บทที่ 25 บุกปราสาทเงารัตติกาล
21 ธันวาคม
วาร์ดยืนนิ่งจ้องไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่ถูกประดับอยู่ด้านบนของผนัง สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ตรึงร่างเขาไว้จนไม่อาจละสายตาหรือเคลื่อนกายไปไหนได้
เป้าหมายของเงารัตติกาล.. ไม่สิ!! มันคือเป้าหมายของทริมิดาผู้ก่อตั้งเงารัตติกาลต่างหาก
แม้เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นหัวหน้ากองโจร แต่พลังพิเศษเพียงใช้ภาพลวงตาสร้างห้องลับ ช่างต่ำต้อยเกินกว่าที่วาร์ดจะทนก้มหัวให้ทริมิดาได้ เขาเก็บงำความสามารถของตัวเองมาโดยตลอดโดยเผยพลังพิเศษเพียงแค่หนึ่งอย่าง
ซึ่งจริง ๆ แล้ววาร์ดกลับใช้พลังได้ถึง ‘สิบ’ อย่าง
เมื่อเขาสามารถชักจูงให้เหล่านักฆ่าเริ่มเห็นคล้อยถึงความไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าของทริมิดา จนมีคนเอนเอียงหันมาสนับสนุนตนเอง วาร์ดจึงได้ใช้พลังพิเศษลอบสังหารหัวหน้ากองโจรคนเก่า
แต่โชคยังเข้าข้างทริมิดา เพราะนักฆ่าบางคนที่ยังจงรักภักดีกับเขายอมสละชีวิตรับการโจมตีแทน ทำให้ทริมิดาหนีรอดไปได้ด้วยพลังห้องลวงตา แม้กระทั่งนาลีก็ไม่อาจใช้พลังค้นหาติดตามตัวได้
เพราะอยู่ในตำแหน่งรองหัวหน้า วาร์ดจึงรู้ว่าจุดประสงค์ที่ทริมิดาต้องการในการก่อตั้งเงารัตติกาลขึ้นมาก็คือ... การยึดครองโลก!!
จริงอยู่ ว่าแม้มันจะดูเหมือนเรื่องเพ้อฝัน เพราะลำพังเพียงนักฆ่าที่มีพลังพิเศษแค่หยิบมือ จะให้สู้รบปรบมือกับกองกำลังของนานาประเทศคงเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อวาร์ดรู้ถึงสิ่งที่ทริมิดากำลังค้นหาอยู่ เขาก็ต้องตกตะลึง เพราะวัตถุชิ้นนั้นมันไม่น่าจะคงสภาพเดิมหรืออยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน
แต่บัดนี้.. วัตถุที่ทริมิดาเฝ้าเพียรตามหากลับมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ วัตถุที่เคยตรึงร่างของศาสดาแห่งคริสต์ศาสนาก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ แม้จะไม่มีดวงวิญญาณสถิตย์อยู่ดังเช่น SSS ทั่วไป แต่ด้วยเพราะเป็นวัตถุที่รองรับร่างขณะที่ดวงวิญญาณบริสุทธิ์กำลังหลุดลอยจากร่างของพระคริสต์ จึงเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจ ความศรัทธา และพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้มข้น
และพลังวิญญาณจะเข้มข้นถึงขีดสุดจนเปล่งพลานุภาพแห่งพลังอำนาจเพียงวันเดียวในรอบหนึ่งปี
25 ธันวาคม!!
อีกเพียงสี่วัน หากวาร์ดนอนทาบทับร่างตนเองลงไปบนไม้กางเขนทับรอยของพระคริสต์เมื่ออดีตกาล เขาจะได้รับพลังพิเศษมหาศาลที่สามารถควบคุมความเคลื่อนไหวของมวลมนุษยชาติได้ หัวหน้าเงารัตติกาลทำได้เพียงเฝ้ารอห้วงเวลาที่เดินไปอย่างช้า ๆ อย่างใจจดใจจ่อ
แม้ฐานที่ตั้งของปราสาทแห่งนี้จะไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ตำแหน่งที่แท้จริง เพราะถูกปิดซ่อนด้วยพลังพิเศษของหนึ่งในนักฆ่า แต่วาร์ดก็ไม่อาจประมาทเหล่าศัตรูที่เคลื่อนไหวอยู่ได้ ทั้งผู้เชื่อมต่อที่จัดการนักฆ่ามาแล้วหลายต่อหลายราย รวมถึงศัตรูกลุ่มใหม่ที่มีพลังกล้าแข็งที่สมทบมาภายหลัง ไม่แน่ว่ามันกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรืออาจจะทั้งสองกลุ่ม ที่ถูกทริมิดาชักใยอยู่เบื้องหลัง
วาร์ดไม่รู้เลย ว่าพลังพิเศษที่เขาใช้จะสร้างผลกระทบรุนแรงจนทำให้ทริมิดากลายเป็นเจ้าชายนิทรา มิเช่นนั้นเขาคงไม่ทุ่มกำลังส่วนหนึ่งตามล้างตามเช็ดอดีตหัวหน้าที่หนีรอดไปอย่างขมักเขม้น
โอกาสที่จะทำตามเป้าหมายที่วางไว้ใกล้เข้ามาเพียงเอื้อมมือคว้า วาร์ดจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย เขาสั่งให้เหล่านักฆ่าทุ่มกำลังรักษาการณ์รอบปราสาทตั้งแต่ทางเข้าจนถึงห้องหับต่าง ๆ ต่อให้มดหรือแมลงตัวเล็กกระจิดก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาและพลังพิเศษของนักฆ่าทั้งหมดไปได้
หัวหน้าเงารัตติกาลนั่งทอดตัวอยู่บนบัลลังก์ใต้เงาที่สะท้อนผ่านกระจกสีทอดยาวเป็นรูปไม้กางเขนทาบทับผืนห้องกว้าง
ป้ายหลุมศพสีขาวทั้งสองที่ตั้งเคียงคู่กันสลักชื่อด้วยตัวอักษรวิจิตร สภาพหลุมศพรกร้างทรุดโทรมราวกับขาดคนดูแลเป็นเวลานาน ลมพัดบางเบาชวนให้สถานที่แห่งนี้ยิ่งสร้อยเศร้าจับขั้วหัวใจ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบบริเวณเป็นโทนสีหม่น ไม่มีชีวิตชีวา
เช่นเดียวกับช่อดอกไม้สีเดียวกับกระดาษห่อขาวสะอาด แม้ดอกที่สดจะบ่งบอกให้รู้ว่าเพิ่งมีคนนำมาวางหน้าหลุมศพ แต่กลิ่นอายความเหงาเศร้าก็กลืนไปกับสถานที่บรรจุร่างไร้วิญญาณแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
รอยเท้าเพียงรอยเดียวที่เดินมุ่งหน้าออกจากหลุมศพ กดลึกจนจมลงไปกับพื้นหลายเซนติเมตร เผยความมุ่งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวของเจ้าของรอยเท้าได้ชัดเจน
แดเนียล อินนิวา เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการถล่มวอชิงตัน ดี ซี
ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเปิดเผยวินาทีสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์โลกด้วยการช่วงชิงไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์
ไม่ได้กลับไปยังปราสาทเงารัตติกาลพร้อมเหล่านักฆ่าทั้งหมด
แน่นอนว่าเป้าหมายของแดเนียลในการเข้ามาเป็นหนึ่งในเงารัตติกาลคือการล้างแค้นให้พ่อแม่ ชายหนุ่มสาบานต่อหน้าหลุมศพของทั้งคู่ทุกครั้งที่นำดอกไม้มาเคารพศพ ว่าจะลากดวงวิญญาณของทริมิดาไปขอขมาพ่อและแม่ในปรภพให้ได้ ซึ่งเมื่อเขาเจอลูกชายของทริมิดา เป้าหมายนี้จึงยิ่งใกล้เป็นความจริงมากขึ้นทุกขณะ
แต่อีกเป้าหมายหนึ่งซึ่งเขาตั้งไว้กลับยากเย็นขึ้นทุกที...
