บทที่ 12
เศียรปู่บรมครูผู้สร้างหนัง ตอนจบ
ฉึก!
หญิงสาวได้แต่มองเลือดที่ไหลทะลักชโลมใบมีดอย่างไม่ทันตั้งตัว นิลประกายพยายามดันตัวอัมภิกาออกไป หากแต่เรี่ยวแรงเริ่มร่อยหรอ เธอทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าชุดนางรำที่อยู่ตรงหน้า อัมภิกาดึงด้ามมีดออกจากอกเธออย่างเร็ว แรงดึงทำให้เธอล้มหน้ากระแทกพื้น หูนั้นยังได้ยินจังหวะเคลื่อนไหว ปลายสายตานั้นยังเห็นท่าร่ายรำและเสียงหัวเราะเย้ยหยัน อัมภิกาเวลานี้เหมือนคนเสียสติที่กระโดดโลดเต้นไปมา ก่อนที่มัจจุราชในมือจะกรีดเฉือนเข้าที่คอของเธอเอง
อัมภิกาล้มลงนอนเคียงข้างนิลประกาย ดวงตาประสานคล้ายมิติเวลาที่เชื่อมโยงถึงกัน ภาพมากมายแล่นผ่านสมองก่อนที่ทุกอย่างจะดับสิ้น
นิลประกายรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในกระท่อมไม้หลังหนึ่งแล้ว มันแปลกตาแต่ทว่ากลับรู้สึกคุ้นเคย ในศีรษะเกิดคำถามขึ้นทันที แล้วภาพใบหน้าของชายผู้หนึ่งก็ลอยเข้ามา เบื้องลึกในจิตรับรู้ว่าชายผู้นี้คือพี่ชายต่างสายเลือด ความรู้สึกหนาวสะท้านซึมลึกไปถึงข้างใน เธอคือคนที่สลัดความรักของเขาทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใย แสงแดดที่ลอดมาบอกให้รู้ว่าเวลานี้น่าจะเป็นเช้าของอีกวัน แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ในบ้านซอมซ่อแบบนี้แทนที่จะอยู่ในวังเยี่ยงนางรำชั้นสูง
ปัก ปัก ปัก!
“หลังนี้แหละเจ้าค่ะ บ้านของชายที่ปลอมตัวเป็นนางรำ” เสียงหญิงสาวดังมาจากด้านนอก นิลประกายลอบมองผ่านรอยแตกของไม้ที่เอามาทำผนัง เห็นหญิงสาวคนหนึ่งมาพร้อมกับชายในเครื่องแบบองครักษ์อีก 3 นาย
“พังเข้าไปจับตัวนางมาให้ได้” องครักษ์นายหนึ่งออกคำสั่ง นั่นทำให้เกิดเสียงขวานจามผนังบ้านจนเป็นรอยแตก ทันทีที่ประตูถูกถีบหญิงนำทางก็เดินเข้ามาก่อน
“นางนี่แหละเจ้าค่ะ มันต้องวางแผนกับพี่ชายมันเพื่อหลอกลวงพ่อเจ้า” ใบหน้าของหญิงนำทางผู้นี้นิลประกายมองครั้งเดียวก็จำได้
อัม...อัมภิกา!
