บทที่ 28 : ความตาย
แม้ในใจจะนึกเป็นห่วงหญิงสาวที่ปรากฏตัวมาเพื่อช่วยเหลือ แต่ซูอัลก็ต้องข่มใจวิ่งสุดฝีเท้า เส้นทางข้างหน้าแคบลงเนื่องจากผาหินสองข้างทางบีบตัวโอบเข้าหากันจนเหลือความกว้างแค่คนเดียวผ่าน ถนนลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ จนชายหนุ่มต้องออกแรงมากกว่าเดิม
และเมื่อวิ่งขึ้นมาจนสุดทาง ภาพเบื้องหน้าก็ทำให้ซูอัลยิ้มได้
เหนือสุดของถนน ปรากฏกำแพงสีดำทะมึนตั้งขวางอยู่ และแน่นอนว่าเบื้องหลังกำแพงใหญ่นี้ คือเป้าหมายของพวกเขา
ปราสาทเงารัตติกาล!!
นิ้วมือแข็งแกร่งสอดยึดจับเข้าไปที่ช่องรอยบิ่นแหว่งของกำแพง ก่อนข้อแขนจะดึงร่างใหญ่ขึ้นไป สองเท้าป่ายปีนอย่างชำนิชำนาญ ซูอัลใช้เวลาและแรงกายเพียงครู่ก็พาตัวเองขึ้นไปยืนอยู่บนขอบกำแพงได้อย่างไม่ลำบากนัก
ภายนอกปราสาทยังวางกองกำลังเพื่อต้อนรับพวกเขาอย่างเอิกเกริกขนาดนั้น ด้านในคงตึงมือมากกว่าเดิม พลังพิเศษอีกเพียงครั้งเดียวในวันนี้ไม่อาจใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ซูอัลจึงต้องระวังตัวให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกพบเห็นจากนักฆ่าด้านในปราสาท
ปีกซ้ายของปราสาทซึ่งเป็นตำแหน่งที่ซูอัลมาถึง เป็นสวนกว้างที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมรกครึ้ม บนท้องฟ้าไร้แสงอาทิตย์สาดส่องให้ความสว่างสมเป็นมิติเฉพาะแห่งเงารัตติกาล แต่นั่นก็นับเป็นข้อดีที่ทำให้ซูอัลแฝงตัวเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบในความมืดมิด
ชายหนุ่มเอาหูแนบพื้นดิน ความรู้ที่ได้จากการดูหนังถูกนำมาใช้ในชีวิตจริงได้อย่างน่าทึ่ง แรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ที่ส่งผ่านพื้นดินสู่แก้วหูบ่งบอกว่าในระยะไม่ไกลนี้มีการเคลื่อนไหวของมนุษย์อยู่
ซูอัลวางแผนในใจ เขาจะลอบเข้าไปในปราสาทอย่างเงียบเชียบพยายามไม่ให้ศัตรูรู้ตัว หากไม่สามารถสมทบกับเพื่อนได้ทันก่อนวันใหม่ที่เขาใช้พลังได้อีก 3 ครั้ง เขาจะบุกเข้าไปยังส่วนใจกลางของปราสาท ซึ่งนั่นน่าจะเป็นที่อยู่ของหัวหน้าเงารัตติกาล
และเมื่อถึงตอนนั้น พลังพิเศษเพียงครั้งเดียวที่เหลือน่าจะใช้ประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อย
‘กึก!!’
“กะ.. เกิดอะไรขึ้น!!”
ร่างกายที่ตั้งใจจะลุกเพื่อเคลื่อนที่ต่อกลับแข็งค้างราวรูปปั้น แม้สมองจะพยายามสั่งการ แต่เส้นประสาทกลับไม่ทำงานตามปกติ
ซูอัลฝืนเกร็งสุดกำลัง กล้ามเนื้อกระตุกเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปน แต่ร่างก็ยังหมอบแนบกับพื้นดังเดิม
สัมผัสถึงอันตรายแต่ชายหนุ่มไม่อาจเอี้ยวคอไปยังร่างที่แผ่จิตสังหารออกมาได้
“แย่แฮะ เหยื่อคนแรกกลับจับได้ตัวกระจอกแบบนี้ซะได้”
เสียงกังวานจากด้านบนทำให้ซูอัลรู้ว่าตนพลาดไปถนัด!!
เพราะระวังเพียงศัตรูด้านในปราสาทกับศัตรูที่อาจอยู่รอบ ๆ ชายหนุ่มจึงลืมคิดไปว่าด้านบนต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นรายล้อมอาจมีศัตรูที่เฝ้าดักรออยู่
“ตัวใหญ่แบบนี้ จะแบกกลับห้องยังไงดีล่ะ”
น้ำเสียงใหญ่ยังบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไม่สนใจซูอัล เพราะดวงตาที่ไม่อาจเหลียวกลับไปมองได้ เขาจึงมองไม่เห็นว่าศัตรูที่นั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้คือชายชราร่างสูงผอม กล้ามเนื้อที่แข็งแรงทำให้ดูหนุ่มกว่าอายุจริงอยู่พอสมควร ดวงหน้าตอบกับเบ้าตาลึกเพิ่มความหน้ากลัวให้นักฆ่ารายนี้ยิ่งขึ้น ชุดกั๊กสีดำมีอุปกรณ์เดินป่ายัดใส่จนพอง รองเท้าบู๊ทพื้นแหลมกับปืนลูกซองที่สะพายข้างไหล่ทำให้รู้ว่านักฆ่ารายนี้มีอาชีพนายพราน
เขาปีนลงมาจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว ฝีเท้าเบาแทบไม่ทำให้ซูอัลรู้สึกว่านักฆ่าเดินเข้ามาใกล้
“ถ้าแบกไปทั้งตัวไม่ไหว.. งั้นก็ต้อง แบก ไป เป็น ชิ้น สิ นะ!!”
มีดขนาดใหญ่ถูกล้วงจากช่องเสียงบนกั๊กหนา ดวงตาปูดโปนจ้องซูอัลที่กระดุกกระดิกไม่ได้ราวกับเห็นอาหารอันโอชะ คมมีดสะท้อนแสงไฟจากกำแพงปราสาทกระทบบนพื้นจนซูอัลเหงื่อซึมแผ่นหลัง
“ฉันมันคนใจดีซะด้วยสิ ถึงพลังพิเศษ ‘สตัฟฟ์’ของฉันจะทำให้แกตอบโต้ไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ชอบทรมานสัตว์ที่ถูกล่าเสร็จแล้วหรอก”
เอกอน ทวิสเตอร์ นักฆ่าผู้เชื่อมต่อ SSS ‘โพลียูรีเทนของคาร์ล อคีเลย์’[1] เป็นนักฆ่าผู้เฝ้าสวนปีกซ้ายของปราสาท เพราะพลังพิเศษที่สามารถ ‘ทำให้ศัตรูตกอยู่ในสภาพถูกสตัฟฟ์’ หากเหยียบลงในพื้นที่ที่กำหนดเอาไว้ ซูอัลที่ไม่รู้ว่าพื้นหญ้ามีกับดักวางอยู่จึงตกอยู่ในพื้นที่การใช้พลังพิเศษของเอกอน และถูกทำให้ร่างกายแข็งทื่อราวกับสัตว์สตัฟฟ์เช่นนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้แกไปสบายอย่างเร็ว”
ปลายมีดจ่อที่กลางหลังของซูอัลค่อนไปทางด้านซ้าย ตำแหน่งนั้นคือตำแหน่งของอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย นั่นคือ... หัวใจ!!
