บทที่ 5 : เวนิส นครแห่งสายน้ำ
“ปัง!!!”
กำปั้นทุบลงบนโต๊ะที่มีกระจกแผ่นหนาวางพาดอยู่จนกระจกแตกละเอียด เศษกระจกทิ่มอุ้งมือหนาแต่ไม่มีความเจ็บปวดแสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด
“พวกมันเป็นใคร!! ขนาดเบลิธาห์ยังถูกจัดการได้ง่าย ๆ แบบนี้”
ชายผู้อยู่ในตำแห่งหัวหน้าของเงารัตติกาลแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมา จนสมาชิกที่อยู่ในห้องไม่กล้าสบตาเขา ทุกคนได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่ปริปาก
“พวกมันกำลังจะไปที่ไหน นาลี!!”
ชายชราศีรษะล้านที่ถูกเรียกชื่อเดินก้าวจากเงามืด เขาล้วงมือลงไปในกระปุกก่อนจะกำผงเหล็กติดมือออกมาและโปรยมันลงกับพื้น ฝุ่นผงกระจายแผ่ตัวเป็นวงกว้างก่อนจะจัดเรียงตัวเองเป็นรูปร่างได้อย่างน่าอัศจรรย์
ภาพที่ปรากฏบนพื้นหินอ่อนคือแผนที่โลก จุดเล็ก ๆ ที่ถูกวาดโดยผงเหล็กสามจุดกำลังเคลื่อนตัวอยู่ในแผนที่อย่างช้า ๆ
“ถ้าดูจากทิศทางที่มันกำลังมุ่งหน้าไป น่าจะขึ้นฝั่งที่อิตาลีครับหัวหน้า”
ชายสวมสูทที่นั่งอยู่มุมห้องลุกขึ้นยืน หนวดเรียวงามถูกตัดแต่งอย่างประณีตรับกับเรียวหน้ายาวแหลม ผมหวีเสยเรียบติดหนังศีรษะ ลักษณะท่าทางคล้ายขุนนางในพระราชวังโบราณ หากแต่แววตาคมปลาบชวนให้หวาดเกรงเท่านั้นที่ขัดต่อรูปลักษณ์ที่เห็น
“ที่นั่นเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบของข้า ‘ซัทที ซุยวาล์ฟ’ ”
หัวหน้าใหญ่ของเงารัตติกาลยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจเมื่อหนึ่งในสี่รองหัวหน้าออกหน้ารับผิดชอบด้วยตัวเอง
ซัททีหยิบโทรศัพท์มือถือกดหลายเลขปลายทาง และสั่งการด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด กลุ่มคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อทวงคืน SSS ที่ถูกชิงไป
คลื่นน้ำม้วนตัวเป็นเกลียว ละอองกระเด็นพร่างพราวตามสายน้ำที่แตกเป็นทางเมื่อเรือยอร์ชลำหรูแล่นผ่าน คลื่นลมเงียบสงบส่งผลให้เรือแล่นฉิวได้ไวกว่าเคยเป็น
แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ เมฆขาวลอยเอื่อยตัดสีครามของผืนฟ้า นกนางนวลบินฉิวส่งเสียงร้องดังคล้ายดนตรีจากธรรมชาติ ผมตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ได้เห็น ชีวิตนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งคงไม่มีโอกาสมากนักที่จะได้ขึ้นเรือยอร์ชหรูหราราคาแพงแบบนี้ ตรงข้ามกับคาซีที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือมองผืนน้ำเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง
เน็กเธอร์โผล่หน้ามาจากหน้าต่างห้องพักของเรือ ก่อนส่งเสียงตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์
“พวกนายจะบ้ารึไง ยืนตากแดดตากลมแบบนี้เดี๋ยวผิวก็เสียหมด”
เขาพูดเสร็จก็รีบปิดหน้าต่างราวกับกลัวรังสียูวีจะลอดเข้าไป ผมสั่นศีรษะเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แต่คาซีไม่ได้สนใจ เขายังคงยืนดุจยามรักษาการณ์อยู่แบบนั้น
ผมเดินไปใกล้คาซีอย่างทุลักทุเลเนื่องจากยังไม่หายดีจากการฝืนใช้ร่างกายเกินตัว โชคดีที่คู่ต่อสู้ที่เจอไม่ใช่นักสู้ประเภทเดียวกับคาซีหรือเน็กเธอร์ ผมจึงจัดการกับเบลิธาห์ได้อย่างรวดเร็ว แต่หากผมเจอศัตรูที่ฝีมือร้ายกาจกว่านี้ ลำพังร่างกายแบบบางอย่างผมคงไม่อาจฝืนรับพลังของเนเปียร์โบนส์ได้แน่
“ในจดหมายที่นายได้รับ บอกสถานที่ที่ต้องไปอีกกี่ที่เหรอ”
คาซีเลิกคิ้วทบทวนความจำ
“สาม”
“ที่ไหนบ้าง”
คาซีล้วงกระเป๋ายื่นจดหมายให้ผมอ่าน ลายมือประณีตคล้ายลายมือผู้หญิงเขียนอยู่บนเส้นบรรทัดอย่างเป็นระเบียบ
“เราไปเยอรมนีแล้ว ที่เหลือก็ อิตาลี แล้วก็.. จีนกับอียิปต์อย่างนั้นเหรอ!!”
ที่ผ่านมายังพอว่า แต่สองประเทศสุดท้ายนี่เราต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปอีกซีกโลกนึงเลย แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้กลับบ้านกันล่ะเนี่ย!!
ระหว่างกำลังคิดเพลิน ๆ เรือที่แล่นด้วยความเร็วสูงกลับค่อย ๆ ลดความเร็วลง เน็กเธอร์เปิดประตูห้องออกมาพร้อมด้วยผ้าผืนใหญ่ที่คลุมร่างจนมิดโผล่มาแต่เพียงช่องตาสำหรับมอง เขาตะโกนถามลูกน้องอย่างหัวเสีย
“เรือเป็นอะไร ทำไมพวกแกไม่เช็คให้เรียบร้อยก่อน”
ลูกน้องทั้งสามคนวิ่งวุ่นเพื่อตรวจสอบ แต่ทั้งเครื่องยนต์ น้ำมัน หรือระบบต่าง ๆ ก็ล้วนแต่ไม่มีอะไรผิดปกติ
และไม่นาน เรือก็หยุดสนิททั้ง ๆ ที่เครื่องยนต์ยังส่งเสียงคำรามอยู่
คาซีกวาดตามองไปรอบ เน็กเธอร์เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงโยนผ้าที่คลุมร่างทิ้งก่อนจะเดินมารวมตัวกับพวกผม
‘ตึง!!!’
