชื่อจะมีคนตายเพียงคนเดียวคือเจ้าของชื่อนั้น แต่หากมีชื่อถูกเขียนมากกว่าหนึ่งชื่อ คนที่ต้องสังเวยให้คำสาปนี้จะเพิ่มเป็น 2 เท่า เขียน 2 ชื่อ ต้องตาย 4 คน เขียน 3 ชื่อก็ต้องตาย 6 คน

               และเพื่อไม่ให้มีใครเล่นสนุกเขียนชื่อผู้กำกับลงไปใต้คำสาป ทางเดียวที่เขาจะรอดคือต้องเขียนชื่อให้พอดีกับคำสาปทวีคูณ

               ทีมงานในกองถ่ายมีทั้งหมด 10 คน และมีนักแสดงที่เข้าฉากในบ้านท้ายซอยอีก 4 คน เขาต้องเขียนชื่อลงไป 7 ชื่อ คำสาปมันถึงจะทวีคูณให้มีคนต้องตาย 14 คน จะมีเพียงหนึ่งคนที่รอด และคนคนนั้นต้องเป็นเขาซึ่งเป็นผู้กำกับเขาต้องผ่านคืนนี้ไปให้ได้

               ผู้กำกับเลือกที่จะไปซ่อนตัวในโบสถ์แล้วรอให้เวลาผ่านไป 1 วัน เพียงเท่านี้เขาก็จะรอด

               ค่ำคืนนั้นเขาให้ผู้ช่วยผู้กำกับทำหน้าที่ดูแลการถ่ายทำหน้างานแทน ส่วนตัวเองแกล้งทำเป็นไม่สบายก่อนขอตัวไปพัก แล้วเหตุการณ์สยองขวัญก็เกิดขึ้นจริง ผู้กำกับเห็นทุกเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดที่ได้เข้าไปติดไว้ก่อนการถ่ายทำ เหตุการณ์เหล่านั้นแสดงผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิด

               ป้าเรี่ยมถูกจับแขวนคอ บุหงาพลาดหล่นลงมาตาย วิทูรย์หัวใจวายที่เห็นแดนดินถูกไม้หน้าสามที่มีตะปูปักอยู่ฟาดจนเลือดอาบ ไม่เพียงแค่นั้น บนจอยังเห็นเงาของร่างลี้ลับ 7 ร่างพยายามไล่ตามทีมงานทุกคน

               ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

               ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

               ปัก ปัก ปัก ปัก ปัก!

               จากเสียงเคาะกลายเป็นเสียงทุบประตูจนคนข้างในสะดุ้งเฮือก

               “เปิดประตูหน่อยค่ะ พี่คะ ไม่ถ่ายต่อแล้วเหรอ” เสียงบุหงาดังฟังชัด ทั้งที่ดูภาพกล้องวงจรปิดในมือถือ ร่างของบุหงาเพิ่งหัวกระแทกพื้น และยังนอนจมอยู่ในกองฟาง 

               ผู้กำกับหนุ่มเอามือปิดปากตัวเอง แม้แต่จะส่งเสียงยังไม่กล้า เขาได้แต่อดทนรออยู่หลังพระประธานในโบสถ์จนฟ้าสาง ที่จริงมันไม่มีทีมแพทย์หรือใครมาช่วยทั้งนั้น พวกวิญญาณคนในกองถ่ายที่ตายมันเพิ่มบทเหล่านี้ขึ้นมาเล่นสนุกกันใหญ่ เพราะเขาจำหน้าหมอที่ปั๊มหัวใจได้ ใบหน้ามันเหมือนกับช่างไฟอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

               เมื่อเห็นแสงแดดส่องลอดผ่านช่องบานประตูโบสถ์ ผู้กำกับที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ จึงตัดสินใจลองเสี่ยงดวงเปิดประตูเดินออกมาพร้อมกับใจที่ยังหวาดหวั่นขั้นสุด แต่พอเห็นว่าไม่มีใครหรือผีตนไหนมารออยู่ ก็รีบวิ่งสุดชีวิตมาที่รถของตัวเอง แม้จะอยากเหลือบมองไปยังทิศที่บ้านท้ายซอยตั้งอยู่ แต่เขาก็ไม่กล้า ท้ายที่สุดจึงต้องรีบกลับไปรายงานให้เจ้านายทราบ