‘ฉึก!!’
คมมีดทิ่มลงไปเต็มแรง โลหะสีเงินแวววับทะลุผ่านกลางหลังของซูอัลเข้าไปอย่างง่ายดาย ปลายมีดปักค้างอยู่ตำแหน่งกึ่งกลางหัวใจพอดิบพอดี
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นมุมปาก เอกอนพ่นลมหายใจเบา ๆ อย่างสาใจที่การจัดการศัตรูผู้บุกรุกช่างง่ายดายราวปอกกล้วยเข้าปาก
แต่รอยยิ้มเริ่มหุบลงเมื่อสัมผัสที่ฝ่ามือกลับรู้สึกแปลกประหลาด...
เพราะความลิงโลดที่จัดการศัตรูได้โดยง่าย ทำให้พรานหนุ่มลืมสัมผัสเมื่อครั้งจัดการเหยื่อมาหลายต่อหลายครั้งในอดีต ความรู้สึกจากปลายมีดที่แทงทะลุเนื้อส่งผ่านสู่ฝ่ามือหยาบกร้านทุกครั้งที่ปลิดชีพศัตรู แต่ครั้งนี้มันกลับไม่เหมือนเดิม
ไม่มีความรู้สึกของการ ‘แทง’
มีเพียงความรู้สึก ‘ว่างเปล่า’
ซูอัลคงจะตายไปแล้ว หากมีดที่ปักค้างอยู่ตำแหน่งหัวใจของเขา อยู่ ใน มิ ติ เดียว กับ ตน!!!
“X-Ray!!!”
มือโผล่ขึ้นจากพื้นดินที่มีหญ้าหนาปกคลุม ข้อเท้าของเอกอนถูกคว้าหมับอย่างแรงก่อนร่างจะโดนกระชากลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว
และก่อนที่ร่างจะจมหายลงไปในพื้นทั้งหมด สายตาของเอกอนที่จ้องค้างอยู่ที่ข้อเท้าของซูอัล ก็ทำให้นักฆ่ารู้ว่าเหตุใดมีดที่แทงทะลุร่างศัตรูจึงไม่อาจเอาชีวิตเขาไปได้
มืออีกข้างของศัตรูลึกลับโผล่ขึ้นมาจากพื้นเข้าจับข้อเท้าของชายหนุ่มที่ถูกสตัฟฟ์ และมือนั้นก็คงถ่ายทอดพลังพิเศษชนิดเดียวกับพลังที่กำลังลากร่างเขาทะลุลงไปใต้ผิวดิน
เมื่อรู้ตัว ก็สายเกินไปแล้ว... พรานชราถูกฝังทั้งเป็นโดยไม่ทันได้เห็นหน้าศัตรูที่ปลิดชีพตน
เมื่อผู้เชื่อมต่อตาย พลังพิเศษก็หายไป ซูอัลรีบดีดตัวผึงขึ้นยืน จังหวะเดียวกับเน็กเธอร์ที่โผล่พรวดจากพื้นดินราวตัวตุ่น
“นายนี่มันไม่รอบคอบเลยนะ ต้องเป็นภาระฉันอยู่เรื่อย”
ซูอัลค้อมศีรษะขอบคุณเน็กเธอร์ โชคดีที่ชายหนุ่มลอบเข้ามาที่ปราสาทในตำแหน่งใกล้เคียงกับซูอัล เมื่อเห็นเพื่อนกำลังตกอยู่ในอันตราย สมองจึงวางแผนเพื่อช่วยเหลือและจัดการศัตรูได้ในคราวเดียวกัน นับว่าเซนส์ในการต่อสู้ของเน็กเธอร์ยังคงชาญฉลาดอย่างน่าสะพรึงกลัว
ไม่จำเป็นต้องสะเดาะกลอนหรือออกแรงงัดทำลายประตูหน้าต่าง ด้วยพลังพิเศษ ‘ทะลุผ่าน’ ของเน็กเธอร์ก็พาให้ร่างของชายหนุ่มทั้งสองเล็ดรอดเข้ามาในปราสาทเงารัตติกาลได้โดยง่ายดาย
ทางเดินยาวปูด้วยพรมหนานุ่มสีเลือดหมู แสงไฟสลัวจากตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนติดเรียงรายบนผนังส่องแสงก่อกำเนิดเงาวูบวาบสั่นไหวคล้ายสัตว์ประหลาดในจินตนาการ หลายครั้งที่เน็กเธอร์และซูอัลต้องก้มตัวหลบเงาวูบไหวบนพื้นด้วยความระแวง
“นี่เราเดินมาตั้งนานแล้วนะ ทำไมถึงไม่เจออะไรซักที”
เน็กเธอร์บ่นอย่างหัวเสียเมื่อทางเดินหลังจากที่เขาเข้ามาจากอาคารปีกซ้ายปราสาท กลับทอดยาวไปด้านหน้าอย่างไม่เห็นจุดหมาย ทั้ง ๆ ที่เมื่อมองจากภายนอก ตัวปราสาทก็ไม่น่าจะยาวขนาดนี้
กำแพงสองข้างทางมีตะเกียงแขวนเรียงรายในระยะห่างที่เท่ากัน พื้นทางเดินก็ปูพรมลวดลายเดียวกัน สีเดียวกัน ทั้งคู่ร้อนรนจนเปลี่ยนจากเดินอย่างระแวดระวังมาเป็นวิ่งสุดกำลัง แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เส้นทางก็ดูเหมือนจะไม่มีจุดหมายปรากฏ ทั้งคู่วิ่งเต็มแรงมาเป็นเวลานานจนเรี่ยวแรงเริ่มเหือดหาย
และไม่ว่าจะพยายามเคลื่อนที่ไปข้างหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูราวกับทั้งสองคนวิ่งวนอยู่กับที่เหมือนหนูวิ่งวนอยู่ในวงล้อมากขึ้นเท่านั้น
เน็กเธอร์และซูอัลไม่รู้เลย ว่าตัวเองตกอยู่ภายใต้พลังพิเศษของนักฆ่าแห่งเงารัตติกาลตั้งแต่ย่างเท้าก้าวเข้ามาในปราสาทแล้ว
‘ซูโบ จีเนอร์’ นักฆ่าผู้ใช้พลังพิเศษ ‘แถบเมอบิอุส’[2] ยืนมองดูผู้บุกรุกทั้งสองที่วิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยจนหอบลิ้นห้อย แม้ชายหนุ่มร่างเล็กจะยืนอยู่ด้านหน้าของเน็กเธอร์และซูอัล แต่ทั้งสองกลับมองไม่เห็น เพราะพลังพิเศษของซูโบคือการสร้าง ‘ทางเดินที่ไม่มีวันสิ้นสุด’ เช่นเดียวกับการลากเส้นบนวงแหวนเมอบิอุส ที่สามารถวนกลับมายังจุดเริ่มต้นได้เสมออย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเน็กเธอร์และซูอัลย่างกรายเข้ามาในพื้นที่พิเศษ พวกเขาจึงถูกตัดขาดจากพื้นที่ภายนอกอย่างสิ้นเชิง
“วิ่งอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ออกไปตั้งหลักนอกปราสาทดีกว่า”
เน็กเธอร์พูดเชิงขอความเห็น แต่ไม่ต้องรอคำตอบของซูอัลเขาก็ลงมือทันที
“X-Ray!!!”