บางอย่างกระแทกเข้ากับเรืออย่างแรงจนทำให้เรือสั่น ลูกน้องของเน็กเธอร์คนหนึ่งที่ยืนใกล้ระเบียงเรือเสียหลักจนตกลงในทะเล อีกคนที่อยู่ในห้องเครื่องรีบคว้าห่วงยางโยนลงไปหมายจะช่วยชีวิตเพื่อน
แต่ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตกตะลึงแกมหวาดผวา เมื่อท้องน้ำใกล้เรือบริเวณที่ลูกน้องของเน็กเธอร์ตกลงไป กลับแผ่สีแดงฉานกระจายเป็นวงกว้าง เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังลั่น ร่างที่ตะกุยตะกายหมายคว้าห่วงยางพลันสงบนิ่งลงทันทีพร้อมลมหายใจที่ขาดห้วง
คาซีดีดนิ้วอย่างแรง แรงโน้มถ่วงกระแทกผืนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง คลื่นน้ำสาดกระเซ็นมากระแทกเรือจนเรือเอียง แต่ดูเหมือนตัวการที่ปลิดชีวิตลูกน้องของเน็กเธอร์จะหลบรอดจากการโจมตีของคาซีอย่างไม่ยากลำบากนัก
เงาร่างสีดำขนาดใหญ่เคลื่อนไหวในทะเลพลิ้วไหว เมื่อผืนน้ำสงบนิ่งจึงเผยให้เห็นเงาร่างอีกนับสิบที่ห้อมล้อมเรือลำใหญ่ไว้ และเจ้าของเงาเหล่านี้เองที่ฉุดรั้งไม่ให้เรือเคลื่อนไปข้างหน้าได้
และสองขาผมก็สั่นจนแทบยืนไม่อยู่ เมื่อรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่ต้องเห็นร่างชัดเจนทั้งหมด เพียงแค่ครีบสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ยื่นโผล่พ้นน้ำและแหวกว่ายด้วยความเร็วสูงราวกับมวลความหนาแน่นของน้ำไม่เป็นอุปสรรค ในโลกนี้มีเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวเท่านั้นที่ทำได้
“ฉะ ฉะ ฉลาม!!!”
เรือถูกกระแทกอย่างแรงอีกครั้ง ผมยึดรั้วกั้นหันเรือไว้แน่น เช่นเดียวกับคาซีและเน็กเธอร์ที่พยายามทรงตัวอย่างยากลำบาก แต่ลูกน้องอีกสองคนของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น
ร่างลอยละลิ่วสู่ความตายที่รออยู่ใต้ผืนน้ำด้วยความเร็ว เพียงแค่สัมผัสผิวน้ำ ฉลามนับสิบตัวต่างรุมทึ้งฉีกกระชากร่างของทั้งสองอย่างไม่ปรานี ชั่วเวลาแค่พริบตาทั้งสองก็กลายเป็นออเดิร์ฟของฝูงฉลาม
เน็กเธอร์ฉวยจังหวะที่เรือนิ่ง วิ่งเข้าไปในห้องเครื่องก่อนจะหยิบปืนฉมวกขนาดใหญ่ออกมาเล็งที่ฝูงฉลาม
‘ฟิ้วว!!’
ฉมวกเหล็กเล่มใหญ่พุ่งแหวกอากาศทะลุผืนน้ำ ก่อนจะเสียบเข้าร่างฉลามตัวหนึ่งซึ่งยังคงเพลิดเพลินกับอาหารมื้อใหญ่ มันดิ้นพล่านในน้ำไม่นานก่อนที่เลือดจากร่างจะโชยกลิ่นเข้าจมูกของเพื่อนนับสิบ กระตุ้นสัญชาตญาณนักล่าให้รุมทึ้งฉลามตัวนั้นโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน
คาซีใช้แรงโน้มถ่วงกระแทกน้ำตรงที่กลุ่มฉลามอยู่ เสียงดังตึงสร้างคลื่นน้ำวงกว้างจนเรือโคลงเคลง ฝูงฉลามที่ล้อมรอบเรือแตกฮือพากันว่ายหนีจนทำให้เรือพ้นจากพันธนาการ กลับแล่นต่อได้อีกครั้ง
เน็กเธอร์รีบวิ่งไปบังคับพวงมาลัย คาซีดีดนิ้วต่ออีกสองสามครั้งเพื่อใช้พลังสกัดกั้นฝูงฉลามที่ว่ายตามเรืออย่างไม่ลดละ
ผมมัวแต่ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก มือจับรั้วเหล็กแน่นเพราะกลัวจะตกลงไปเป็นอาหารฉลามเหมือนสามคนก่อนหน้า เมื่อได้สติจึงคิดได้ว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง
มือล้วงกระเป๋าเสื้อสเวตเตอร์และกำแท่งวัตถุที่อยู่ด้านในแน่น
“เนเปียร์โบนส์!!!”
ผมสร้างตารางแสงดักหน้าฝูงฉลาม สามตัวที่อยู่ด้านหน้าไม่อาจหลบได้ทันจึงพุ่งทะลุผ่านตาราง ความเร็วถูกลดลงจนทำให้มันว่ายได้เร็วไม่ต่างจากเต่าทะเล
อีกหลายตัวที่เหลือมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าอย่างน่ากลัว มันหักเลี้ยวหลบตารางก่อนจะเร่งความเร็วเข้าหาเรืออย่างบ้าคลั่ง
เน็กเธอร์หักเลี้ยวซ้ายขวาหลบการพุ่งกระแทกของฝูงฉลาม เข็มไมล์แสดงความเร็วสูงสุดที่เรือสามารถแล่นได้ แต่ก็ยังไม่เร็วพอที่จะหลบหนีการตามล่าของมัจจุราชแห่งท้องทะเล ส่วนคาซีพยายามเร่งสมาธิก่อนจะใช้แรงโน้มถ่วงอัดกระแทกฉลามจนลอยแน่นิ่งไปได้อีกสามตัว
และคาซีก็ล้วงหยิบกิ่งแอปเปิ้ลออกมาถือ เขาเพ่งมองเงาร่างที่แหวกว่ายก่อนจะระเบิดพลังออกมา
“นิวตัน กราวิตี้!!!”
ผืนน้ำกระเพื่อมรุนแรง ก่อนจะยกตัวขึ้นเป็นก้อน ฝูงฉลามที่ว่ายอยู่ถูกตรึงนิ่งและลอยขึ้นพร้อมกับก้อนน้ำ คาซีใช้แรงโน้มถ่วงยกทั้งน้ำและฉลามขึ้นมาตรึงค้างไว้กลางอากาศ เขาเร่งใช้พลังจนเส้นเลือดปูดโปนที่ขมับ
เน็กเธอร์โยนปืนฉมวกให้ผมก่อนจะยิงปืนที่อยู่ในมือเข้าใส่เป้านิ่ง เลือดไหลย้อมก้อนน้ำสีครามจนแดงฉาน ผมไม่รอช้ารีบยิงตามไปและก็สามารถสังหารฉลามได้อีกตัว
เราสองคนเร่งบรรจุกระสุนฉมวกใหม่ ก่อนจะระดมยิงใส่ฉลามทุกตัวที่อยู่ในก้อนน้ำจนเมื่อแน่ใจว่าพวกมันตายหมดแล้ว คาซีจึงคลายพลังปล่อยทั้งก้อนน้ำและฉลามลงสู่ทะเลตามเดิม
เขาทรุดเข่าอย่างเหนื่อยล้าเนื่องจากใช้พลังมหาศาล ผมเดินมาประคองคาซีเข้ามานั่งในห้องพักพลางนึกน้อยใจตัวเองว่าพลังพิเศษที่มีไม่อาจสร้างประโยชน์ให้กับเขาได้เลย
เน็กเธอร์เป่าปากอย่างโล่งอก แต่ดวงตาเขาฉายแววหม่นเพราะเสียลูกน้องทั้งสามคนไป
แต่แล้วเขาก็รู้สึกแปลก ๆ เมื่อเรือที่บังคับอยู่กลับควบคุมไม่ได้ดั่งใจ
“แย่แล้ว!!”
แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อมองออกไปนอกกระจกก็พอเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้
เรือแล่นเปลี่ยนทิศอย่างบังคับไม่ได้ พุ่งเข้าหาโขดหินใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางทะเล ดูท่าเรือคงถูกทำลายหางเสือทำให้แล่นเฉจากทิศทางที่ตั้งใจจะไป เข้าใกล้เกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีหินโสโครกอยู่รอบเกาะเป็นจำนวนมาก
‘โครม!!!’
เรือพุ่งกระแทกโขดหินจนลำเรือด้านหน้าแตกละเอียด น้ำไหลทะลักเข้าสู่ท้องเรือและเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนลำเรือจมลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว
“กระโดดเร็ว!!”
เน็กเธอร์ตะโกนบอก ผมและคาซีไม่รอช้า วิ่งออกไปที่กราบเรือก่อนจะพุ่งตัวลงน้ำ สายน้ำเย็นยะเยือกราวกับจะกรีดแทงเข้าไปในผิวหนัง คาซีว่ายไปเกาะโขดหินขนาดย่อมเพื่อไม่ให้ตัวถูกซัดไปกับเกลียวคลื่นรุนแรง
ผมพยายามเหวี่ยงแขนตีน้ำ แต่กระแสน้ำใกล้ชายฝั่งหมุนวนอย่างแรง ทำให้ร่างกระจ้อยร้อยของผมไม่อาจต้านทานความรุนแรงของมันได้ ผมถูกซัดไปตามกระแสน้ำ และสิ่งที่รออยู่คือ...
คมเขี้ยวของฉลาม!!
“เอ็กซเรย์!!!”
แทบไม่รู้สึกว่าฝ่ามือสัมผัสกับร่าง แต่เมื่อผมพุ่งเข้าหาปลาฉลาม แทนที่จะถูกเขี้ยวใหญ่แหลมบดขยี้ ผมกลับทะลุผ่านร่างมันไปราวกับอยู่กันคนละมิติ
เน็กเธอร์ที่เกาะแผ่นไม้ยื่นมือมาแตะร่างขณะที่ผมถูกน้ำซัดได้ทันเวลา ทำให้ผมรอดจากคมเขี้ยวสังหารได้ แต่ดูเหมือนฉลามตัวนี้จะฉลาดกว่าทุกตัวที่เจอ มันหันร่างมาหาผมที่ยังคงถูกน้ำซัดและพุ่งตัวตามมาด้วยความเร็วที่เหนือกว่า
‘วูบ!!’
ตารางแสงถูกสร้างขึ้นคั่นระหว่างผมกับฉลามเพื่อลดความเร็วของมัน แต่มันกลับว่ายหลบได้อย่างง่ายดาย ปากอ้ากว้างเตรียมบดขยี้ร่างของผม
‘ซู่!!’
ร่างผมถูกยกลอยด้วยแรงโน้มถ่วงทันเวลาก่อนที่คมเขี้ยวจะฉีกร่าง ผมถูกช่วยไว้ถึงสองครั้งสองหน คาซีบังคับแรงโน้มถ่วงพาร่างผมลอยเข้าหาโขดหินใหญ่ อย่างน้อยตากลมแรงอยู่ด้านบน ก็ยังดีกว่าถูกน้ำซัดไปเป็นเหยื่อฉลามด้านล่าง
“ทำไมฉลามพวกนั้นถึงโจมตีพวกเราล่ะ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่น เพราะอากาศเย็นจับเข้าไปถึงกระดูก
“ฉลามตัวนั้น” คาซีมองไปที่ฉลามตัวเดียวที่เหลือ “มีอะไรแปลก ๆ”
แล้วการเคลื่อนไหวของมันก็ช้าลง กระโดงสามเหลี่ยมแหวกต้านสายน้ำเข้าหาโขดหินที่ผมและคาซีเกาะอยู่ช้า ๆ ราวกับไม่ได้มุ่งหมายโจมตีเหมือนเคย
ดวงตาเล็กจิ๋วสีแดงฉานเหมือนเครื่องประดับที่แปะอยู่ข้างศีรษะใหญ่โตจ้องเขม็งมาที่พวกผม ร่างใหญ่โตหยุดนิ่งทิ้งเพียงคลื่นน้ำที่แผ่เป็นวงกว้างเข้ามากระทบโขดหินจนแตกกระจายเป็นฟอง คาซีแม้จะเกาะโขดหินอยู่แต่ก็ยังตั้งท่าเตรียมรับมือ
สิ่งผิดปกติพลันเกิดขึ้นต่อหน้าพวกเรา เมื่อฉลามตัวเขื่องเชิดหน้าขึ้นเหนือผิวน้ำ ปากมันอ้ากว้างราวกับงูเหลือมอ้าปากขย้อนเหยื่อ ท้องปูดโปนของมันเคลื่อนหุบพองเป็นจังหวะบ่งบอกว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนกายอยู่ข้างในตัวของมัน
สิ่งที่โผล่พ้นจากปากฉลาม คือศีรษะล้านเลี่ยนของมนุษย์ ผิวหนังสีน้ำตาลเข้มดำเป็นมันปลาบ กล้ามเนื้อกำยำเป็นมัด ทั่วร่างมีเพียงมัดผ้าที่รัดปกปิดของสงวนเป็นอาภรณ์เพียงอย่างเดียว ใบหน้าถูกทาทับด้วยสีเป็นลวดลายประหลาดจนมองหน้าที่แท้จริงไม่ชัดเจน ที่เห็นชัดมีเพียงดวงตาที่จ้องมองพวกผมดุจสัตว์กินเนื้อจ้องเหยื่อ
“ส่ง SSS มาเดี๋ยวนี้”
เสียงคำรามของมันดังก้องจนผิวน้ำสะเทือน ได้ยินแบบนี้ก็รู้ชัดเจนแล้วว่าชายเบื้องหน้าคือนักฆ่าของเงารัตติกาล คาซีไม่พูดพล่ามทำเพลง ดีดนิ้วเป็นสัญญาณโจมตี แรงโน้มถ่วงมหาศาลพุ่งกระแทกผืนน้ำเบื้องหน้าแตกเป็นวงกว้าง
แต่ทั้งคน ทั้งฉลาม กลับเคลื่อนกายรวดเร็วไม่ต่างกัน มันทั้งคู่พุ่งฉีกไปคนละทางหลบเลี่ยงพลังแรงโน้มถ่วงของคาซีได้อย่างไม่ยากลำบากนัก ก่อนจะว่ายด้วยความเร็วพุ่งเข้าหาคาซีพร้อมกัน
‘ปังง!!’
ฉลามใช้ศีรษะใหญ่หนาพุ่งโขกโขดหินที่คาซีเกาะอยู่จนสะเทือน มือสองข้างที่โอบรอบพลันหลุดลื่นจนร่างของคาซีทิ้งดิ่งลงไปเบื้องล่าง
‘เป๊าะ!!’