นิลประกายถูกทหารองครักษ์จับตัวไปยังลานประหาร เบื้องหน้าคือเหล่าทหารที่รายล้อมป้องกันภัยให้แก่พ่อเจ้า ทันทีที่เงยหน้าเธอก็เห็นว่าใครนั่งอยู่บนอาสน์หิน
บอส...บอสคือพ่อเจ้า
“อีนี่น่ะรึ ที่บังอาจรวมหัวกับพี่ชายเพื่อทำให้พิธีเมื่อคืนต้องแปดเปื้อน” เสียงพ่อเจ้าพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เจ้าค่ะ นางนี่แหละเจ้าค่ะ” อัมภิกาในชุดหญิงโบราณนั่งลงข้างนิลประกายที่มีตรวนพันธนาการมือและเท้าเอาไว้
“อัม ทำไมแกถึง...ทำแบบนี้” นิลประกายพูดได้เพียงแค่นั้น ที่จริงเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเธอถึงหักหลัง
“อัม อะไรของเอ็ง สติเลอะเลือนแล้วรึ” อัมภิกาปฏิเสธ นิลประกายพยายามทำความเข้าใจว่าเธอข้ามภพข้ามชาติมาเพื่อรู้เรื่องราวในอดีต น้องสาวคนที่หักหลังเจ้าของเศียรปู่บรมครูผู้สร้างหนังก็คือเธอ เจ้าของเศียรปู่ฤๅษีสละชีวิตแทนเธอ ผู้หญิงที่ทะเยอทะยานจนเกินตัว เกือบต้องตายในพิธีคัดเลือกสนมเมื่อคืน แต่ความผิดทั้งหมดมันก็เพราะปุโรหิตผู้นั้นไม่ใช่หรือที่เป็นผู้เป่าหูพ่อเจ้าให้ทำการโหดร้ายเช่นนี้ นิลประกายมองเห็นชายในชุดขาวไว้เครายาวที่กำลังยืนเชิดหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเลวที่ตัวเองทำลงไป ในชาติภพอดีตใบหน้าชายผู้นี้ดูแก่ชราหากแต่เธอจำแววตามากเล่ห์กลนี้ได้ แม้จะเคยเห็นผู้ชายคนนี้แค่ครั้งเดียวแต่เธอก็จำได้เขาคือเลขาคนสนิทของบอส
คุณเอก! คนที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมในทุกชาติทุกภพ!
เสียงเครื่องดนตรีบรรเลง นิลประกายไม่รู้ว่าเสียงนี้คืออะไร แต่ก็กระจ่างทันทีที่เห็นเพชฌฆาตกำลังร่ายรำอยู่ข้างตัวเธอ มันคือเสียงบรรเลงเพลงแห่งความตาย
ฟับ! สิ้นเสียงดาบตัดอากาศ นิลประกายรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่สุดจะทานทน และภาพเบื้องหน้าก็กลายเป็นสีดำสนิท สติที่ดับวูบถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศที่บางเบา นิลประกายรู้สึกว่าตัวเองลอยสูงขึ้นจนยืนได้ สายตาที่เลื่อนลงไปมองเห็นร่างของตัวเธอเองและอัมภิกานอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น เธอกลับมายังโลกปัจจุบันที่เรื่องราวยังไม่จบ
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า” เสียงชายในอดีตชาติของเธอกลับมาพร้อมร่างที่คุ้นตา เศียรปู่ฤๅษีลอยลงมาต่อกับร่างชายที่เปลือยท่อนบนไร้ศีรษะ เมื่อเศียรที่ถูกตัดประสานเข้ากับร่างที่ไม่มีศีรษะจนแนบสนิท จากร่องโบ๋ไร้ดวงตาก็กลับกลายเป็นหน้าคนที่มีชีวิตอีกครั้ง เขาโผเข้ากอดเธอจากด้านหลังวงแขนวาดกอดอยู่ในท่ารักแบบที่ใช้ในท่ารำ
“พี่ต้องฆ่าฉันอีกกี่ภพอีกกี่ชาติถึงจะพอใจ” เธอถามออกไปเพราะอยากรู้ จริงอยู่ที่เธอทำผิดเพราะเหมือนหลอกให้อีกฝ่ายสอนท่ารำ แต่เธอไม่เคยบอกให้ชายคนนี้ไปตายแทนเลยสักนิด นิลประกายดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม เธอหันกลับมาประจันหน้ากับชายที่เพิ่งพรากชีวิตเธอไป
“ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า อีนี่ต่างหากที่ฆ่าเจ้า” ชายตรงหน้าชี้ไปทางด้านหลังของเธอ
“นิน...” เสียงเรียกบางเบาดังมาจากด้านหลัง นิลประกายเห็นอีกร่างหนึ่งยืนอยู่ ร่างของเพื่อนสนิท
“แก...ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ดวงวิญญาณของอัมภิกากำลังยืนร้องไห้ เธอก็เพิ่งเคยเห็นน้ำตาผีก็วันนี้เอง
“อย่าโทษตัวเองเลยอัม คนชั่วตัวจริงคือพวกมันต่างหาก” นิลประกายรู้ได้ด้วยภาพต่าง ๆ มากมาย จะเรียกว่าเป็นญาณของผีก็พอได้ เพราะทันทีที่เธอกลายเป็นดวงวิญญาณ ภาพในอดีตก็ทำให้เธอรู้ความจริง
ทันทีที่อัมภิกาเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง บานประตูก็ถูกเปิดออก ชายในชุดขาวทั้งตัวเดินเข้ามาพร้อมบริวารที่ถือพานทองคำอยู่ในมือ พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ร่างทั้งสอง ชายไว้หนวดเคราที่นิลประกายจำได้ว่าคือช่างไฟที่ทำงานให้บริษัทกำลังตัดเล็บและผมของเธอกับอัมภิกาวางลงบนพาน เมื่อเรียบร้อยแล้วชายชุดขาวก็เดินมายืนนิ่งต่อหน้าเศียรปู่ฤๅษี บริวารที่เหลือยืนเรียงกันเป็นสองแถว
ทันทีที่ชายชุดขาวคุกเข่า บริวารที่เหลือก็คุกเข่าตามอย่างพร้อมเพรียง เสียงสวดบริกรรมคาถารบกวนโสตประสาทของนิลประกาย
นิลประกายและอัมภิกากรีดร้องโหยหวน แต่เสียงนั้นไร้ซึ่งคนได้ยินนอกเสียจากร่างใหญ่ยักษ์สีแดงฉาน
ร่างของพ่อปู่!
“ข้าขอถวายชีวิตสองสตรีนี้เพื่อเป็นบริวารแก่ท่าน!” เสียงนั้นก้องกังวานดังจนไม่อาจต้านทานได้
แล้วสองดวงวิญญาณก็หายไปกลายเป็นดวงตาสีแดงฉานในเศียรที่ตั้งบนหิ้ง
บอสที่เป็นคนนำสวดลุกยืนขึ้น แล้วสั่งให้ลูกน้องโทรแจ้งตำรวจ อ้างว่าสองดาราสาวประสาทหลอนจนแทงกันดับ ให้คนเก็บกวาดงานปาร์ตี้ให้เรียบร้อย และอย่าลืมว่า...กล้องวงจรปิดทุกตัวจะต้องเสีย
“ข้าไม่ได้ฆ่าพวกเจ้า ข้าให้ทั้งงานชื่อเสียงและเงินทองแก่พวกเจ้า แม้อีนี่จะพาเจ้าไปตายข้าก็ไม่ได้ผูกอาฆาต” ร่างของพ่อปู่ชี้ไปที่อัมภิกาที่ยืนตัวสั่น หากเป็นอย่างนั้นจริงนิลประกายก็คงคิดได้เพียงอย่างเดียว คนที่ทำให้อัมภิการ่ายรำแบบไร้สติก็คงเพราะมนตร์ดำของชายคนนี้
ไอ้ปุโรหิต!
เอก เลขาฯ ของบอสหยิบของบางอย่างจากกระเป๋าขึ้นมาดู ขวดแก้วใสที่เห็นของเหลวสีเหลืองอำพันบรรจุอยู่ข้างใน คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก...น้ำมันพราย
เสียงหัวเราะของทั้งบอสและเอกดังจนเธอรู้สึกขยะแขยง ทั้งคู่มีสีหน้ายินดีทั้งที่เพิ่งสังเวยชีวิตพวกเธอเพื่อความมั่งคั่งและชื่อเสียง
“กลับไปกับข้าเถิด พวกเจ้าทำอะไรพวกมันไม่ได้หรอก” พ่อปู่เรียกวิญญาณพวกเธอกลับ นิลประกายได้แต่กัดฟันเก็บความแค้นนี้ไว้รอเวลาชำระคืน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายจบแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่จบคือตัวละครบอสทำให้คนที่นั่งดูอยู่นั้นระส่ำ เพราะการได้เห็นใบหน้าตัวเองอยู่ในภาพยนตร์ มันทำให้เขาน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าที่ฉายชัดของบอสนั้นเห็นเป็นพิมพ์เดียวกับ...