เขาคว้าแขนซูอัลและใช้พลังพิเศษทะลุผ่าน ก่อนวิ่งเข้าใส่กำแพงปราสาทเพื่อออกสู่ด้านนอก
‘โครม!!!’
ร่างทั้งสองชนกับกำแพงอย่างจังจนกระเด็นกลับหลังล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เน็กเธอร์คลำสะโพกป้อย ๆ พลางครางอย่างงงงัน
“นี่มัน.. เรื่องบ้าอะไรกัน!!”
ความเหนื่อยล้าที่ถาโถมใส่จนแข้งขาสั่น บวกกับพลังพิเศษที่ไม่อาจช่วยให้หลุดรอดจากสถานการณ์นี้ได้ ยิ่งทำให้อารมณ์ของเน็กเธอร์ปะทุขึ้นจนสีหน้าเขาดุดันราวกับพยัคฆ์ร้าย
“ใจเย็น ๆ ครับ ขอผมลองดูบ้าง”
ซูอัลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความมุ่งมั่น
“X’Mas Gift!!!”
กล่องของขวัญกล่องยาวปรากฏขึ้นด้านหน้า แม้นี่จะเป็นกล่องสุดท้ายของวัน แต่วินาทีนี้ซูอัลไม่ลังเลใจที่จะใช้มัน
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นของในกล่องหลังจากฝากล่องสี่ด้านเปิดอ้าออก หอกเล่มยาวถูกกระชับแน่นในมือซูอัล เขาทั้งพลิก หมุน ควงไปมารอบ ๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าอาวุธยาวนี้จะช่วยให้พวกเขาทั้งคู่หลุดรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร
ซูโบมองเหยื่อทั้งสองแล้วหัวเราะคิกคัก ชายร่างเล็กในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่ไม่เข้ากับขนาดร่างกายยืนห่อไหล่ราวคนไม่มั่นใจในตัวเอง แม้ดูภายนอกนักฆ่ารายนี้จะเหมือนคนปกติธรรมดา แต่ความวิปริตในจิตใจของซูโบกลับมีมากกว่าฆาตกรใจโฉดหลายสิบเท่า
ความหฤหรรษ์ที่นักฆ่าหนุ่มชื่นชอบที่สุดคือการ ‘กักขัง’ เหยื่อไว้ในพื้นที่วงแหวนเมอบิอุส ซูโบจะนั่งมองเหยื่อวิ่งวนไปมาหาทางออกด้วยอาการสนอกสนใจราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ เหยื่อที่ถูกขังจะดิ้นรนหาทางออกอย่างลนลาน สีหน้าและแววตาตื่นกลัวยิ่งกระตุ้นให้ซูโบบ่มเพาะความวิปริตในใจมากยิ่งขึ้น เมื่อจิตใจของเหยื่ออ่อนล้าถึงขีดสุด บวกกับร่างกายที่ขาดทั้งอาหารและน้ำมาเป็นเวลานาน เหยื่อก็จะสิ้นใจตายในสภาพที่น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
นั่นคือช่วงเวลาที่ซูโบรอคอย!!
ความรู้สึกที่ได้เห็นภาพนั้นราวกับว่าเขาได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะ เป็นความสุขที่ไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบเทียมได้ และอีกไม่นานซูโบก็จะได้ลิ้มรสชาติอันคุ้นเคยอีกครั้งจากเหยื่อรายใหม่ทั้งสองคนนี้
ซูอัลลองเหวี่ยงฟาดหอกไปยังพื้นที่ว่าง โดยหวังจะให้โดนศัตรูที่อาจจะล่องหนหายตัวอยู่ใกล้ ๆ แต่ต่อให้ออกแรงจนเหนื่อย สิ่งที่หอกฟาดโดนก็มีเพียงอากาศ
เน็กเธอร์ลูบคางพลางครุ่นคิด
“ของในกล่องของขวัญที่นายได้ ไม่เคยมีสักครั้งที่ออกมาแบบไม่มีความหมายใช่มั้ย”
ซูอัลคิดตาม ตั้งแต่เขาเปิดกล่องของขวัญมาแต่ละครั้ง มันช่วยให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายมาได้ตลอด เขาจึงพยักหน้าสำทับคำพูดของเน็กเธอร์
“ถ้าอย่างนั้น... แสดงว่านายใช้มันผิดวิธี”
แม้จะพูดไปโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็ทำให้ซูอัลเกิดไอเดีย
“จริงสิครับ นอกจากจะใช้แทงแล้ว หอกยังใช้....”
ไม่จำเป็นต้องพูดให้จบ ซูอัลง้างแขนเต็มแรง ก่อนพุ่งหอกซัดไปด้านหน้าสุดกำลังหอกพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วมหาศาลไปด้านหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย
ซูโบยิ้มกริ่มมองหอกยาวอย่างย่ามใจ แม้ตำแหน่งของมันจะพุ่งตรงมาหาตนเองแต่นักฆ่าหนุ่มก็ไม่หวาดเกรงแม้แต่น้อย
แต่.. มันไม่มีทีท่าจะหยุด!!
หอกยังคงพุ่งตรงมาเรื่อย ๆ ราวกับมิติที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษไม่อาจหยุดยั้งอาวุธยาวนี้ได้
“ฮะ.. เฮ้ย!!!”