แต่ก่อนที่ร่างจะตกสู่ผิวน้ำ คาซีพลันดีดนิ้วเพื่อใช้พลังแรงโน้มถ่วงยกตัวเขาให้ลอยขึ้นสู่อากาศ ฉลามตัวใหญ่ที่อ้าปากรออยู่สะบัดหางอย่างโกรธกริ้ว
แต่ยังไม่จบ!! การโจมตีระลอกสองตามมาด้านหลังในจุดที่คาซีมองไม่เห็น
มีดปลายแหลมเฉือนที่สีข้างเป็นทางยาว ชายประหลาดบังคับฉลามให้ดันร่างตัวเองพุ่งขึ้นฟ้าราวกับจรวดก่อนจะใช้มีดเล่มยาวโจมตีคาซีโดยเขาไม่คาดคิด
ผมเบิกตาโพลงมองภาพที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันทำอะไรได้
คาซีหน้าซีดมือกุมบาดแผล ก่อนจะใช้แรงโน้มถ่วงกระหน่ำโจมตีจนผืนน้ำยุบเป็นวง
แต่ก็ไร้ผล เมื่อคู่ต่อสู้ทั้งสองดำลงลึกจนแรงโน้มถ่วงถูกความหนาแน่นของน้ำสลายการโจมตีจนไม่ถึงตัว
ร่างของคาซีค่อย ๆ ลอยตกลงบนโขดหินอีกก้อน ขณะเดียวกันแผ่นไม้ที่เน็กเธอร์เกาะลอยคออยู่กลางทะเลก็ถูกน้ำพัดเข้ามาใกล้ และดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เน็กเธอร์ ระวังใต้น้ำ!!”
ผมร้องตะโกนเมื่อเห็นเงาสองจุดว่ายแหวกขึ้นสู่ผิวน้ำตรงตำแหน่งที่เน็กเธอร์ลอยคออยู่
“เอ็กซเรย์!!”
เน็กเธอร์ใช้พลังพิเศษกับตัวเอง ทำให้ทั้งคมเขี้ยวและคมมีดพุ่งผ่านทะลุร่างเขาไปอย่างไร้บาดแผล คู่ต่อสู้ทั้งสองว่ายถอยห่างอย่างหยั่งเชิงเมื่อเห็นพลังพิเศษของเขา
“ดูท่าจะมีดีกว่าสองคนนั่น”
ชายประหลาดคำราม
“อย่าเอาฉันไปเหมารวมกับเจ้าพวกนั้น มันคนละระดับกันอยู่แล้ว” เน็กเธอร์พูดพลางเลิกคิ้วตีสีหน้ายียวน “แล้วนี่แกมาจากชนเผ่าไหนกัน ทั้งหน้าตาและการแต่งตัวประหลาดสิ้นดี”
เขาอาจหวังให้ศัตรูเสียสมาธิแต่ดูเหมือนจะไร้ผล ชายประหลาดลูบคลำสร้อยคอที่ร้อยเรียงขึ้นจากเศษเขี้ยวของฉลาม พริบตาเดียวฉลามใหญ่ก็ว่ายเข้ามาเคียงข้างราวกับถูกควบคุม
“ชนเผ่าทางตอนใต้ของเกาะกวม[1] มีพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งที่สืบทอดมาแต่โบราณ พวกเราบูชาฉลามเปรียบดั่งเทพเจ้า พวกแกบังอาจเหยียบย่ำเข้ามาในอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และบังอาจสังหารพระผู้เป็นเจ้าของข้า ในนามของ ‘อิกส์เวลพ์’ ข้ารับใช้แห่งฉลาม ขอปลิดชีวิตพวกแกเพื่อเซ่นสรวงแด่ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์”
SSS ในรูปของสร้อยคอเขี้ยวฉลามเปล่งแสงเรืองรอง พลังของมันสามารถควบคุมปลาฉลามที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงให้เคลื่อนไหวได้ดั่งใจ
แม้โชคจะเข้าข้างเพราะตอนนี้มีฉลามอยู่บริเวณนี้เพียงตัวเดียว แต่ลำพังแค่พลังของมันก็สามารถจัดการคนบาดเจ็บสามคนได้ไม่ยาก
เป้าหมายแรกที่มันเลือกคือคนที่ดูท่าทางเคี้ยวง่ายที่สุด นั่นก็คือ... ผม
เฮ้ย!!
ผมสร้างตารางแสงขึ้นต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว แต่เจ้าฉลามกลับว่องไวกว่าที่คิด มันว่ายฉวัดเฉวียนหลบตารางแสงทุกอันได้อย่างง่ายดาย วินาทีแห่งความตายหวนกลับมาเยือนอีกรอบ
“ฉลามน่ะ ไวต่อกลิ่นไม่ใช่เหรอ”
แม้จะเป็นเสียงที่ไม่ดังมากนัก แต่คำพูดของเน็กเธอร์ก็ทำให้ชายประหลาดชะงัก ปลาฉลามที่เขาควบคุมอยู่พลันหยุดการเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน
“แกหมายความว่ายังไง”
เน็กเธอร์ไม่ตอบ แต่กลับล้วงหยิบของบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อ
“โชคดีที่ไอ้นี่ยังไม่เปียก”
เมื่อชายประหลาดเพ่งตามองวัตถุขนาดเล็กในมือของเน็กเธอร์ เขาจึงเริ่มรับรู้ถึงอันตราย
“ไฟแช็ก หรือว่า..”
“แกคิดว่าเรือของฉัน แล่น ได้ ด้วย อะ ไร ล่ะ”
พูดจบ เน็กเธอร์ก็กดสวิตซ์ทันที เปลวไฟสีส้มพวยพุ่งออกมาจากไฟแช็กสี่เหลี่ยมสีทองก่อนจะสั่นวูบเล็กน้อยเพราะแรงลม เขาเขวี้ยงมันเข้าใส่เรือที่อับปางเกยโขดหินใหญ่อยู่ เมื่อเปลวไฟสัมผัสกับน้ำมันที่ไหลทะลักออกมาปนกับน้ำ ไฟจึงลุกพรึ่บลามไหลเข้าสู่ถังน้ำมันทันที
‘ตูมมม!!!’
เรือยอร์ชลำใหญ่ระเบิดอย่างรุนแรง เศษซากทั้งไม้ เหล็ก เครื่องยนต์ ใบพัด ลอยละลิ่วกระจัดกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยกำลังมหาศาล ควันสีดำพวยพุ่งคละคลุ้งปกคลุมทั่วบริเวณจนแสบตา
คาซียิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะดีดนิ้วเสียงดัง
แรงโน้มถ่วงมหาศาล กดให้เศษซากวัตถุทั้งหมดที่ลอยอยู่ พุ่งตกลงสู่ท้องทะเลด้วยความเร็วราวจรวด
“หลบการโจมตีของจุดเดียวของฉันคงไม่ยาก แต่การโจมตีแบบห่าฝนนี่.. จะมีที่ไหนให้แกหลบได้”
ตามปกติ ฉลามเป็นสัตว์ที่มีประสาทรับกลิ่นไวมาก ปริมาณน้ำมันที่รั่วจากเรือยอร์ชแม้เพียงไม่ถึงลิตรมันก็คงได้กลิ่น แต่โชคร้ายที่มันถูกชายประหลาดควบคุมอยู่ ทำให้สัญชาตญาณถูกกลบทับด้วยพลังพิเศษ การโจมตีที่ปกคลุมราวกับเม็ดฝนพร่างพราวจึงไม่มีที่ไหนให้มันหลบพ้น
แท่งไม้แหลม แท่งเหล็ก และเศษซากเรือระดมเสียบร่างของมันจนพรุน ฉลามยักษ์สิ้นใจทันที...