เพราะรู้ว่าทริมิดาเป็นผู้ก่อตั้งกองโจรเงารัตติกาล และรู้ดีว่าเงารัตติกาลคือสาเหตุที่ทำให้พ่อและแม่ต้องจบชีวิต เป้าหมายที่สองของแดเนียลก็คือ
ทำลายเงารัตติกาล!!
ภาพความตายของพ่อแม่หวนมาหลอกหลอนทุกครั้งที่หลับฝัน ชายหนุ่มขยะแขยงที่ต้องฝืนตัวเองเข้ามาเป็นหนึ่งในนักฆ่าขององค์กรที่ตนเองต้องการทำลายล้าง เขาไม่มีความต้องการชื่อเสียงเงินทองหรือวัตถุล้ำค่าอื่นใดดังเช่นนักฆ่ารายอื่น พลังพิเศษที่ได้รับมาเพียงเพื่อจุดประสงค์เดียวก็คือการทำตามเป้าหมายทั้งสองให้เป็นจริง
แต่ลำพังเพียงตัวคนเดียวและพลังฝีมือเพียงเท่านี้ แดเนียลคงไม่อาจทำตามเป้าหมายทั้งสองให้เป็นจริงได้ หมาป่าเดียวดายอย่างแดเนียลจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องหา ‘แนวร่วม’
สองขามุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบ เหล่าคนที่มีจุดประสงค์เดียวกันกำลังรอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว
เรือเร็วแล่นฝ่าเกลียวคลื่นกลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เน็กเธอร์ซื้อเรือเร็วลำไม่ใหญ่นักขับพาพวกเราออกจากเปอร์โตริโก ปลายสุดของฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา มุ่งหน้าสู่พื้นที่ที่ไม่มีใครอยากย่างกรายเข้าไป
‘สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา’
ขอบเขตรูปสามเหลี่ยมที่บรรจบระหว่างมุมยอดที่ชายฝั่งแอตแลนติกของไมอามี เปอร์โตริโก และเกาะเบอร์มิวดา เป็นอาณาเขตไม่ใหญ่นัก แต่น่าสะพรึงกลัวจนแทบไม่มียานพาหนะใด ทั้งเรือหรือกระทั่งเครื่องบินอยากแล่นผ่านพื้นที่ลึกลับแห่งนี้
ในอดีต ทั้งเรือเดินสมุทรและเครื่องบินต่างจมลงยังผืนน้ำเย็นยะเยือกแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือนี้มาแล้วนักต่อนักจนกลายเป็นตำนานเล่าขานกันไปต่าง ๆ นา ๆ ทั้งเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ใต้สมุทร หรือเพราะหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างแก๊สมีเทนที่ก่อตัวและทะยานสู่อากาศ แต่ไม่มีผู้ใดพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงแห่งอุบัติเหตุทั้งหมดได้เลย
วินาทีแรกที่ได้ยินจากปากของลอร่า ว่าทางเข้าสู่ปราสาทเงารัตติกาลอยู่กึ่งกลางของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา พวกเราจะอดหวั่นใจกับภาพข่าวและเรื่องราวที่เคยได้ยินมาไม่ได้
แต่เมื่อคิดถึงความโหดร้ายที่เงารัตติกาลก่อขึ้น ไม่มีใครเลยที่ปฏิเสธจะขึ้นเรือลำนี้
คลื่นลมเงียบสงบประหนึ่งเต็มใจเปิดทางให้เรือแล่นผ่านอย่างง่ายดาย สายตามุ่งมั่นของทุกคนมองไปยังขอบฟ้าสีคราม แสงอาทิตย์อ่อนแรงสอดคล้องกับดวงอาทิตย์กลมโตที่จมหายลงไปกับผืนน้ำกว่าครึ่ง แสงสีส้มอ่อนส่องกระทบเรือสีขาวทอดเงาบนผืนน้ำที่กระเพื่อมเป็นแพ
จนเมื่อเรือแล่นถึงใจกลางสามเหลี่ยม เน็กเธอร์ก็ดับเครื่อง สมอเหล็กที่กองอยู่ข้างกราบเรือไม่มีประโยชน์ในผืนน้ำลึกขนาดนี้ แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทอดสมอ เพราะผืนน้ำบริเวณนี้กลับราบเรียบอย่างน่าประหลาดจนทำให้เรือเหมือนกับจอดนิ่งอยู่บนฝั่ง ไม่มีแม้คลื่นหรือลมกระทบให้เรือแกว่งไกวแม้แต่น้อย
“ตรงนี้แหล่ะ ทางเข้าปราสาทเงารัตติกาล”
ลอร่าเอ่ยอย่างหวาด ๆ น้ำเสียงเขาสั่นเครือราวกับไม่ต้องการให้พวกเรามาถึงจุดนี้ได้
“ไหนล่ะ มีแค่น้ำกับท้องฟ้า ไม่เห็นมีทางเข้าเลย” คาซีคำราม
นอกจากพวกเรา มีเพียงลอร่าที่ไม่กวาดตามองไปรอบ ๆ สายตาเขาจ้องไปที่จุดเดียวเหนือผืนน้ำ
“ถ้าเป็นคนธรรมดาล่ะก็นะ” ชายล่ำผมหยิกล้วงปากกาขนนกออกจากกระเป๋าเสื้อ “พวกเธอต้องเร่งพลังวิญญาณให้ถึงขีดสุด เมื่อนั้นประตูลับถึงจะเปิด”
ไม่มีใครรอช้า พวกเราล้วงหยิบ SSS ของตัวเองขึ้นมาถือ จินตนาการหวนคิดถึงเมื่อครั้งเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณเจ้าของ SSS หนแรก แสงสว่างเรืองรองก่อขึ้นรอบตัวอย่างน่ามหัศจรรย์
“ยังไม่พอ!! พลังแค่นี้ไม่สามารถเปิดประตูได้หรอก”