เพียงเสียงร้องที่เปล่งจากปาก ปลายโลหะแหลมก็เสียบแทงเข้าที่ช่องท้องก่อนแรงอัดกระแทกจะลากร่างเล็กของซูโบลอยกระเด็นไปติดกำแพงปักค้างเติ่งราวกับลูกธนูถูกยิงสู่เป้า
ซูโบหายใจกระตุกสองสามครั้งก่อนวิญญาณจะหลุดลอยจากร่างโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
เพราะความมั่นใจในพลังพิเศษ ประกอบกับเหยื่อที่จัดการแต่ละคนนั้นถูกกำจัดอย่างง่ายดาย ทำให้ซูโบไม่รู้ข้อจำกัดของพลังตนเอง มิติวงแหวนเมอบิอุสของเขาสามารถตรึงเหยื่อที่ ‘อยู่บนพื้น’ ให้ถูกขังอยู่ในเส้นทางที่ไม่สิ้นสุด แต่หอกที่ถูกขว้างนั้นลอยอยู่ในอากาศ จึงอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของพลังโดยที่ซูโบเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
แถบเมอบิอุสหายไป พร้อมการปรากฏภาพนักฆ่าแห่งเงารัตติกาลที่ถูกตรึงร่างค้างอยู่บนกำแพงสู่สายตาของผู้เชื่อมต่อทั้งคู่
ซูอัลตีสีหน้าสลดเมื่อเห็นสภาพศัตรูที่ขาดใจตายคาอาวุธที่เพิ่งปล่อยจากมือเขา แม้ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นศัตรูที่หมายเอาชีวิต แต่เขาก็ไม่ต้องการเข่นฆ่าใครทั้งนั้น เน็กเธอร์เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนจึงตบบ่าก่อนเดินนำชายหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว
‘วูบ!!’
เงาร่างเคลื่อนไหวคล้ายภูติพราย ทั้งสองคนดีดตัวชิดกำแพงอย่างระวัง เน็กเธอร์เตรียมใช้พลังพิเศษเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
แต่แล้วร่างของเขากลับเกร็งค้าง สติที่เขม็งเป็นเกลียวจนตึงเปรี๊ยะคลายลงราวกับสมองว่างเปล่า ซูอัลเองก็ไม่ต่างกัน ร่างของทั้งสองแข็งทื่อราวรูปปั้น
น้ำเสียงเบา ๆ ดังกรอกที่หู ถ้อยคำไม่กี่คำตอกย้ำเข้าสู่ประสาทรับรู้ จากประโยคสั้น ๆ ที่เป็นเพียงคำพูด กลับติดตรึงในสมองและจิตใจจนกลายเป็นเจตจำนงที่ทั้งคู่ต้องทำตาม
สองสายตามองจ้องประสานกัน แต่แววตาที่เคยเป็นมิตรบัดนี้กลับแปรเปลี่ยน เน็กเธอร์และซูอัลจ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“แก.. ตาย!!!”
สองร่างทะยานเข้าฟาดฟัน ปลายเท้าถีบเข้าที่หน้าอกจนกระเด็นหงายหลังไปกระแทกกำแพง แต่ความเจ็บปวดกลับไม่อาจหยุดยั้งเจตนาฆ่าฟันของเน็กเธอร์และซูอัลได้ เพียงปลายเท้าสัมผัสพื้น ร่างก็ดีดพุ่งกลับเข้าหากันอีกครั้ง สองหมัดสองเท้าโรมรันพันตูหมายเอาชีวิตของอีกฝ่าย
จากมิตรแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู
จากช่วยเหลือแปรเปลี่ยนเป็นเข่นฆ่า
เจตจำนงในใจของทั้งสองคนกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงเพราะสบตากับรองหัวหน้าเงารัตติกาลสาว อาทาโพเอล...
แม้ซูอัลและเน็กเธอร์จะเข้าถึงตัวปราสาทก่อนคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วคนที่สามารถเข้ามาในบริเวณปราสาทเป็นคนแรกคือเซราห์ โนอาห์บินวนเป็นวงกลมด้านบนดูลาดเลาขณะที่เซราห์ใช้แส้เถาวัลย์ส่งร่างตัวเองปีนขึ้นกำแพงสูงอย่างไม่ยากเย็นนัก
และเพราะอยู่ในปราสาทมาเป็นเวลานาน โนอาห์จึงรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี เซราห์เดินอย่างเงียบเชียบในทิศทางที่โนอาห์บินนำ ทุกประตูทางเข้าปราสาทย่อมมีนักฆ่าเฝ้าระวังอยู่ ไม่มีทางเข้าใดที่ปราศจากการป้องกัน โนอาห์บินวนอย่างใช้ความคิดขณะที่เซราห์หยุดซุ่มหลังพุ่มไม้คอย
ถ้าเข้าไปในปราสาทย่อมมีคนเห็น
เพราะฉะนั้น.. ถ้าจะเข้าไปอย่างปลอดภัย ก็ต้องเข้าแบบไม่ให้มีคนเห็น!!
“จริงสิ!!”
เซราห์สัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่แอบซุกซ่อนอยู่ในพุ่มไม้เพราะคิดว่าเธอจะมาทำร้าย แต่เมื่อเซราห์ใช้จิตสื่อสารกับสัตว์ตัวเล็กนั้น มันก็คลานออกมาอย่างง่ายดาย
“Evolution!!”
ฝ่ามือทาบทับเหนือร่างเล็ก ก่อนเซลล์สีเขียวจะถูกดูดกลืนเข้าสู่ร่างกาย เพียงพริบตาเดียวร่างบอบบางของหญิงสาวก็จางหายไปราวกับเธอไม่มีตัวตน
หญิงสาวใช้เซลล์ของกิ้งก่าพรางตัวและลอบเข้าไปในปราสาทตามเส้นทางที่โนอาห์บินนำไปอย่างรีบเร่ง
ฝั่งตะวันออกของปราสาทมีลักษณะคล้ายห้องรับแขก เฟอร์นิเจอร์ที่ประดับประดาล้วนแล้วแต่หรูหราราคาแพง นักฆ่าสามคนนั่งจิบไวน์อย่างไม่ทุกข์ร้อนทั้ง ๆ ที่ด้านนอกปราสาทเกิดการต่อสู้อย่างหนักหน่วง
“น่าเบื่อจริง ๆ ทำไมข้าต้องมานั่งแหงกอยู่ในปราสาทด้วย อยากจะออกไปละเลงเลือดกับพวกข้างนอกจะแย่อยู่แล้ว”
ชายร่างยักษ์บ่นพลางเหวี่ยงลูกตุ้มเหล็กติดโซ่ในมืออย่างหงุดหงิด เสียงตุ้มดังหวีดหวิวจนหญิงสาวในชุดรัดรูปส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างรำคาญ
“อย่าบ่นเลยน่า อีกไม่กี่วันเดี๋ยวพวกเราก็จะได้อาละวาดใน ‘โลกข้างนอก’ เต็มที่แล้ว”
“และโลกใบใหญ่นี้ก็จะอยู่ในมือเราด้วยใช่มั้ยที่รัก”
ชายผมหยักศกท่าทางเจ้าชู้โอบเอวหญิงสาวพลางยื่นแก้วใส่ไวน์สีแดงก่ำให้เธอ ทั้งคู่คล้องแขนกันดื่มไวน์ก่อนส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้กันจนชายร่างยักษ์รู้สึกขยะแขยงต้องเบนหน้าหนี
แม้ในห้องจะมองเห็นว่ามีคนอยู่เพียงสามคน แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ตามองเห็น นักฆ่าทั้งสามไม่อาจรู้เลยว่าตอนนี้มีอีกร่างที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบเพื่อผ่านพวกเขาไปโดยไม่ให้รู้ตัว
เซราห์เหงื่อไหลท่วมใบหน้า เธอเอาหลังชิดกำแพงจนตัวแทบจะแนบเป็นผืนเดียวกับผนังยาว สองขาเดินไปด้านข้างเหมือนปู สายตาจับจ้องนักฆ่าสามคนที่ดูน่าสะพรึงกลัวจนหัวใจเธอเต้นแรงแทบทะลุออกมาจากทรวงอก
โนอาห์เฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่ออยู่นอกกระจก นกน้อยไม่อาจบินเข้ามาด้านในได้เพราะร่างกายไม่ได้พรางตัวเหมือนเซราห์ แม้จะมองไม่เห็นเซราห์ แต่จิตใจที่สื่อถึงกันทำให้โนอาห์รับรู้การเคลื่อนไหวของเธอ มันลุ้นระทึกไม่ต่างจากเซราห์เลย
“ข้าอยากฆ่าโคนนนนนนนนนน!!!”