ทัศนัย!
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย” ชายหนุ่มกรีดร้อง พยายามยามจะลุกแต่เหมือนมีแรงกดที่แขนทั้งสองข้าง พอมองดูที่วางแขนก็เห็นเป็นมือผู้หญิงทาเล็บสีแดงจับแขนเขาไว้ทั้งสองข้าง
ทัศนัยแทบจะลืมตาและหลับลงไปในทันที ตัวละครนิลประกายและอัมภิกานั่งขนาบทั้งสองข้าง แทนที่เดือนดาราที่หายตัวไปไหนไม่รู้
“ช่วยด้วย ช่วยผมที!” ทัศนัยพยายามส่งเสียงร้อง แต่เสียงที่ออกจากปากกลับเป็นความเงียบที่ไม่มีใครได้ยิน
“อะไรกันคะบอส จำพวกเราไม่ได้เหรอ” เสียงของนิลประกายกระซิบข้างหูซ้าย ทำทัศนัยขนลุกซู่
“เราจะพาบอสไปอยู่กับเราด้วยดีไหมคะ” เสียงอัมภิกาแทรกจากข้างหูขวา ชายหนุ่มกรีดร้องไม่เป็นภาษา วินาทีนั้นในใจเขานึกถึงแต่เดือนดารา ถ้าเธออยู่ต้องช่วยเขาได้แน่
แสงสว่างเจิดจ้าจนแสบตาปรากฏเบื้องหน้า ไม่นานนักมือผีที่ล็อกแขนเขาไว้ก็หายไป ทันทีที่ทัศนัยขยับแขนได้ก็รีบลุกขึ้นแต่กลับถูกดึงรั้งไว้ก่อน
“ปล่อยนะ ปล่อย!” แรงดึงรั้งกระชากเขากลับ ชายหนุ่มตัวโตแต่ต้องลงไปนั่งตัวสั่นระริก เขากำลังจะลุกหนีอีกครั้งแต่เหมือนมีแรงที่มากกว่ากระชากชายหนุ่มรุนแรงกว่าเดิม ดีที่เป็นเบาะกำมะหยี่ของเก้าอี้โรงภาพยนตร์ ทัศนัยจึงไม่รู้สึกเจ็บ
“ยังไปไหนไม่ได้ค่ะ เรื่องที่สามกำลังจะเริ่มฉายแล้ว” ใบหน้าหญิงสาวข้างกายที่เคยหายไปชั่วเวลาหนึ่ง แต่พอได้เห็นอีกครั้งหัวใจกลับชุ่มชื้น เดือนดาราเธอกลับมาแล้ว
“คุณหายไปไหนมา ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มตะโกนทั้งน้ำตา
“ฉันออกไปเอาป๊อปคอร์นกับเครื่องดื่มมาเพิ่มค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผมกลัว ให้ผมออกไปเถอะ” ทัศนัยพยายามดีดดิ้น แต่เหมือนเดือนดาราจะกดเขาไว้ด้วยมือเดียว
“ถ้ากลัวฉันจะอยู่เคียงข้างคุณเอง” ชายหนุ่มไม่คิดว่าเธอจะเอามือเข้ามาประสานและกุมมือเขาไว้ แต่นั่นช่วยคลายความกลัวไปได้มาก หวังว่าเธอจะไม่หายไปไหนอีก
“มาค่ะ ดูเรื่องที่สามกัน”