ลอร่ากระตุ้นด้วยเสียงแตกพร่า เพราะเป็นหนึ่งในต้นแบบที่เคยอาศัยอยู่ในปราสาทแห่งนั้น เขาจึงรู้ถึงความลับในการเดินทางสู่สถานที่อันเป็นแห่งกบดานของกองโจรได้เป็นอย่างดี แต่ปราสาทแห่งนั้นก็เป็นสถานที่ที่เขาไม่คิดจะย้อนกลับเข้าไปอีกเป็นหนที่สอง
และเมื่อนึกถึงภาพศพที่กองกลาดเกลื่อน ภาพความโหดร้ายทารุณและซากเมืองที่ถูกทำลายล้างจนไม่เหลือสภาพเมืองใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกา พลังแห่งความโกรธก็ปะทุขึ้นจนจิตวิญญาณของแต่ละคนเต็มเปี่ยม แสงเรืองรองกลับส่องสว่างจ้าจนผืนน้ำสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับพร่าตา
ห้วงอากาศบิดเบี้ยวแตกลั่นดังเปรี๊ยะ ก่อนที่ท้องฟ้าเบื้องหน้าจะปริแยกคล้ายกระดาษขาดเป็นรู ทุกคนมองทะลุรอยแยกบนท้องฟ้าเห็นภาพหุบเขาสูงที่เต็มไปด้วยหินผากางกั้นแบ่งเส้นทางเดินตรงกลางทอดยาวสุดลูกหูลูกตามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดราวกับเส้นทางนั้นนำไปสู่สวงสรรค์หรือขุมนรกอเวจีก็ไม่ปาน
คาซีไม่พูดพล่ามทำเพลง เขากระโดดจากกราบเรือเข้าสู่รอยแยกเป็นคนแรก ตามด้วยซูอัลที่ปกติจะร่าเริงและใจเย็น แต่บัดนี้อารมณ์เขาพลุ่งพล่านไม่แพ้กัน
จากรอยแยก ซูอัลเอื้อมมือมาให้เซราห์จับ หญิงสาวปีนกราบเรืออย่างลำบาก เธอลังเลจะจับมือชายหนุ่ม แต่เมื่อเห็นแววตาจริงใจและไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง เซราห์ก็กุมมือซูอัลอย่างนิ่มนวลและออกแรงดึงร่างตัวเองเข้าสู่รอยแยกไปอีกคน
เน็กเธอร์ปล่อยมือจากพวงมาลัยเรือ เขาก้าวเข้าสู่รอยแยกอย่างรวดเร็วโดยไม่หันมองกลับหลัง
ส่วนผมหันกลับมาค้อมศีรษะให้ลอร่าที่ขอบตารื้นมองภาพพวกเราก้าวเข้าสู่ทางเข้าปราสาททีละคน แม้เป็นเวลาไม่นานที่อยู่ร่วมกัน แต่ความผูกพันของผู้ร่วมชะตาทำให้ลอร่าอดห่วงเราไม่ได้
“ขอบคุณนะครับ”
คำล่ำลาสุดท้ายที่เอ่ยกับชายร่างใหญ่ลอยผ่านสายลม ก่อนร่างของผมจะทะลุหายเข้าไปในรอยแยกที่ปิดสนิท ลอร่าเหม่อมองขอบฟ้าซึ่งเมื่อครู่เคยปริแยกครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวเองมาที่ตำแหน่งคนขับและบังคับเรือกลับไปที่ชายฝั่งเพื่อไปรวมตัวกับต้นแบบอีกสองคนที่เหลือ
เพียงก้าวสู่มิติที่แปลกแยก พวกเราทุกคนก็ถึงกับตัวสั่นขนลุกเกรียว ความอึดอัดแผ่ซ่านจนสองขาของผมสั่น เซราห์เองก็โดนบรรยากาศกดดันจนแทบยืนไม่อยู่ ซูอัลเห็นอาการหญิงสาวจึงรีบก้าวไปประคอง
ผมกวาดตามองไปรอบตัว สถานที่แห่งนี้แทบไม่มีสิ่งใดเหมือนกับโลกที่เราอยู่อาศัย ทั้งผืนทางเดินหินสีดำสนิท ต้นไม้ใบหญ้าแปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็น บางต้นสูงเสียดฟ้าคล้ายต้นถั่วในนิทานเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ หรือบางต้นมีแต่หนามยืดยาวแทนที่ก้านใบดูแล้วน่าขนลุก
ลมสงบนิ่งราวกับบรรยากาศถูกตรึงไว้กับที่ ภาพทางเดินยาวที่มองไม่เห็นปลายทางทำให้พวกเราครั่นคร้ามในใจไม่น้อย เท้าเตรียมย่างก้าวออกเดิน แต่เสียงตะคอกก็รั้งเท้าเราไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องฝันว่าจะไปถึงปราสาทได้หรอก พวกแกต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”
เสียงคำรามก้องจากเนินดินด้านขวา พวกเราหันไปเห็นชายกล้ามโตนับสิบยืนเรียงรายราวกับยามเฝ้าทางเข้า ในมือพวกมันมี SSS ประจำตัวเตรียมพร้อมบดขยี้ทุกคนที่ย่างกรายเข้าสู่ฐานที่มั่นของเงารัตติกาล
ผมฟูฟ่องทรงแอฟโฟรของชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกระเพื่อมตามจังหวะก้าวเดิน มันยิ้มเผยฟันหลอก้าวครึ่งปากก่อนมองมาทางพวกเราห้าคนด้วยสายตาดูแคลน
“พวกแกนี่ถ้าไม่โง่ก็คงบ้าสนิท มีกันอยู่แค่ห้าคนแต่กล้าบุกมาสู้กับเงารัตติกาลนับร้อย”
มันพูดพลางหักนิ้วกรอบแกรบ สายตาเบิกโพลงมองพวกเราดุจหมาป่ามองลูกแกะ
“แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะข้ายัง ‘อารมณ์ค้าง’ กับการขยี้มดปลวกที่วอชิงตันไม่หายเลย”
‘ตึง!!!’