ชายร่างยักษ์คำรามลั่นอย่างหมดความอดทน ริมฝีปากที่ประกบกันอยู่ของชายหญิงถอนออกจากกันด้วยความหงุดหงิด ชายหนุ่มวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะหินอ่อนพลางเบนสายตาไปที่กำแพงว่างเปล่า
“ถ้าอยากฆ่า..” มือหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมาโยนไปมาในอากาศ มีดคมกริบกระจายตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ และเป็นแปดเล่มหมุนวนไปมาตามจังหวะการโยน “ก็มีเหยื่อมาให้ฆ่าถึงที่แล้วนี่นา!!”
มีดแหลมพุ่งเข้าใส่กำแพงหินอย่างรวดเร็ว สายตาอีกสองคู่ของนักฆ่าที่เหลือมองการกระทำของเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ จนเมื่อคมมีดปักกำแพง เลือดที่ซึมหยดลงบนผืนพรมหนาก็ทำให้อีกสองคนหยิบ SSS ของตนขึ้นมาอย่างระวัง
“ไม่ต้องห่วงหรอก ก็แค่หนูสาวตัวนึงเท่านั้นแหล่ะ ลำพังแค่ฉันคนเดียวก็บี้ให้แหลกคามือได้”
เซราห์ร้องครางอย่างน่าสงสาร มีดทั้งแปดแม้ไม่ปักที่จุดสำคัญ แต่มีดเล่มหนึ่งก็เฉือนถากท่อนแขนเรียวจนสร้างรอยแผลทางยาวให้เธอ
“โอ๊ย!!”
บาดแผลและความตกใจ ทำให้พลังพิเศษคลายลง ร่างของเซราห์ปรากฎแก่สายตานักฆ่าทั้งสามสร้างความหฤหรรษ์ในใจของชายร่างยักษ์ที่หมายต่อสู้มาเป็นเวลานาน
“หลบไปเลย!! นังนี่ให้ข้าจัดการเอง”
ร่างใหญ่โตถลันจากโซฟาหนานุ่ม ตุ้มเหล็กในมือหมุนวนอย่างรวดเร็วราวใบพัดเครื่องบิน
“แหลกไปซะ โบนครัชเชอร์!!!”
มือเหวี่ยงฟาดตุ้มเหล็กติดโซ่ใส่เซราห์ที่ยังยืนกุมแขนอยู่อย่างเจ็บปวด พลังพิเศษของชายร่างยักษ์คือการทำลายล้างทุกสิ่งที่ตุ้มเหล็กสัมผัส แต่ถึงจะไม่ใช้พลังพิเศษ ลำพังเพียงความแรงจากการเหวี่ยงและความแข็งแกร่งของลูกตุ้ม กะโหลกศีรษะเล็ก ๆ ของเซราห์ก็คงไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้อยู่แล้ว
‘เพล้ง!!’
‘Compass!!’
ร่างเล็กปราดเปรียวทะยานพุ่งชนกระจกหน้าต่างเข้ามาในห้องก่อนโผขึ้นสู่เพดานกว้างเหนือศีรษะชายร่างยักษ์ เพียงพริบตาตำแหน่งการยืนก็ถูกเปลี่ยนทิศ ลูกตุ้มที่ควรจะพุ่งบดขยี้ศีรษะของเซราห์ก็พลันเปลี่ยนทางพุ่งเข้าหามือมีดที่ยังตั้งตัวไม่ติด
ตุ้มเหล็กอัดกระแทกเพื่อนนักฆ่าจนกระดูกทั่วร่างถูกป่นทำลาย แม้ประสาทสัมผัสที่แข็งกล้าจะรับรู้ถึงเสี้ยวพลังพิเศษที่เซราห์ปลดปล่อยออกมาจนทำให้รู้ตำแหน่งของเธอ แต่พลังร่างกายกลับไม่แข็งแกร่งเท่า เป็นผลให้เพียงรับการโจมตีครั้งเดียวนักฆ่ามือมีดก็ถูกสังหารด้วยน้ำมือของเพื่อนักฆ่าแห่งเงารัตติกาลด้วยกัน
“ไอ้นกบัดซบ!!”
เพราะเงารัตติกาลมีนักฆ่าที่เป็นสัตว์เพียงตัวเดียว ชายร่างยักษ์จึงรู้จักโนอาห์เป็นอย่างดี มันไม่สะทกสะท้านกับการตายของเพื่อน แต่กลับกระเหี้ยนกระหือรือเมื่อมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง ตุ้มเหล็กถูกกระชากจากศพนักฆ่าชายมาควงในมือด้วยความเร็วมหาศาลก่อนปลดปล่อยขึ้นทางด้านบน
โนอาห์ไม่อาจใช้พลังพิเศษเปลี่ยนทิศทางแก้สถานการณ์นี้ได้ เพราะไม่ว่าตำแหน่งของชายร่างยักษ์จะหมุนเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ลูกตุ้มก็ย่อมพุ่งขึ้นด้านบนไม่เปลี่ยนแปลง แถมด้วยความเร็วของตุ้มเหล็กที่มากมายมหาศาล ลำพังเพียงแรงปีกของนกน้อยย่อมไม่อาจบินหลบเลี่ยงได้พ้น
“โนอาห์!!”
แส้แสงสีเขียวสดเหวี่ยงหวือจากสองแขนของเซราห์ เพราะเถาวัลย์ที่เก็บติดตัวมาตลอดทำให้หญิงสาวใช้พลังของพืชพันธุ์ได้ทันท่วงที ปลายแส้เหวี่ยงตัวม้วนพันโซ่เส้นยาวก่อนแรงกระชากเพียงน้อยของเซราห์จะทำให้ตุ้มเหล็กเปลี่ยนทิศทาง
‘ตูมม!!’