 

               เจ้าของบริษัทยังคงนั่งหันหลังให้ ไม่แยแสที่จะหันมาถามถึงลูกน้องเลยสักนิด

               “มึงจะโทษกูไม่ได้นะ กูบอกว่าอย่าไปยุ่งกับคำสาปบนผนังนั่น ให้แค่ถ่ายเก็บภาพพอ แต่พวกมึงเล่นพิเรนทร์กันเอง” เจ้านายยอมเปิดปากสักที แต่สิ่งที่พูดออกมานั้นไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเลย เรื่องจริงคือมีทีมงานมือบอนไปเขียนชื่อไว้บนผนังเหมือนกับท้าทายและไม่เชื่อ พอถ่ายรูปส่งมาให้เจ้าของบริษัทดูก็บอกว่าให้ปล่อยไปคงมีคนตายสักคนสองคน แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้นเพราะพวกมันเห็นเป็นเรื่องเล่นสนุกจึงเขียนชื่อเพื่อนลงไปอีก

               “แต่พี่ก็ควรทำอะไรบ้างสิ แล้วศพทีมงานล่ะ พี่จะปล่อยไว้อย่างนั้นเหรอ” ผู้กำกับหนุ่มสติแตกจนได้ 

               “เรื่องนั้นเดี๋ยวจัดการเอง” เสียงลิ้นชักถูกเลื่อนพร้อมกับการหยิบกระดาษใบหนึ่งขึ้นมา เจ้าของบริษัทในชุดสูทสีดำลุกขึ้น ใบหน้าที่ฉายชัดนั้นทำให้คนที่นั่งชมอยู่สบถออกมาด้วยความกลัว

               “ผมอีกแล้ว! ทำไมมีแต่หน้าผม!” ทัศนัยกรีดร้องออกมากลางโรงภาพยนตร์ ตัวละครที่แสดงเป็นเจ้าของบริษัท มีใบหน้าเหมือนกับทัศนัยอย่างไม่ผิดเพี้ยน เดือนดาราถึงกับต้องจับตัวบอสหนุ่มไว้ไม่ให้ลุกหนี แต่เหมือนอีกฝ่ายจะสติแตกจนเกือบจะสะบัดหลุด โชคดีที่หญิงสาวไวกว่า เธอคว้าแขนของทัศนัยแล้วกระชากลงกดยึดไว้กับที่เท้าแขนแล้วใช้เชือกรัดไว้ได้ทัน

               “ดูให้จบก่อน เผื่อคุณจะนึกอะไรออก” เดือนดาราพูดให้ทัศนัยสงบลง แต่นั่นเหมือนเป็นการทิ้งปริศนาไว้ให้ชายหนุ่มมากกว่า

               “นึกอะไร... ผมต้องนึกอะไร ?” 

               หญิงสาวไม่ตอบเธอหันกลับไปดูภาพยนตร์ต่อ

               ภาพบนจอฉายถึงตอนที่เจ้าของบริษัทเดินเข้าไปกอดผู้กำกับ ใช้คำพูดปลอบใจแต่ไม่ยอมปล่อยลูกน้องจากอ้อมแขน

               “พักเถอะนะ เรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว” เจ้าของบริษัทใช้มีดเล่มยาวเสียบแทงเข้าที่สีข้างทะลุเข้าไปภายในร่างผู้กำกับหนุ่ม เลือดทะลักไหลออกมาจากปากแผล แล้วร่างนั้นก็ล้มลงไปนอนตาเหลือกในที่สุด

               “โทษทีว่ะ มึงรู้ความลับของกูมากเกินไป” 

...ภาพยนตร์เรื่องที่ 3 จบลงเพียงแค่นี้

               ทัศนัยกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง พยายามกระชากแขนให้หลุดจากพันธนาการ ...แต่ไร้ผล

               เดือนดารากระชากคอเสื้อของทัศนัยให้กลับมานั่งลง แล้วจับใบหน้าของทัศนัยให้หันมาประสานสายตากับเธอ ก่อนที่จะเตือนความจำอีกครั้ง

               “จำได้หรือยังคะว่าคุณซ่อนศพไว้ที่ไหน ?”

 


แสดงความคิดเห็น
แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม


ความคิดเห็น