คงต้องโทษปากของมัน ที่ดันโพล่งคำที่ไม่สมควรพูดออกมา เพราะเพียงจบประโยคนั้น ร่างของมันก็บี้แบนติดพื้นราวกับแมลงสาบโดนสมุดโทรศัพท์ทับ
“ก็ถ้าเงารัตติกาลนับร้อยฝีมือเหมือนแก มันก็กระจอกจนน่าขยี้ไม่ใช่เหรอ!!”
คาซีที่เก็บอารมณ์ไม่อยู่ตั้งแต่วอชิงตันใช้แรงโน้มถ่วงกดทับนักฆ่าที่ยังไม่ทันเอ่ยนามจนดวงวิญญาณหลุดลอยโดยไม่รู้ตัว เหล่านักฆ่าที่เหลือเห็นเพื่อนพ้องโดนฆ่าตายในพริบตาต่างกรูกันเข้ามาหาพวกเราอย่างมุ่งร้าย
และพวกมันคงไม่คิด ว่าร่างเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่ห่างเกือบร้อยเมตร กลับมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าในชั่วพริบตา!!
ผมสร้างตารางแสงและวิ่งผ่าน ความเร็วที่ถูกเพิ่มมหาศาลทำให้หมัดที่ระดมซัดใส่ร่างใหญ่เพิ่มความรุนแรงจนพวกมันตัวงอเป็นกุ้ง ความแค้นคั่งทั้งหมดกับภาพความโหดร้ายที่ได้เห็นถูกระบายใส่กำปั้นในคราเดียว
เน็กเธอร์เดินช้า ๆ ใส่ร่างที่ถูกโจมตีจนไม่อาจตั้งตัวติด แสงสีดำสว่างวาบบนฝ่ามือเป็นดั่งลางมรณะของเหล่านักฆ่า เน็กเธอร์กดศีรษะของพวกมันทีละคนก่อนยัดร่างมันลงสู่ผืนหินหนา นักฆ่าถูกฝังทั้งเป็นอย่างเลือดเย็นสมกับความโหดเหี้ยมที่พวกมันก่อเอาไว้
“ตายซะ!!”
เพราะอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ทำให้เราสามคนไม่ได้ระวังศัตรูจากระยะไกล ลูกธนูเหล็กสามดอกพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วเกินกว่าลูกธนูปกติ ตำแหน่งของมันอยู่ตรงกลางหน้าอกข้างซ้ายของผม คาซี และเน็กเธอร์พอดี
“Evolution!!”
เซราห์ที่พกเถาวัลย์ชิ้นเล็กไว้ในกระเป๋าคาดเอว ฝ่ามือดูดซับเซลล์สีเขียวของเศษไม้เปลี่ยนแปลงร่างให้มีแส้แสงสีเขียวพันรอบแขน เธอสะบัดปลายแส้คมกริบตัดก้านธนูขาดเป็นสองท่อนร่วงหล่นก่อนที่จะเสียบทะลุขั้วหัวใจผมพอดิบพอดี
“X’Mas Gift!!”
ซูอัลเปิดกล่องของขวัญหยิบวัตถุทรงโค้งเหวี่ยงใส่นักฆ่าที่ยิงธนูอยู่บนยอดผาอย่างแรง วัตถุชิ้นไม่ใหญ่นักหมุนติ้วด้วยความเร็วสูง
แต่เพราะระยะทางที่ไกลพอสมควร มือธนูจึงเอี้ยวตัวหลบได้ทัน
“ปามั่วซั่วอย่างนี้จะโดนได้ยังไง เอาไปอีกชุดแล้วกัน”
มันเยาะเย้ยพลางหยิบลูกธนูเหล็กห้าดอกขึ้นง้าง สายธนูถูกขึงจนตึงเปรี๊ยะ จิตสังหารแผ่ซ่านจนพวกเราที่อยู่ไกลรู้สึกได้
ผมเตรียมใช้ตารางแสง แต่เมื่อมองสายตาของซูอัลก็ต้องชะงักมือ
“คงไม่โดนหรอก ถ้าผมปามั่วซั่วน่ะนะ”
ก่อนที่มือจะปล่อยลูกธนู วัตถุที่คิดว่าพุ่งผ่านไปแล้วกลับตีวงโค้งย้อนกลับมากระแทกท้ายทอยนักฆ่าอย่างจังจนมันสลบเหมือด ธนูยาวซึ่งเป็น SSS ของมันร่วงลงพื้นไปกองเคียงข้างกับ ‘บูมเมอแรง’ ที่ซูอัลได้รับจากกล่องของขวัญ
เพียงพริบตา นักฆ่าทั้งหมดก็ถูกกำจัดจนเรียบวุธไม่สมกับราคาคุยของพวกมันสักนิด
หลังจากจัดการนักฆ่าชุดแรก พวกเราเดินขึ้นผาสูงชัน รอบข้างเป็นภูเขาหินตั้งตระหง่านเหลือที่ว่างไว้เดินเพียงช่องตรงกลางไม่กี่เมตร สายตาทุกคนสอดส่องรอบตัวอย่างระวัง ไม่รู้ว่าเหล่านักฆ่าชุดต่อไปจะโผล่มาเมื่อไหร่
ห้วงอากาศบีบตัวจนรู้สึกอึดอัด หนทางเบื้องหน้ายิ่งเดินก็ยิ่งยาวขึ้น เพราะความมืดที่โรยตัวปกคลุมจนมองไม่เห็นได้ไกลเกินกว่าร้อยเมตร ทำให้เราไม่รู้ว่าเส้นทางนี้พาเราไปสิ้นสุดที่ใด
แต่เมื่อเดินมาได้ครู่ใหญ่ หนทางก็ปิดลงด้วยทางตัน ภูผาหินตั้งขวางกั้นทางเดินจนเราไม่อาจไปต่อได้ ซ้ายขวาและหน้าถูกโอบล้อมจนหมด
“อะไรเนี่ย!! แล้วเราจะไปต่อกันยังไง”
ผมครางอย่างสิ้นหวัง แต่รอยยิ้มของเน็กเธอร์ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้
“ถึงเวลาพระเอกโชว์ฝีมือแล้ว”
เน็กเธอร์พูดพลางยักคิ้วอย่างสบายใจ เขาเร่งพลังจนแสงสีดำสว่างวาบรอบตัว ร่างกายเริ่มเลือนลางเหมือนอยู่คนละมิติกับบรรยากาศรอบตัว
เน็กเธอร์ก้าวนำโดยมีพวกเราแตะไหล่เขาเพื่อให้ได้รับพลังทะลุผ่านเช่นกัน สองเท้าก้าวตามจังหวะการเดินของเน็กเธอร์ช้า ๆ เพื่อไม่ให้หลุดขบวน
‘โครม!!!’