เพดานหินหนาถูกทำลายเป็นรูโหว่ หินก้อนใหญ่นับสิบหล่นร่วงลงใส่นักฆ่ายักษ์จนมันล้มลงกองกับพื้น โนอาห์ได้โอกาสรีบกระพือปีกส่งร่างมุดลงต่ำ กรงเล็บแหลมคมจิกที่เบ้าตาของศัตรูที่โผล่พ้นจากเศษซากหินที่กองทับถมพะเนินเทินทึก เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดดังก้องห้องรับแขกจนโคมไฟระย้าสั่นสะเทือน
ด้วยความเป็นห่วง หลังจากทำให้ศัตรูตาบอดแล้ว โนอาห์จึงรีบบินโผไปหาเซราห์ นกน้อยกระพือปีกเต็มแรงบินอย่างรวดเร็ว
‘กึก!!’
แต่การเคลื่อนไหวเต็มกำลังไม่อาจทำให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ เมื่อร่างถูกพันธนาการด้วยวัตถุเส้นยาวที่หนาเกินกว่ากำลังของนกตัวน้อยจะต้านทานไหว
นักฆ่าหญิงสีหน้าบูดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดอย่างหนัก ชายคนรักถูกสังหารต่อหน้ายิ่งเพิ่มโทสะให้เธอใช้พลังพิเศษควบคุม ‘เส้นผม’ ให้แข็งแรงและหนาจนสามารถยึดจับนกแก้วตัวเล็กไว้ได้อย่างง่ายดาย
เถาวัลย์แสงจากมือขวาเหวี่ยงเข้าหากลุ่มผมเส้นหนาที่ยืดยาวจากศีรษะนักฆ่าสาว
“ฝันไปเถอะ นังขี้เหร่!!”
นักฆ่าคำรามลั่นพลางยืดผมอีกกลุ่มหนึ่งเข้าปะทะเถาวัลย์ของเซราห์ หนึ่งผมหนึ่งเถาวัลย์ม้วนพันกันราวอสรพิษเลื้อยรัด เซราห์รับรู้ความทรมานของโนอาห์ยิ่งร้อนรนจนต้องเหวี่ยงฟาดแส้เถาวัลย์อีกข้างเข้าใส่คู่ต่อสู้
‘วูบบ!!’
ไม่ทันที่แส้จะกระทบร่างสาวนักฆ่า กลับเป็นเซราห์ที่ถูกกระชากจนตัวลอยกระแทกผนังหินดังโครม เธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ศีรษะจนน้ำตาร่วง แต่ก่อนจะรู้สึกอะไรมากไปกว่านั้น การเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดบนศีรษะก็ทำให้เซราห์รู้ว่าเกิดอะไรผิดปกติเส้นผมของตัวเองแล้ว
“รู้ตัวก็สายไปแล้วย่ะ พลังของฉันน่ะ ไม่ใช่แค่ควบคุมเส้นผมของตัวเองได้เท่านั้นหรอกนะ แต่เส้นผมของแกก็ตกอยู่ในการควบคุมของฉันแล้ว”
SSS ‘หวีของหญิงสาวชาวเปอร์เซีย’[3] ที่ ‘อลิเซีย ไครา’ นักฆ่าสาวแห่งเงารัตติกาลครอบครอง สามารถบงการการเคลื่อนไหวเส้นผมของทั้งตัวเองและ ‘อิสตรี’ คนอื่นที่อยู่ในระยะควบคุม นอกจากการเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งความแข็งแกร่ง การยืดยาวของเส้นผม อลิเซียสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระ
และที่เซราห์ถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว ก็เพราะเส้นผมของเธอถูกควบคุมให้ฉุดกระชากร่างจนตัวลอย และตอนนี้ผมของเซราห์ก็ยืดไปมัดกับซี่กรงเหล็กบนหน้าต่างใกล้กับหลังคาจนร่างเธอห้อยต่องแต่งราวตุ๊กตาไล่ฝน
ดวงตาจับจ้องที่ร่างนกน้อยซึ่งช่วยชีวิตเธอไว้หลายต่อหลายครั้ง แม้ไม่อาจสื่อสารภาษาเดียวกัน แต่ความเจ็บปวดทรมานของโนอาห์ก็ส่งผ่านมาถึงจิตใจของเซราห์จนดวงใจเธอแทบแตกร้าว ร่างของนกแก้วเขียวถูกบีบรัดจนมันส่งเสียงร้องลั่นแหลมแสบแก้วหูก่อนเสียงจะกระตุกขาดช่วงลง
เส้นผมหนาคลายออกจากร่างโนอาห์หดกลับมาสู่ความยาวตามปกติ อลิเซียเดินบิดสะโพกเข้าหาเซราห์ที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ยิ่งเข้าใกล้ แรงกระชากบนศีรษะก็มากขึ้นจนน้ำตาหมอสาวไหลพราก
“จะฆ่าแกมันก็ง่ายนิดเดียว แต่ฉันอยากให้แกได้ดูโชว์ ‘สนุก ๆ’ ก่อนตาย”
เส้นผมส่วนหนึ่งของเซราห์ยืดลงมาคลุมร่างและมัดพันธนาการเธอไว้ราวหนอนดักแด้ อลิเซียจิกกระชากศีรษะและลากหญิงสาวด้วยแรงมหาศาลผิดรูปร่าง มุ่งสู่ส่วนซ้ายของปราสาทพร้อมเสียงหัวเราะแหลมราวคนโรคจิต
เสียงต่อสู้ดังสะเทือนเลือนลั่นสะท้อนก้องปราสาทไปมาอย่างต่อเนื่อง สภาพของชายสองคนที่ห้ำหั่นกันอย่างไม่คิดชีวิตยับเยินราวกระดาษถูกขยำ เสื้อผ้าขาดวิ่น เลือดชโลมกายทั่วร่าง
“ย้ากกกก!!!”