แต่อิกส์เวลพ์กลับมีปฏิกิริยาว่องไว มันรีบมุดน้ำดำลงไปลึกอย่างรวดเร็วพลางนึกในใจอย่างดูแคลน
“เจ้าพวกโง่ ถึงการโจมตีของแกจะรุนแรง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ตกสู่ผิวน้ำ ความหนาแน่นของน้ำก็จะลดทอนความเร็วและความแรงลง สุดท้ายซากเรือพวกนั้นก็จะลอยกลับขึ้นสู่ผิวน้ำเอง หึ หึ หึ”
เพราะมัวแต่ลำพองใจ ชายประหลาดจึงไม่ได้สังเกตว่าเบื้องหลังตรงจุดใกล้ผิวน้ำ ตารางแสงถูกสร้างไว้รอรับวัตถุบางอย่างที่กำลังจะตกลงมา
“ความหนาแน่นของน้ำ.. เอ.. ต้องใช้สูตรอะไรนะ”
ผมพูดพลางรีดเค้นสูตรคำนวณจากสมอง เมื่อคิดได้ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ใบพัดเครื่องยนต์พุ่งผ่านตารางแสงพอดี ตัวเลขในตารางแสดงค่าความหนาแน่นของน้ำก่อนจะทำการหักล้างกันเอง ความเร็วของใบพัดเมื่อพุ่งลงน้ำจึงไม่ถูกลดทอนลงแต่อย่างใด
และปลายทางของใบพัด ก็คือร่างที่ดำดิ่งลงอย่างไม่สนใจเบื้องหลัง ใบพัดเหล็กพุ่งตัดร่างชายประหลาดจนสิ้นใจ ดวงวิญญาณของเขาคงได้เซ่นสรวงต่อเทพเจ้าที่เขานำมาใช้เป็นเครื่องมือฆ่าคนตามที่ตั้งใจไว้...
ณ ห้องใต้ดินอันเงียบงัน เสียงที่ดังก้องมีเพียงหยดน้ำค้างที่สะท้อนตามทางเดินอันมืดมิด ชายหญิงนับสิบยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ด้านหน้าของพวกเขาคือรองหัวหน้ากองโจรเงารัตติกาล ‘ซัทที ซุยวาล์ฟ’
“ข้าส่งอิกส์เวลพ์ไปชิง SSS จากเจ้าพวกมดปลวกที่กล้าหันคมเขี้ยวใส่เงารัตติกาลแล้ว แต่ถึงแม้อิกเวลพ์จะเชี่ยวชาญการต่อสู้ในท้องทะเลและสามารถควบคุมฝูงฉลามได้ ข้าก็ยังไม่ไว้วางใจ”
เสียงเย็นยะเยือกของซัททีกรีดแทงเข้าไปในโสตประสาทของทุกคนที่นี่ บางคนทนกับบรรยากาศตึงเครียดไม่ไหวต้องแหงนหน้ามองเพดาน ซึ่งหากใครไม่รู้คงไม่คาดคิดว่าตรงที่ที่พวกเขายืนอยู่ เหนือขึ้นไปมีสิ่งปลูกสร้างขนาดมโหฬาร ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกตั้งตระหง่านอยู่
“ไนทีเนฟ!!”
ซัททีเรียกชื่อหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ลำพังแค่อิกส์เวลฟ์คงทำงานไม่สำเร็จ ข้าขอมอบหน้าที่จัดการพวกมันให้เจ้า จงอย่าทำให้ความคาดหวังของข้าต้องสูญเปล่า”
เมื่อเธอเดินมาด้านหน้า แสงจากเพดานที่ส่องลอดทะลุรอยแยกของพื้นดิน ก็เผยให้เห็นหน้ากากสีดำสวมอยู่ครึ่งใบหน้าด้านบน พู่ระย้าและขนนกหลากสีประดับประดาโดยรอบ ทำให้หญิงสาวในชุดราตรียาวดูมีเสน่ห์เย้ายวนและลึกลับน่าค้นหา
ไนทีเนฟรับคำ เธอเดินออกจากห้องพร้อมชายสามคนที่เดินตามไป ซัททีไม่แม้แต่จะชายตามองตาม
ที่เหลือในห้องนอกจากเขา มีผู้ชายสามคนและหญิงอีกหนึ่ง ทั้งสี่ยืนนิ่งเงียบรอคำบัญชาจากผู้เป็นนาย
“ส่วนพวกเจ้า.. คือตัวหมากสำคัญของข้า ที่จะเปิดม่านการต่อสู้แห่งอดีตอีกครั้ง!!”
เสียงหัวเราะดังก้อง ซัททีกระเหี้ยนกระหือรือ นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกหฤหรรษ์ขนาดนี้ แม้ไม่อยากให้ภารกิจผิดพลาด แต่ลึก ๆ ในใจเขาแอบหวังให้ลูกน้องที่ส่งไปทำงานไม่สำเร็จ เพื่อจะได้มีโอกาสใช้พลังจาก SSS อันยิ่งใหญ่
น้ำสีครามสดใสของทะเลอาเดรียติกไหลตามกระแสและบีบตัวเองตามภูมิประเทศ ก่อกำเนิดเป็นทะเลสาบน้ำเค็มเวนิเทีย ก่อนจะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเป็นแม่น้ำหลายสาย
บ้านเรือนตั้งอยู่ริมแม่น้ำเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ สถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองซ์พบเห็นได้ทั่วไปจนชินตา ผู้คนแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองราวกับจะสะท้อนภาพความรุ่งเรืองที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน นี่คือเมืองที่ได้ชื่อว่าราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก 'นครแห่งสายน้ำ เวนิส'