ร่างสูงพลันโดนดีดกระเด็น จนพวกเราที่เดินตามถูกกระแทกล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เน็กเธอร์คลำศีรษะป้อย ๆ ก่อนมองที่กำแพงหินอย่างงง ๆ
“เป็นไปไม่ได้!! ทำไมถึงไม่ทะลุเข้าไป”
พลังพิเศษที่เคยใช้ได้ทุกครั้งกลับโดนปฏิเสธ เน็กเธอร์ไม่อาจเดินทะลุผ่านวัตถุได้ดังเช่นเคย สร้างความประหลาดใจให้ทั้งตัวเขาและพวกเราเป็นอย่างมาก
และคำตอบก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า...
เมื่อกำแพงหินกลับปรากฏโพรงมืดมิดขึ้น ตัวอักษรสลักเสลาราวกับถูกสร้างสรรค์จากช่างฝีมือวางอยู่ด้านบนโพรงนั้น
และไม่ได้มีแค่โพรงเดียว ภูผาหินด้านข้างก็มีโพรงปรากฎขึ้นอีกข้างละสองราวกับเวทมนตร์ ข้อความของทุกโพรงเขียนด้วยประโยคเดียวกัน
“อนุญาต เพียงแค่หนึ่ง นำไปซึ่ง หนทางมั่น
ก้าวผิด คือทางตัน ชีวิตพลัน ดับสิ้นสูญ”
พวกเรามองหน้ากันอย่างชั่งใจ
“น่าจะเป็น.. พลังพิเศษของเงารัตติกาลนะคะ ” เซราห์ออกความเห็น “ดูเหมือน.. เรา.. คงต้องแยกกันไป”
คาซีพยักหน้า ก่อนก้าวเดินไปหยุดยืนที่โพรงด้านหน้าสุด
“ที่จริงแล้วพวกนายทุกคนไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเกี่ยวข้องกับเงารัตติกาลอยู่แล้ว กลับไปเถอะ” เขาพูดโดยไม่หันมอง “ขอบใจที่ทำให้ฉันมาถึงที่นี่ได้ ที่เหลือเป็นเรื่องส่วนตัวขอ..”
แต่คาซีพูดยังไม่ทันจบ เขาก็ต้องชะงักปากเมื่อฝ่ามือใหญ่ตบที่บ่าเขาอย่างแรง
“ฉันไม่ได้ตามมาเพราะต้องการช่วยนายตั้งแต่แรกแล้ว ที่ชั้นร่วมเดินทางกับนายก็เพราะเป้าหมายส่วนตัวล้วน ๆ”
เน็กเธอร์มองด้วยสายตายียวน
“หากพวกมันได้พลังมหาศาลจนไม่มีใครทำอะไรได้ แผนการล่าสาว ๆ ทั่วโลกของฉันก็ต้องล้มเหลวไปน่ะสิ”
เขาพูดทิ้งท้ายก่อนก้าวไปยืนหน้าโพรงถัดจากคาซีทางขวา
ซูอัลและเซราห์เดินไปทางซ้ายยืนหน้าโพรงพร้อมกัน ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้
“ผมเองก็ไม่ได้ทำเพื่อคุณคนเดียวหรอกครับ แต่เพื่ออีกหลายชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อความเลวร้ายของเงารัตติกาล หากกลับไปตอนนี้ผมคงเสียใจไปตลอดชีวิต”
เซราห์ไม่พูดอะไร เธอเพียงยิ้มกับคำพูดของซูอัลพลางนึกถึงเจตนารมณ์ของเพื่อนรักที่อยู่บนสวงสวรรค์
ผมมองทั้งสี่คนด้วยหัวใจพองโต จากเด็กธรรมดาที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีใครเห็นความสำคัญ บัดนี้ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมหยุดยั้งกองโจรระดับโลกอย่างเงารัตติกาล มันเป็นเรื่องที่แทบไม่อยู่ในความคิดของผมเลยแม้แต่น้อย
และที่สำคัญ... ตอนนี้ผมมี ‘เพื่อน’ ที่ร่วมฝ่าฝันอันตรายต่าง ๆ มาด้วยกัน เพื่อนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนตาย ถ้าจะให้ผมหันหลังกลับแล้วไปใช้ชีวิตสบาย ๆ เหมือนเมื่อก่อน ผมขอเลือกอีกหนทางหนึ่งดีกว่า
สองเท้าหยุดยืนหน้าโพรงสุดท้าย ก่อนก้าวเข้าไปในห้วงความมืดมิดอย่างไม่ลังเล
“แล้วเจอกันที่ปลายทางนะ ทุกคน”
ผมเดินปัดป่ายท่ามกลางความมืดมิด แม้โพรงทางเข้าจะดูแคบ แต่ภายในนี้เหมือนกว้างใหญ่มโหฬาร เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็ไม่ชนกำแพงสักที เป้าหมายเดียวตอนนี้คือจุดแสงสว่างเล็ก ๆ ด้านหน้า
สองขาก้าวอย่างระวัง ไม่รู้ว่าในความมืดนี้จะมีตัวอะไรโผล่ออกมาบ้างหรือเปล่า ยิ่งถ้าเจ้าตัวที่ว่านั่นคือนักฆ่าของเงารัตติกาล ผมคงไม่อาจป้องกันชีวิตตนเองได้
และดูเหมือนว่าตลอดทางเดินจะไร้อุปสรรค
ยิ่งจุดแสงค่อย ๆ สว่างขึ้น ผมยิ่งเร่งฝีเท้า ภาพที่เห็นรำไรเริ่มชัดเจนขึ้นในครรลองสายตา และเมื่อเท้าก้าวพ้นความมืดมิดด้านหลัง ผมก็มาโผล่ที่ทุ่งราบกว้าง หญ้าต้นเล็กขึ้นแผ่ปกคลุมราวผืนพรมจากธรรมชาติ ไอฝนจาง ๆ ไหลผ่านจมูกเข้าสู่ปอดอย่างสดชื่น ฟ้าสีครามกระจ่างดูแล้วช่างแตกต่างจากบรรยากาศที่ผ่านมาลิบลับ
ผมมัวแต่ตื่นตะลึงจนลืมคิดไปว่าที่นี่ถูกสร้างด้วยพลังพิเศษของศัตรู ดังนั้นบรรยากาศรอบตัวจะเป็นแบบใดก็ย่อมสามารถเสกสรรค์ได้ดังใจ
ปราสาทบนยอดผาอยู่ไกลลิบตา ผมวิ่งตรงไปยังทิศทางเป้าหมายนั้น
“สวัสดีผู้มาเยือน.. ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนของเรา”
เสียงทักทายดังสะท้อนก้องไปมาราวกับถูกลมหอบพัดพาไปในอากาศ ผมชะงักเท้าและกวาดสายตามองซ้ายขวาอย่างร้อนรนพลางหยิบ SSS ขึ้นมาถือลมหวีดหวิดพาประโยคที่ได้ยินลอยซ้ำไปมาเหมือนเสียงครวญครางของปีศาจร้าย
และเมื่อมองรอบตัวจนครบ 180 องศา ผมก็ไม่พบแม้แต่เงาของเจ้าของเสียงเลยสักนิด
เพราะผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ทำให้ผมสัมผัสถึงความมุ่งร้ายและจิตสังหารได้ ร่างกายท่อนบนเอียงวูบหลบด้วยสัญชาติญาณ
‘ฉับ!!’