ซูอัลทะยานเข้าหาเน็กเธอร์ที่ยังตั้งหลักไม่ทัน ท่อนขาเหวี่ยงฟาดชายโครงของเพื่อนที่บัดนี้กลายเป็นศัตรูโดยไม่ตั้งใจ แรงเตะส่งร่างเน็กเธอร์ให้ลอยละลิ่วเข้ากระแทกเตาผิงที่ดับสนิทจนเถ้าถ่านคละคลุ้ง
“แค่ก ๆ”
เน็กเธอร์สำลักขี้เถ้าที่ปลิวกระจัดกระจายย้อมร่างเขาจนเป็นสีเทา เพราะใช้พลังพิเศษอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานในการต่อสู้ช่วงแรก ทำให้บัดนี้พลังทะลุผ่านของเขาจึงไม่อาจใช้ฟุ่มเฟือยได้อีก
ตรงข้ามกับซูอัล แม้เขาจะไม่สามารถเรียกกล่องของขวัญได้อีกเพราะใช้ไปครบสามกล่องแล้ว แต่เมื่อโดนเน็กเธอร์โจมตีจนร่างกายสะบักสะบอม เขาก็เริ่มจับทางพลังพิเศษของเพื่อนสนิทได้ แม้พลังพิเศษของเน็กเธอร์จะดูเหมือนไร้เทียมทาน เพราะสามารถทำให้ตนเองหรือสิ่งที่สัมผัสอยู่คนละมิติจนไม่อาจมีอะไรทำอันตรายได้ แต่ก็มีช่องโหว่ตรงที่มีระยะเวลาในการใช้พลังได้อย่างจำกัด ทำให้ซูอัลสามารถคำนวณเวลาที่ร่างกายโปร่งใสจะกลับมาอยู่ในมิติเดียวกันจนจับทางและโจมตีสวนได้ในเวลาไม่นาน
และโชคดีอีกอย่างหนึ่งคือร่างกายของซูอัล ‘อึด’ ที่สุดในบรรดาผู้เชื่อมต่อ แม้จะถูกทำร้ายหนักหนาก็ยังทนทานและมีแรงเก็บออมเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้ ซึ่งตรงข้ามกับเน็กเธอร์ที่แม้จะมีมันสมองอันชาญฉลาดในการวางแผนต่อสู้ แต่กำลังกายของเขาน้อยกว่าซูอัลเกือบครึ่ง สถานการณ์จึงพลิกจากเมื่อตอนเริ่มต่อสู้หน้ามือเป็นหลังมือ
เน็กเธอร์เอามือขยี้ตาที่รับฝุ่นควันเข้าไปเต็ม ๆ จนมองไม่เห็นกำปั้นหนาที่พุ่งเข้าใส่หน้าท้องอย่างแรง
‘ตุบ!!!’
เขาตัวงอเป็นกุ้งเมื่อแรงกระแทกส่งจากท้องผ่านสู่หลัง ของเหลวในช่องท้องไหลย้อนพุ่งทะลักออกทางปาก แต่เท่านั้นยังไม่พอ ซูอัลโน้มคอของเน็กเธอร์ก่อนประเคนเข่าเข้าใส่ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มจนเลือดกำเดากระฉูดจากจมูกโด่งเป็นสัน
“ตายซะ!!”
คำบอกลาดังขึ้นพร้อมกับเข่าลูกสุดท้ายที่กระแทกใส่ปลายคางเต็มแรงจนร่างเน็กเธอร์กระเด็นไม่รู้ทิศรู้ทาง ชายหนุ่มถูกซัดเป็นชุดจนแทบไม่เหลือสภาพเจ้าของโรงแรมหรู บัดนี้ทั่วทั้งร่างมีเพียงรอยบาดแผล คราบเลือด ส่วนที่มองไม่เห็นทั้งกระดูกและอวัยวะภายในถูกทำลายจนบอบช้ำสาหัส
“กรี๊ด!!!”
เสียงกรีดร้องอย่างตกใจดังขึ้นเรียกความสนใจทั้งซูอัลและหญิงสาวที่เฝ้าจับจ้องการต่อสู้ของทั้งสองคนไม่วางตาให้หันมองไปทางทิศเดียวกัน
แม้ซูอัลจะเห็นว่าหญิงสาวที่ถูกจิกผมลากมาคือคนคุ้นหน้า แต่ดวงตาไร้แววของเขาบ่งบอกว่าเขาปฏิเสธการมีตัวตนของเธออย่างสิ้นเชิง
ตรงข้ามกับรองหัวหน้าสาวผู้ใช้พลังเสน่ห์จนสามารถสร้างเจตจำนงให้ซูอัลและเน็กเธอร์ต่อสู้กันเองได้
อาทาโพเอลที่ยืนอยู่บนระเบียงเล็กของชั้นบนเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอลิเซียพาหนึ่งในผู้เชื่อมต่อเข้ามา แต่เมื่อเห็นสีหน้าโรคจิตของนักฆ่าสาว เธอก็รู้ทันทีถึงเหตุผล
เธอไม่นึกตำหนินักฆ่าต่างสังกัดที่ทำอะไรโดยพละการ กลับนึกชื่นชมด้วยซ้ำที่อุตส่าห์ลากเซราห์เข้ามาดูการประหัตประหารของเพื่อนตัวเองแบบนี้
จุดจบแห่งการต่อสู้จะทำร้ายจิตใจหญิงสาวยิ่งกว่าตายทั้งเป็น!!
อาทาโพเอลหันกลับไปสนใจการต่อสู้ที่กำลังจะปิดฉากลงต่อ
ซูอัลฉวยดาบเหล็กกล้าที่แขวนประดับผนังขึ้นมาถือ ดวงตาจ้องไปที่ร่างซึ่งนอนหมอบกระแตของเน็กเธอร์อย่างไร้ความรู้สึก สิ่งเดียวที่สมองสั่งการตอนนี้คือกำจัดชายเบื้องหน้าให้ได้ สองขาก้าวเข้าหาโดยไม่รั้งรอ คมดาบในมือพร้อมจะฟาดฟันคู่ต่อสู้ที่ไร้หนทางต่อกรได้ทุกเมื่อ
“หยุดนะซูอัล เธอกำลังจะทำอะไร นั่นเน็กเธอร์นะ!!”
เสียงร้องเตือนสติของเซราห์ไม่อาจดังกระทบโสตประสาทที่โดนบดบังด้วยเจตจำนง เขายังคงก้าวเดินด้วยความเร็วคงที่ ดาบในมือง้างขึ้นสูงทีละน้อย จนเมื่อเขาหยุดยืนในระยะจู่โจม คมดาบก็พุ่งเข้าใส่เน็กเธอร์อย่างไร้ความปรานี
“X-Ray!!!”
ร่างที่น่าจะแน่นิ่งไปแล้ว กลับใช้พลังพิเศษทั้งที่ร่างไม่ขยับ
และกว่าที่ซูอัลจะรู้ตัวก็ช้าเกินไป เน็กเธอร์ไม่ได้ใช้พลังพิเศษกับร่างกายตนเอง ไม่ได้ใช้พลังพิเศษกับดาบหรือร่างกายของซูอัล สายตาซูอัลมองที่ฝ่ามือของเน็กเธอร์ที่คว่ำแนบพื้น
“....พื้น!!”
เสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นพร้อมร่างที่เสียหลัก เน็กเธอร์แกล้งทำเป็นสลบเพื่อให้ร่างกายหยุดเคลื่อนไหว เป็นการฟื้นฟูกำลังเพียงวิธีเดียวที่สมองคิดได้ และนั่นก็ทำให้เขารวบรวมกำลังจนสามารถใช้พลังทะลุผ่านได้อีกครั้ง
พื้นทางเดินหินถูกทำให้โปร่งใส ส่งผลให้สองเท้าที่เหยียบย่ำอยู่ของซูอัลทะลุผ่านลงไปก่อนที่พลังพิเศษจะหยุดทำงาน ร่างของเขาจมลงในพื้นหินเกือบครึ่งท่อน สองแขนทำได้เพียงปัดป่ายอากาศไปมาอย่างเจ็บแค้น
เน็กเธอร์ค่อย ๆ ยันร่างตัวเองอย่างยากลำบาก ใบหน้าปูดโปนเขียวคล้ำจนไม่มีเค้าความหล่อให้เห็น มีเพียงแววตาซึ่งกลับมีประกายอีกครั้งเมื่อสถานการณ์พลิกกลับ
“เปรี้ยง ๆ ๆ ๆ ๆ”
เขาระดมชกใส่ใบหน้าของซูอัลกลับบ้าง แม้กระดูกจะหักหลายท่อน แต่ความเจ็บปวดไม่อาจฉุดรั้งเจตจำนงการฆ่าฟันได้ ร่างกายจึงเคลื่อนไหวโดยไม่สนใจต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
น้ำตาของเซราห์ไหลพราก เธอไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ความเจ็บปวดจากร่างกายไม่เท่าความเจ็บปวดที่เห็นเพื่อนต้องมาเข่นฆ่ากันเองแบบนี้ แม้ใจอยากจะเข้าไปช่วยหยุดยั้งทั้งสองคนไว้แทบขาด แต่ร่างกายที่ถูกพันธนาการทำให้เธอไม่อาจกระดุกกระดิกได้แม้ปลายนิ้ว หญิงสาวเบือนหน้าหนีไม่อาจมองภาพเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปได้อีก
“โอ๊ย!!”
แต่เธอก็ต้องหันหน้ากลับมาเมื่อนักฆ่าสาวจิกผมเธอและใช้นิ้วถ่างตาของเธอให้ดูภาพการฆ่าฟันต่อ
“เบิกตาดูซะ ว่าจุดจบของคนที่ต่อต้านเงารัตติกาลจะมีสภาพเป็นยังไง ฮ่า ๆ ๆ”
เน็กเธอร์กระโดดถีบขาคู่ใส่หน้าอกซูอัลสุดแรง จนร่างที่จมพื้นหินถูกกระแทกกระเด็นลงนอนกองต่อหน้าอลิเซียสภาพไม่ต่างจากตัวเขาเมื่อครู่
ดาบในมือที่หลุดร่วงถูกถือขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับอยู่ในมือของเน็กเธอร์ เขาเดินโงนเงนช้า ๆ เพราะกระดูกท่อนขาแตกร้าว แต่ความมุ่งมั่นที่จะสังหารอีกฝ่ายยังไม่ลดละ
และเน็กเธอร์ก็ต้องผงะ เมื่อโสตประสาทได้ยินเสียงเบา ๆ จากปากของซูอัล
“ปลดขีดจำกัดสปิริต... Nicolas’s Gift!!!”
แสงสว่างเจิดจ้าราวดวงตะวันส่องประกายจนตาพร่า เน็กเธอร์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบขว้างดาบในมือเข้าใส่ซูอัลด้วยปฏิกิริยารวดเร็วเหลือเชื่อ
และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันช่างรวดเร็วเกินกว่าจะทำความเข้าใจ
รวดเร็วเกินกว่าจะมีใครรับรู้
.....กล่องของขวัญถูกเปิดก่อนหน้าที่คมดาบจะพุ่งเสียบร่างไม่กี่วินาที พลังพิเศษที่เคยเห็นกลับกลายมาเป็นพลังของตัวเอง
.....แต่พลังนั้นกลับเป็นพลังของนักมวยปล้ำ ‘โอเรโร่ อี ไอ’ ที่สามารถสลายพลังพิเศษที่โจมตีตนเองให้กลายเป็นเพียงการแสดง ซึ่งพลังพิเศษที่โจมตีซูอัลอยู่ตอนนี้มีเพียง ‘เสน่ห์’ ของอาทาโพเอลเท่านั้น เมื่อเสน่ห์สลายไป สติสัมปชัญญะของซูอัลจึงกลับมาเป็นปกติ
.....ซูอัลมองเห็นดาบพุ่งเข้ามาอย่างช้า ๆ ราวกับภาพสโลว์โมชัน ปฏิกิริยาและความแข็งแกร่งที่ร่างกายสะสมมาบอกให้เขาเอี้ยวตัวหลบคมดาบที่หมายเอาชีวิต
.....แต่เมื่อสายตามองเหลียวกลับไปด้านหลัง วิถีของดาบที่พุ่งตรงเข้ามานั้น หากเขาหลบพ้น ยังมีอีกร่างที่นอนแน่นิ่งไม่อาจเคลื่อนกายหลบได้
.....เซราห์!!!
.....สายตาซูอัลที่ฉายแววกลับมาเป็นปกติจนเซราห์รู้สึกได้ เขาส่งสายตาอ่อนโยนให้หญิงสาวราวกับจะถ่ายทอดคำลาและคำพูดทั้งหมดผ่านแววตานี้ เซราห์รับรู้ได้ทันที น้ำตาหญิงสาวไหลพรากอย่างโศกเศร้าแทบใจสลาย
‘สวบบ!!!!’
คมมีดปักเข้ากลางอก โลหะเย็นเฉียบเสียบเข้าตัดขั้วหัวใจซูอัลที่นั่งคุกเข่ากางแขนปกป้องหญิงสาวด้านหลังอย่างกล้าหาญ รอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าเขาดีใจที่สามารถช่วยชีวิตเธอได้
ร่างล้มลงอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงตะเบ็งกรีดร้องจนเส้นเสียงแทบขาดของเซราห์ เลือดไหลเจิ่งนองท่วมพื้นอาบร่างไร้วิญญาณของชายผู้เป็นที่รักของเพื่อนทุกคน
ซูอัล แอทนัส เสียชีวิต.....
[1] คาร์ล อคีเลย์ (Carl Ethan Akeley) นักสตัฟฟ์สัตว์ นักชีววิทยา ชาวอเมริกัน ได้รับฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งการสตัฟฟ์สัตว์ยุคใหม่”
[2] แถบเมอบิอุส (Möbius strip) พื้นผิวซึ่งมีด้านและขอบเพียงด้านเดียว แต่สามารถลากเส้นเชื่อมต่อกันจนครบรอบทั้งหน้าหลังได้โดยไม่ต้องยกดินสอ
[3] หวี อุปกรณ์ใช้จัดทรงผม สางผม ทำด้วยวัสดุแข็งแบนเป็นซี่ ๆ ถูกค้นพบอยู่กับอารยธรรมมนุษย์แถบเปอร์เซียเมื่อกว่า 5,000 ปีก่อน