เรือประมงแล่นจากเวนิเทียเข้าสู่ปากแม่น้ำโป ก่อนจะมาหยุดนิ่งที่ท่าเรือห่างจากเวนิสไม่ไกล ปลาตัวน้อยใหญ่ถูกลำเลียงลงจากเรือด้วยชาวประมงหนุ่มอย่างขะมักเขม้น กัปตันเรือร่างใหญ่ผิวเกรียมแดดยืนคาบไปป์อยู่บนสะพานเรือมองดูลูกน้องทำงานอย่างพึงใจ ก่อนจะหันมายิ้มให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญสามคนบนเรือ
“เอ้า!! ถึงเวนิสแล้ว โชคดีล่ะพวกหนุ่ม ๆ”
คาซีเดินลิ่วลงจากเรือไม่สนใจใคร ตามด้วยเน็กเธอร์ที่ทำหน้าเบ้เมื่อได้กลิ่นคาวปลาจากเสื้อผ้าของตัวเอง ทิ้งผมที่ค้อมศีรษะขอบคุณกัปตันผงก ๆ ไว้ไม่รอ
“ปัดโธ่!! เหม็นขนาดนี้ สาว ๆ จะมองเราได้ยังไงล่ะ”
เน็กเธอร์เอามืออุดจมูก ก่อนจะสอดส่ายสายตาหาโรงแรมที่ใกล้ที่สุด
ผมรีบวิ่งตามทั้งสองคนเข้าไปในโรงแรม พลางคิดถึงเหตุการณ์หลังจากต่อสู้กับชายประหลาดผู้ควบคุมฉลาม
พวกเราทั้งสามคนต่างเหนื่อยล้าเมื่อการต่อสู้สิ้นสุด คาซีที่เหนื่อยล้าไม่สามารถใช้แรงโน้มถ่วงยกตัวทุกคนให้ลอยไปยังเกาะใกล้เคียงได้ พวกเราจึงทำได้เพียงเกาะโขดหินลอยคออยู่กลางทะเล
โชคดีที่มีเรือประมงผ่านมา ผมจึงสร้างตารางแสงและคำนวณค่าการหักเหของแสงอาทิตย์ที่พุ่งผ่านตาราง ให้ส่องไปกระทบกระจกห้องควบคุมเรือ เมื่อกัปตันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติและรู้ว่ามีคนลอยคออยู่ในทะเล จึงรับพวกเรามา
ผมยังลังเลที่จะก้าวเข้าโรงแรม เพราะสัมภาระของพวกเราจมลงทะเลไปหมดแล้ว รวมถึงเงินที่ต้องนำมาจ่ายเป็นค่าโรงแรมนี่ด้วย แต่เน็กเธอร์เดินไปที่เคาน์เตอร์ที่มีพนักงานสาวสวยฉีกยิ้มต้อนรับอยู่
“อ้าว!! คุณเน็กเธอร์ ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะคะว่าจะมา”
ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนกระซิบถามเน็กเธอร์
“นาย.. รู้จักคนที่นี่เหรอ”
เน็กเธอร์เสหน้ามองอย่างเหนื่อยใจ
“นายคิดว่าโรงแรมในเครือเน็กเธอร์กรุ๊ป มีกี่แห่งล่ะ”
พูดจบก็รับกุญแจจากหญิงสาว โดยไม่วายส่งสายตาเจ้าชู้ให้เธอ เขาโยนกุญแจสองดอกให้ผมและคาซี ก่อนจะแยกตัวขึ้นลิฟต์ไป
ผมดูหมายเลขที่กุญแจ ซึ่งระบุเลขห้องเอาไว้ ก่อนจะไล่นิ้วหาชั้นที่ต้องขึ้นไปในแผนผังโรงแรม
และเพราะมัวแต่จดจ้องกับแผนผัง ไม่ได้มองรอบตัวให้ดี จึงถูกรถเข็นผ้าขนาดใหญ่ชนเข้าอย่างแรง
‘โครม!!!’
ผมกระเด็นไปเกือบสามเมตร ขณะที่รถเข็นยังอยู่ที่เดิม บริกรที่เข็นรถรีบวิ่งมาประคอง
“ขอโทษครับ!! เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
ผมปฏิเสธทั้งที่ยังมึนหัวไม่หาย หัวหน้าพนักงานชายหนวดเรียวโค้งรีบวิ่งเข้ามาพร้อมตะคอกเสียงดัง
“ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้หา” เขาช่วยบริกรประคองผมนั่งก่อนจะหันมาค้อมศีรษะให้ “ขอโทษด้วยนะครับท่าน ผมจะลงโทษเขาเอง”
“มะ.. ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เจ็บอะไร”
บริกรชายหน้าเสีย มองผมด้วยสายตาสำนึกผิด เขาค้อมศีรษะหลายครั้งก่อนจะวิ่งกลับไปเข็นรถตามเดิม
สายตามองตามร่างบึกบึนด้วยความรู้สึกประหลาด แต่ก่อนจะได้ทันคิดอะไรต่อ คาซีก็กระชากแขนผมจนตัวลอย
“จะโอ้เอ้อีกนานมั้ย”
เขามองอย่างอารมณ์เสีย และเดินไปกดลิฟต์แบบหงุดหงิด
“ห้องนายอยู่ข้าง ๆ ห้องชั้น”
ผมทำหน้าเหรอหรา และหยักหน้าอย่างรับรู้
อุณหภูมิในโรงแรมที่เย็น ประกอบกับเสื้อที่ยังไม่แห้งสนิท ผมจึงล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อให้มืออุ่น แต่แล้วปลายนิ้วกลับสัมผัสกับวัตถุบางสิ่ง
“อ๊ะ!! นี่มัน...”
กล่องกระดาษขนาดเล็กทรงสี่เหลี่ยมสีขาวสนิท ตั้งอย่างสงบนิ่งในส่วนลึกสุดของกระเป๋า ผมล้วงหยิบมันออกมามองด้วยความแปลกใจ
แม้จะทำด้วยกระดาษ แต่รูปทรงกลับประณีต เหลี่ยมมุมทุกด้านมิดชิด ขนาดกว้างยาวเท่ากันราวกับถูกบรรจงสรรค์สร้าง เชือกเส้นเรียวเล็กสีทองมัดรอบกล้องอย่างหลวม ๆ
เพียงแค่กระตุกปลายเชือกครั้งเดียว เชือกก็หลุดออกมาพร้อมฝากล่องที่เปิดออก เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ภายใน
“พลาสเตอร์ยา..”
คาซีมองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันหน้ากลับไปที่จอบอกตัวเลขชั้นในลิฟต์
ผมจำไม่ได้ว่าเอาพลาสเตอร์ยาติดมาด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญจึงคิดไปเองว่าแอซซีอาจหยิบใส่กระเป๋ามาให้ด้วยความเป็นห่วง
ผ้ากองโตถูกลำเลียงจากรถเข็นเข้าสู่เครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ บริกรชายทำงานอย่างแข็งขันจนลืมความเหน็ดเหนื่อย ผมสีน้ำตาลสั้นตั้งไม่เป็นอุปสรรคเมื่อเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อสีคล้ำแดดกำยำรับกับใบหน้าคมสัน จมูกโด่งวางตั้งฉากกับคิ้วคมเข้ม ดวงตาสดใสแสดงให้รู้ว่าเขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ลักษณะโดยรวมช่างไม่น่าเชื่อว่าชายคนนี้จะเป็นแค่บริกรในโรงแรม
หัวหน้าพนักงานเดินลิ่ว ๆ มาหยุดยืนตรงหน้า ก่อนจะระเบิดถ้อยคำใส่เป็นชุด
“กี่ครั้งแล้วที่แกซุ่มซ่ามแบบนี้!! ครั้งที่แล้วแขกก็ยกเลิกห้องพักเพราะแกทำท่อน้ำในห้องแตก ครั้งนี้ก็ยังเข็นรถชนแขกอีก ชั้นจะหักเงินเดือนแก”
บริกรหนุ่มค้อมศีรษะให้อย่างสำนึกผิด ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มตอบ
“ได้ครับหัวหน้า ผมยินดีให้หัวหน้าหักเงินเดือนครับ”
หัวหน้าพนักงานตั้งใจจะด่าต่อ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ เขาก็ต้องถอนใจเฮือกใหญ่
“เอาเป็นว่า.. อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกก็แล้วกันนะ ซูอัล”
พูดจบก็หันหลังกลับเดินออกจากห้องไป
บริกรหนุ่มเกาศีรษะแกรก ๆ พลางถอนใจบ้าง
“เราต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอีก...” เขาพูดพึมพำพลางยัดผ้าเข้าเครื่องซักผ้าจนหมด
หลังเสร็จงาน ซูอัลเดินจากโรงแรมตัดถนนเลียบคลองผ่านโบสถ์ซานมาร์โค นักท่องเที่ยวรวมถึงคริสตศาสนิกชนทั้งหลายต่างหลั่งไหลมายังโบสถ์แห่งนี้เพื่อเคารพพระศพของนักบุญมาร์ค นักบุญผู้เสียสละชีวิตตนเองเพื่อศาสนา
ฝูงนกพิราบโผบินจากลานกว้างในจัตุรัสซานมาร์โค และบินย้อนกลับมาอีกครั้งเมื่อมีนักท่องเที่ยวมาโปรยอาหารให้ เสียงระฆังดังเหง่งหง่างลอยตามลมมาจากหอระฆังขนาดใหญ่
ซูอัลมองเวลาจากหอนาฬิกา ใกล้หกโมงเย็นแล้ว เขาเริ่มออกวิ่งแทนการเดินโดยไม่วายประคองถุงกระดาษขนาดใหญ่ไว้อย่างแน่นหนา
เขาเดินข้ามสะพานริอัลโดผ่านตลาดสด พ่อค้าแม่ขายต่างยิ้มแย้มและส่งเสียงทักทายเขาอย่างสนิทสนม เพราะแม้ซูอัลจะไม่ใช่คนอิตาลี แต่ก็อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่จำความได้ ด้วยนิสัยชอบช่วยเหลือและอัธยาศัยที่ดี จึงทำให้ทุกคนรักใคร่และเอ็นดูเขาราวกับลูกหลาน
“ช่วยด้วยครับ ช่วยบูตี้ด้วยครับ!!”
เสียงตะโกนจากทางเดินอีกฝั่งของสะพานเรียกสายตาทุกคู่ให้หันมอง ซูอัลเห็นมือของเด็กชายเจ้าของเสียงชี้ลงไปในคลอง
ลูกแมวสีดำกำลังว่ายปัดป่ายขาเรียวเล็กต้านกระแสน้ำในคลอง แม้น้ำจะไม่ไหลแรงนัก แต่ด้วยวัยที่เยาว์เกินนั้นไม่อาจทำให้ลูกแมวช่วยเหลือตัวเองจากสถานการณ์นี้ได้
เร็วกว่าที่ทุกคนจะทันทำอะไร ซูอัลวางถุงกระดาษลงกับพื้นและวิ่งไม่คิดชีวิต เขากระโดดพุ่งตัวลงคลอง น้ำแตกกระจายดังตูม
ลูกแมวน้อยจมดิ่งลงใต้ผืนน้ำ ซูอัลไม่รอช้ารีบมุดร่างตัวเองตามไป ความเงียบงันปกคลุมชั่วขณะ ทุกสายตาจับจ้องที่ผืนน้ำและต่างภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้า
.....
.....
‘ซู่!!!’
ร่างลูกแมวถูกยกขึ้นเหนือน้ำ มันตัวสั่นเทิ้มด้วยความหนาว ซูอัลรีบแนบมันกับอกก่อนจะว่ายเข้าฝั่ง
เด็กน้อยรีบถอดเสื้อตัวเองห่อร่างแมวน้อยไว้ มันครางเสียงเบา ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมอกผู้เป็นเจ้าของ ซูอัลเสยผมเปียกลู่ให้ตั้งตรงเหมือนเดิม ก่อนจะขยี้ศีรษะเด็กน้อยเบา ๆ
“ดูแลมันให้ดีนะ”
เด็กน้อยยิ้มเห็นฟันหลอ เขาโค้งศีรษะรับคำก่อนจะวิ่งกลับบ้านอย่างดีใจ เสียงไชโยโห่ร้องจากชาวบ้านที่ร่วมลุ้นในเหตุการณ์ทำให้ซูอัลตีสีหน้าขวยเขิน เขาเกาศีรษะแกรก ๆ ก่อนเดินกลับไปอุ้มถุงกระดาษและเดินเลี้ยวตรงหัวมุมถนนไปตามทาง
เมื่อถึงจุดหมาย เสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเด็กนับสิบก็ดังพร้อมเสียงวิ่งกรูเข้าหาซูอัล ป้ายด้านหน้าประตูที่เขาหยุดยืนเขียนด้วยลายมือบรรจงว่า
“สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าซานมาร์โค”
เหล่าเด็กน้อยต่างรุมล้อมหน้าหลังของซูอัลราวกับฝูงมดตอมของหวาน เขายิ้มอย่างร่าเริงและล้วงหยิบขนมยื่นให้เด็กทุกคน เขามักได้ขนมหรือไม่ก็อาหารที่เหลือจากร้านในโรงแรมที่พ่อครัวแม่ครัวแบ่งปันให้อย่างยินดีเสมอ ๆ และของกินเหล่านี้ก็ตกมาถึงเด็กน้อยทั้งหลายที่รอคอยการกลับมาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
‘แอ๊ดด!!’