รอยปริเป็นทางยาวพาดผ่านหน้าอกตามแนวขวาง เคราะห์ดีที่ผมหลบการโจมตีได้ทันจนทำให้สิ่งที่ปริแยกมีเพียงเสื้อเชิ้ตและกั๊กสีครีมเท่านั้น
บัดนี้ผมมองเห็นเจ้าของเสียงได้ถนัดตา เพราะร่างที่อยู่ในตำแหน่งซึ่งผมไม่คาดคิด จึงทำให้ไม่อาจมองเห็นในครั้งแรก ชายในชุดหมีสวมแว่นกันลมครอบศีรษะมองลงมาจาก... บนฟ้า!!
นักฆ่าคนนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ผมเพ่งมองจนตาหยีก็ไม่เห็นลวดสลิงหรืออุปกรณ์ใดที่ช่วยให้เขาลอยได้เลย ดูท่านี่คงเป็นพลังพิเศษของชายคนนี้
สายตาเขากวาดมองรอบตัวอย่างรื่นรมย์ ผมม้วนเป็นวงสั้นไม่ผ่านการแต่งทรง ใบหน้าเหลี่ยมเป็นสันบ่งบอกถึงความเปิดเผยของชายผู้นี้ ถ้าไม่นับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจนทำให้ผมแทบสะอิดสะเอียน นับว่าเขาเป็นชายที่มีบุคลิกดึงดูดให้ชวนมองทีเดียว
“นายโชคดีนะ ที่มาเจอดินแดนที่เรียบง่ายที่สุดอย่างทุ่งหญ้าสโทล” นักฆ่าขยับใบมีดยาวในมือที่โค้งขนานปลายแขนทั้งสองข้างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว “แต่นายโชคร้าย ที่ต้องมาเจอหนึ่งในยามเฝ้าประตูที่เก่งที่สุดอย่าง ‘โอลิเวอร์’ คนนี้”
ร่างที่ลอยนิ่งราวกับถูกตรึงกลางอากาศ พลันมุดศีรษะกลับหัวกลับหางก่อนพุ่งลงมาดุจดาวตก มีดโค้งในมือสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายจ้า ผมมัวแต่ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เพียงพริบตาร่างในชุดหมีก็ดิ่งเข้ามาใกล้จนถึงระยะโจมตีมีดจันทร์เสี้ยวประสานเป็นรูปกากบาทและฟาดฟันใส่เต็มแรง
สองขาพลันกระตุกวูบก่อนดีดร่างให้ลอยพ้นคมมีดอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด ผมกำเนเปียร์โบนส์พลางเร่งพลัง ตารางแสงมากมายสว่างวาบขวางหน้านักฆ่า แต่เขาเพียงสะบัดแขนเบา ๆ ร่างสูงโปร่งก็เคลื่อนลอยหลบตารางอย่างไม่ต้องเหนื่อยแรง
“เนเปียร์โบนส์!!”
ตารางแสงชุดเก่าจางหาย ผมก็สร้างตารางชุดใหม่ที่ให้ผลตรงข้ามกันขึ้นแทนที่ ก้อนหินที่หยิบได้จากทุ่งหญ้าถูกระดมขว้างใส่จนถูกเพิ่มความเร็วขึ้นมหาศาลเสียงหวีดของกระสุนหินที่เคลื่อนผ่านอากาศดังราวกับเสียงเครื่องบินไอพ่น หินนับสิบลูกพุ่งตรงไปยังร่างที่ยังไม่ทันได้หันหน้ากลับมา
“Flyer!!”
โอลิเวอร์สะบัดมือมาทางด้านหลังโดยไม่ต้องหันมอง กระสุนหินที่พุ่งเข้าหาหมายกระแทกร่างกลับเปลี่ยนทิศลอยหวือสูงขึ้นไปในอากาศผ่านศีรษะเขาไปโดยไม่เฉียดแม้เพียงเส้นผม
นักฆ่าหนุ่มหันมามองพลางยิ้มเผล่
“พลังแปลกดีนี่.. แต่ต่อให้โจมตีมามากแค่ไหน ก็ไม่โดนเราหรอกนะ เพราะมันก็จะ ลอยยยย ละลิ่ว หายไปในอากาศทั้งหมด ฟลายอิ้ง ฟลายอิ้ง!!”
นักฆ่ากึ่งพูดกึ่งร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่แย่เกินแก้วหูจะทานทน พลังพิเศษที่ใช้อย่างโจ่งแจ้งบ่งบอกให้รู้ว่าหมอนี่มั่นใจในฝีมือของตนเองแค่ไหน และเพราะพลังพิเศษนี้เอง ทำให้ผมรู้แล้วว่าเขาซิงโครกับจิตวิญญาณของบุคคลสำคัญคนใด
“พี่น้องตระกูลไรต์!!”[1]
นักฆ่าผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ดูท่าเขาคงไม่คิดปิดบังอะไรอยู่แล้ว เมื่อผมเดาได้ถูกเขาจึงพอใจ
“บิงโก!! ไม่ถึงสิบนาทีก็เดาถูก เราขอตบมือให้สามที”
เขาตบมือแปะ ๆ ๆ อย่างยากลำบาก เพราะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ต้องคีบประคองมีดเล่มยาวไว้ด้วย รอยยิ้มกว้างขึ้นเหมือนเด็กไร้เดียงสา แต่มีดโค้งที่แสนน่ากลัวกลับขัดกับบุคลิกที่แสดงออกชะมัด
โอลิเวอร์ลอยคว้างขึ้นไปในอากาศก่อนบินหมุนวนบนฟ้าราวกับผืนฟ้ากว้างสีครามคือเวทีของเขา พลังพิเศษของเขาคือการ ‘สร้างลม’ ใต้วัตถุ เพื่อพยุงให้ลอยดุจลมที่พัดผ่านปีกเครื่องบินรวมทั้งควบคุมทิศทางลมจนสามารถบินไปในอากาศได้
“เตรียมตัว!!”
มือไขว้กันเป็นรูปกากบาท
“ระวัง!!”
สายตาจ้องเขม็งมองต่ำลงมาที่ผม
“ปายยยยย!!!!”