เสียงประตูบ้านที่เหมือนไม่ได้หยอดน้ำมันมานานเปิดดังขึ้น หญิงชราร่างท้วมท่าทางใจดีเดินอย่างทุลักทุเลแต่ไม่ลืมส่งรอยยิ้มให้ซูอัลอย่างเอ็นดู
“อย่าฝืนสิครับ คุณแม่”
เขาพูดพลางเดินมาประคองร่างของเธอ แต่หญิงชราส่ายศีรษะ
“ถ้าไม่ได้เดินเหินบ้าง เดี๋ยวแขนขาจะเป็นเหน็บซะหมด แล้วนี่.. ทำไมตัวถึงเปียกปอนแบบนี้ล่ะลูก”
ซูอัลยิ้มไม่ตอบ หญิงชรารับรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องช่วยคนอื่นจนตัวเองเดือดร้อนอีกแล้ว เพราะนี่คือกิจวัตรที่เธอเห็นได้เป็นประจำจากเขา
เหล่าเด็กน้อยเมื่อท้องอิ่ม ก็วิ่งไปเล่นที่สวนหลังบ้านทั้งที่คราบขนมยังเลอะปาก
ซูอัลประคองหญิงชราไปที่ม้านั่งข้างรั้ว สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้แม้สภาพจะทรุดโทรม แต่ก็ดูสะอาดตาเพราะซูอัลปัดกวาดเช็ดถูทุกวัน
อันที่จริงถึงเขาจะเรียกหญิงชราว่าแม่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ซูอัลเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่นำมาทิ้งไว้หน้าบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ ซึ่งเมื่อก่อนบ้านแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยซ้ำ เป็นเพียงบ้านของมหาเศรษฐีคนหนึ่ง
เมื่อเขาและภรรยาเห็นเด็กน้อยในตะกร้าถูกวางไว้หน้าบ้าน เขาจึงรับเลี้ยงเด็กคนนี้เสมือนลูกของตัวเอง ซึ่งเพราะความรักเด็กของทั้งคู่ จึงเปิดบ้านของตัวเองให้เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือเด็กที่ถูกทอดทิ้ง
โชคร้าย.. หลังจากนั้นไม่กี่ปี เศรษฐีก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทิ้งให้ภรรยาต้องอยู่เพียงลำพัง เธอซึ่งไม่เคยทำงานมาก่อนดำรงชีพด้วยทรัพย์สินที่เศรษฐีทิ้งไว้ให้ ครั้นจะออกไปหางานทำก็เป็นห่วงเด็กน้อยนับสิบชีวิตที่เธอรับเลี้ยงไว้ จนทำให้สภาพบ้านใหญ่โตแห่งนี้ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา รวมถึงทรัพย์สินที่เคยมีมหาศาล ก็ร่อยหรอลงแทบไม่เหลือ
ซูอัลที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี สำนึกในบุญคุณของทั้งคู่ เขาต้องออกจากโรงเรียนก่อนเวลาอันควรเพื่อมาทำงานหาเลี้ยงทุกปากท้องในบ้านหลังนี้ แต่เขาไม่เคยนึกบ่นหรือน้อยใจ กลับขยันทำงานอย่างแข็งขันจนหญิงชรารู้สึกซาบซึ้งในความกตัญญูของเขา
หญิงชรามองซูอัลที่ปัดหยากไย่อย่างเอ็นดู แต่แล้วเธอก็ต้องมีสีหน้าอ่อนล้า เมื่อได้ยินเสียงรถที่แล่นมาจอดหน้าประตู
เสียงรองเท้าดังกระทบพื้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูรั้ว หญิงชราฝืนดันร่างตัวเองลุกจากม้านั่ง เธอเดินมายืนรอร่างที่พุ่งตรงมาหา
“เป็นยังไงบ้างครับแม่ วันนี้กินอะไรรึยัง ผมซื้อเนื้อแกะอบมาฝาก”
ชายหนุ่มผมยาวสวมชุดสูทเนี้ยบยื่นกล่องอาหารให้ แต่หญิงชราไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง
“บอกบรูโน่ด้วย ว่าฉันขอเวลาอีกหน่อย รับรองว่าจะใช้หนี้ให้เร็วที่สุด”
ชายผมยาวถอนใจ เขาวางกล่องอาหารบนโต๊ะ เข็มกลัดที่หน้าอกบ่งบอกสัญลักษณ์ตำแหน่งในแก๊งมาเฟียที่เขาถือครองอยู่
“แม่ก็รู้ ว่าบอส.. เอ่อ.. ผมหมายถึงคุณบรูโน่ ให้เวลาแม่มานานแล้ว”
หญิงชรากำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น เธอเม้มปากด้วยความคับแค้น ชายเบื้องหน้าคือคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูกชาย’ ที่แท้จริงของเธอ
เธอตั้งครรภ์หลังจากรับเลี้ยงซูอัลได้ไม่ถึงปี เด็กน้อย ‘มัลโก้’ เกิดและเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่ แต่เขากลับสร้างปมด้อยให้ตัวเอง โดยนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงอย่างซูอัล
ทั้งผลการเรียน ความสามารถด้านดนตรี กีฬา หรือกิริยามารยาท ซูอัลล้วนเหนือกว่ามัลโก้อย่างสิ้นเชิง คนที่รู้จักสามีภรรยาเศรษฐีต่างพากันชื่นชมซูอัลจนทำให้มัลโก้เกิดความอิจฉาริษยา
มัลโก้พยายามกลั่นแกล้งซูอัลสารพัด ทั้งการดูถูกเหยียดหยาม การทำลายของเล่นของใช้ของซูอัล หรือการรวมกลุ่มกับเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้งซูอัล แต่ซูอัลไม่เคยปริปากหรือบอกพ่อแม่บุญธรรมของเขาเลย
แต่สิ่งที่ทำให้มัลโก้อับอายที่สุด คือการที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากซูอัล...
วันหนึ่งในหน้าร้อนขณะที่พวกเขาปิดเรียนชั้นมัธยมต้น มัลโก้ไปสุมหัวกับเพื่อนเกเรในก๊วนของตน พวกเขาเสพยากันในบ้านของสมาชิกคนหนึ่ง แต่เพราะชาวบ้านแถวนั้นรู้เข้าจึงแจ้งตำรวจให้บุกเข้าจับกุม
บางคนที่ยังมึนเพราะฤทธิ์ยา ถูกรวบตัวอย่างง่ายดาย แต่มัลโก้กลับรวดเร็วและหนีรอดออกมาได้ เขาวิ่งเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ สมองบีบรัดจนหัวแทบระเบิด แต่เด็กหนุ่มไม่อาจหยุดฝีเท้าได้เนื่องจากหากถูกจับ เขาคงโดนพ่อและแม่โกรธเกลียด
แต่โชคร้าย.. ปลายทางของตรอกที่มัลโก้วิ่งเข้าไปเป็นทางตัน เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังก้องสะท้อนกำแพงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรากจากสองตาเด็กหนุ่ม มัลโก้คิดถึงอนาคตที่ดับวูบลงในคุก
แสงสว่างพลันดับลง เมื่อมีบางอย่างปกคลุมร่างของเขาไว้ มัลโก้พยายามดิ้นรน แต่อุ้งมือหนาที่บีบไหล่เขาและน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหว
“ซ่อนในนี้ก่อน เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
ชายที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิต กลับใช้ผ้าผืนหนาคลุมร่างเขาไว้ ซูอัลยืนนิ่งรอรับการจับกุมของตำรวจโดยสดุดี เขายอมรับผิดแทนมัลโก้และต้องติดคุกโทษฐานเสพยานับสิบปี
เศรษฐีและภรรยาไม่เชื่อว่าซูอัลทำผิดจริง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคนที่ถูกจับควรจะเป็นมัลโก้ แต่เพราะความรักลูกทำให้พวกเขาไม่กล้าเอ่ยปาก จึงทำได้เพียงมองดูซูอัลในคุกด้วยความเศร้า
แต่ซูอัลกลับยิ้มร่า เขาใช้ชีวิตในคุกอย่างนักโทษชั้นดี ไม่เคยก่อปัญหาและช่วยทำงานสารพัดจนเป็นที่รักของทุกคน เขาได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดหลายปี
เมื่อซูอัลกลับบ้านก็พบเห็นแต่แม่บุญธรรมและเหล่าเด็กกำพร้าที่อยู่ในบ้านสภาพทรุดโทรม ส่วนมัลโก้ไม่อยู่ในบ้านหลังนี้เสียแล้ว...
หญิงชรากระแอมเมื่อเห็นมัลโก้นิ่งไปนาน เขากลับออกจากภวังค์และมองหน้าเธออย่างขุ่นเคือง
“เดี๋ยวผมจะกลับไปบอกคุณบรูโน่ให้ แต่ไม่รู้หรอกนะ ว่าเขาจะยอมหรือเปล่า”
มัลโก้หมุนตัวออกจากบ้านโดยไม่วายทิ้งคำขู่ไว้
“แล้วผมจะกลับมาใหม่.. เร็ว ๆ นี้”
[1] กวม (Guam) เกาะหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นดินแดนที่ยังไม่ได้ปกครองตนเองของสหรัฐอเมริกา