ร่างยาวพุ่งลงมาราวกับจรวด ใบมีดกากบาทคมกริบขนาดนั้น หากสัมผัสผิวกายคงแยกร่างผมเป็นสี่ส่วนง่าย ๆ การโจมตีไม่ได้ผลสิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียง... หลบหลีก!!
“เนเปียร์โบนส์!!”
ร่างผมวิ่งผ่านตารางแสงที่ถูกสร้างขนานกับพื้น ความเร็วเพิ่มขึ้นจนร่างเล็กหายจากการมองเห็นของโอลิเวอร์ นักฆ่าพลันชะงักค้างกลางอากาศอย่างดูเชิง เมื่อเห็นผมหายไปก็ลอยตัวสูงขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีที่คาดไม่ถึง
‘เคร้ง!!’
ใบมีดต้านรับลูกเตะจากด้านล่าง แม้ผมจะเพิ่มความเร็วมากมาย แต่การดีดตัวพุ่งขึ้นขึ้นลอยค้างกลางอากาศทำให้ความเร็วตกลง โอลิเวอร์สัมผัสถึงความมุ่งร้ายเพียงนิดเดียวก็รับการโจมตีอย่างง่ายดาย
ใบมีดอีกอันในมือซ้ายที่เป็นอิสระเหวี่ยงฟาดลงมายังร่างที่ไร้การควบคุม ผมใช้ปลายเท้าดีดมีดด้านขวาและพุ่งย้อนกลับลงไปบนพื้น คู่ต่อสู้มองลงมาด้วยสายตาตื่นเต้น เขาไม่มีทีท่าหวาดกลัวต่อพลังพิเศษของผมแม้แต่น้อย
“ไม่ได้เจอศัตรูตึงมือแบบนี้มานานแล้วแฮะ เรามาสนุกกันยาว ๆ ดีกว่า”
นักฆ่าหนุ่มกางแขนสองข้างและเริ่มหมุนตัวกลางอากาศ คมมีดหมุนวนเป็นวงกลมก่อนเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่องจนคล้ายลูกข่าง
“Flyer!!!”
ลูกข่างติดใบมีดลอยตกลงมายังตำแหน่งที่ผมยืนอยู่อย่างรวดเร็ว!!
เน็กเธอร์เดินอย่างไม่ยี่หระท่ามกลางความมืด จุดแสงสว่างที่ปลายทางคือทิศที่สองขาก้าวไปโดยไม่หวั่นเกรง จะว่าไปแล้วในบรรดาห้าคนที่บุกเข้ามาที่ปราสาทเงารัตติกาล เขาคือคนเดียวที่มีเป้าหมายเลื่อนลอยที่สุด ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่รีบร้อนหรือกระตือรือร้นเช่นคนอื่น
แต่หัวใจที่เฉื่อยชาต้องพลันเต้นแรงจนเลือดแทบสูบฉีดไปเลี้ยงไม่ทัน เมื่อภาพท่ามกลางแสงแรกที่สาดฉายเข้าสู่สายตา คือภาพน้ำตกสีเขียวมรกต สายน้ำไหลจากชั้นบนตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงโลกสู่ชั้นที่ต่ำลงมาเป็นขั้นบันไดจนหยาดน้ำกระเซ็นซ่านเป็นละอองเย็นชื่นใจ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นปกคลุมครึ้มเขียวชอุ่มบดบังแสงแรงจ้าของดวงอาทิตย์ ไอดินและกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้ป่าโชยเข้าจมูกปลุกความสดชื่นให้ร่างกายที่อ่อนล้ากลับมีเรี่ยวแรง
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น!!
เพราะบรรยากาศที่พรรณนามาข้างต้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเน็กเธอร์เลย ตอนนี้ดวงตาเขาสะท้อนเพียงภาพของ... หญิงสาวเล่นน้ำอยู่อย่างร่าเริงต่างหาก
ร่างบางระหงเคลื่อนกายคล้ายร่ายรำ ผิวสีขาวนวลสะท้อนเป็นประกายจนหมู่ภมรต้องบินชมความงดงาม ส่วนโค้งเว้าได้รูปตรึงสายตาให้ผู้จ้องมองไม่อาจถอนไปจากเรือนร่างของเธอได้ ผมสีดำขลับยาวลู่ลงมาถึงกลางหลัง ปลายผมมีหยดน้ำไหลหยาดลงมาก่อนตกลงสู่ท้องน้ำจนเกิดวงคลื่นเล็ก ๆ แผ่ไปกระทบร่างบอบบาง
เสื้อผ้าอาภรณ์เปียกลู่แนบผิวกายเผยสัดส่วนที่ถูกปกปิดให้อวดสู้สายตาของเน็กเธอร์ เขายืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสะกด แม้ชีวิตจะพบเจอผู้หญิงมามากหน้าหลายตา แต่ไม่มีใครเลยที่จะสวยและมีเสน่ห์ได้เทียบเท่าหญิงงามเบื้องหน้า
เธอชม้ายตามองเน็กเธอร์ด้วยสายตายั่วเย้า ก่อนกวักมือเชิญชวนชายหนุ่มให้ลงมาเล่นน้ำด้วยกัน
เน็กเธอร์ไม่รอช้า รีบถอดสูทลำลองสีดำวางกองกับพื้นเผยกล้ามเนื้อล่ำสัน ก่อนกระโจนตัวลงน้ำและว่ายเข้าหาหญิงแปลกหน้า สายตาอ่อนระทวยพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเผยธาตุหนุ่มเจ้าชู้หวังมัดหัวใจหญิงสาว
และไม่ใช่เพียงเท่านั้น สาวงามในร่างอวบอัดอีกสี่คนเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ ความงดงามของพวกเธอไม่ได้ด้อยกว่าหญิงสาวในน้ำเลยแม้แต่น้อย แม้จะต่างสีผิว ต่างเชื้อชาติภาษา แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือความงามที่สะกดชายหนุ่มทุกคนให้หลงใหล
เน็กเธอร์ถูกห้อมล้อมด้วยสาวสวยระดับนางงามถึงห้าคน นอกจากความงามแล้วเรือนร่างที่อวบอัดประหนึ่งนางฟ้าในเทพนิยายจนเขาเผลอคิดว่าตอนนี้ตนอยู่บนสวงสวรรค์
เพราะจิตราคะที่ครอบงำจิตใจ ทำให้ชายหนุ่มลืมคิดไปว่าตอนนี้ตนตกอยู่ท่ามกลางถิ่นของเงารัตติกาลชายชราผมขาวหนวดเคราเฟิ้มลอบยิ้มอยู่ในใจ สายตาสะท้อนเป็นประกายที่กำลังจ้องมองเน็กเธอร์อย่างมาดร้ายถูกบดบังด้วยพุ่มไม้หนาจนเขาไม่อาจรับรู้ถึงการมีตัวตนของศัตรูได้
เซราห์ยืนงงงันอยู่หน้าแม้น้ำกว้าง สองข้างซ้ายขวามีเพียงท้องน้ำสีครามเข้มโอบล้อมผืนดินสีเทา ภาพปราสาทไกลลิบลับอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำทำให้หญิงสาวจนปัญญาไม่รู้ว่าจะข้ามฝั่งไปได้อย่างไร
และก็เหมือนฟ้าจะรู้ความต้องการ เมื่อสายตาของเธอสะดุดกับวัตถุที่ทอดกายอยู่ริมฝั่ง
เรือลำเล็กถูกคลื่นน้ำที่ซัดเข้าฝั่งเบา ๆ ตีให้โยกซ้ายขวาไปมา เซราห์มองอย่างมีกำลังใจ แม้ลำพังเพียงแรงแขนบอบบางของเธออาจไม่มีกำลังเพียงพอจะพาเธอข้ามฝั่ง แต่มาถึงตรงนี้แล้วหญิงสาวไม่อาจถอยกลับหลัง มือสองข้างดันเรือไม้สุดกำลังจนเรือลำไม่ใหญ่นักไหลพรวดลงน้ำสำเร็จ
“เอาล่ะนะ!!”
หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอกที่บัดนี้เปลี่ยนชุดมาเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดและเสื้อคลุม เพราะมันทำให้เธอเคลื่อนไหวได้ทะมัดทะแมงกว่าชุดกระโปรงที่ใส่ตามปกติ
มือกำไม้พายแน่นพลางออกแรงสุดกำลัง พายหนาดันต้านมวลน้ำส่งเรือให้ลอยออกห่างจากฝั่งเรื่อย ๆ ลมเย็นพัดมาทำให้ความเหนื่อยล้าบรรเทาไปได้บ้าง เซราห์มองภาพปราสาทเป็นดั่งเป้าหมายจ้วงพายโดยไม่สนใจรอบข้าง
“ผู้หญิงเหรอ!! ฉันนี่ช่างโชคดีอะไรแบบนี้”
เสียงตะโกนก้องท้าคลื่นลมดังจนเซราห์สะดุ้ง เธอหันมองกลับไปเห็นชายร่างใหญ่หน้าตาคล้ายแขกอินเดียยืนอยู่บนเรือพายขนาดไม่ต่างจากของเธอนัก ดวงตาข้างซ้ายถูกปิดด้วยที่ปิดตาสีดำ ส่วนตาขวาจ้องมองมาอย่างหื่นกระหายจนเซราห์ต้องกุมเสื้อคลุมให้กระชับร่างแน่นขึ้น
รูปร่างลักษณะของชายผู้นี้ก็ช่างดูแปลกประหลาด หมวกปีกกว้างที่สวมอยู่หมิ่นเหม่จะปลิวหลุดแหล่มิหลุดแหล่เพราะแรงลม แต่มือหนาก็เอื้อมมาคว้าได้ทันทุกครั้งก่อนที่มันจะปลิวตกลงไปในแม่น้ำ หนวดเรียวประดับอยู่บนริมฝีปากกระดิกทุกครั้งเมื่อเขาส่งเสียงพูด
“ไม่ต้องห่วงหรอกสาวน้อย ฉันจะทนุถนอมเธออย่างดีเลย”
ศัตรูที่จู่ ๆ ก็โผล่มาอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางทำให้เซราห์ตื่นกลัวจนแทบทำอะไรไม่ถูก ตลอดเวลาเธอได้รับการปกป้องจากผองเพื่อนเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องต่อสู้กับนักฆ่าเงารัตติกาลเพียงลำพัง
และสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็กำลังปรากฏต่อหน้าเธอ เมื่อเรือพายลำเล็กกลับเปิดกราบเรือพร้อมยื่นวัตถุขนาดเล็กสีดำเมื่อมออกมา รูปร่างคุ้นตาแต่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาอยู่บนเรือเล็กขนาดนี้
‘ปังงง!!!’
กระสุนปืนพุ่งจากปืนใหญ่ขนาดเล็กแหวกอากาศเข้าหาเรือของเซราห์ด้วยความรวดเร็ว แม้ระยะห่างของเรือทั้งสองลำจะอยู่ไกลกันพอสมควร แต่ความรุนแรงของลูกปืนใหญ่ก็ไม่ได้ลดทอนอานุภาพของมันลงเลยแม้แต่น้อย
เพียงกระสุนกระทบผืนน้ำ มวลน้ำมหาศาลก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวน้ำพุ ก่อนเทซัดลงมาจนเรือเซราห์เอียงกะเท่เร่ เสื้อผ้าเปียกปอนจนลู่แนบร่างบางเผยส่วนเว้าโค้งจนนักฆ่ามองตาเป็นมัน
‘ไมโล ดิ๊ก’ นักฆ่าผู้เชื่อมต่อ SSS ‘ผ้าปิดตาของกัปตันคิด’[2] ทำให้เขามีพลัง ‘เปลี่ยนเรือที่ตนนั่งให้กลายเป็นเรือโจรสลัด’ กระสุนปืนใหญ่ที่เพิ่งถูกยิงออกไปเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าเรือพายลำเล็กของเขามีพิษสงไม่ต่างจากเรือโจรสลัดลำใหญ่เลย
และที่กระสุนปืนตกลงน้ำไม่โดนเรือของเซราห์ ไม่ใช่เพราะไมโลยิงพลาด แต่เป็นเพราะความตั้งใจของเขาเอง เพียงเห็นเซราห์วูบแรก นักฆ่ารายนี้ก็หัวใจเต้นตูมตาม เพราะตั้งแต่มาเป็นนักฆ่าแห่งเงารัตติกาล ไมโลก็ได้รับหน้าที่เฝ้าทางเข้าปราสาทจนไม่มีโอกาสสัมผัสหญิงสาวตามที่ฝันเอาไว้ เมื่อครั้งนี้มีโอกาสนักฆ่าจึงสนองตัณหาของตนเองอย่างถึงที่สุด
“Evolution!!!”
เซราห์ดูดกลืนเซลล์ของเถาวัลย์เข้าสู่ร่างกาย แส้แสงพันรอบแขนแน่นราวกับเป็นอวัยวะของตัวเอง หญิงสาวสะบัดแส้ยาวขึ้นฟ้าและเหวี่ยงฟาดลงมากลางเรือของไมโล
“Adventure Gally!!!”
เรือพายของนักฆ่ากลับเคลื่อนไหวหลบเลี่ยงแส้แสงอย่างน่าอัศจรรย์ทั้ง ๆ ที่ไมโลไม่ได้แตะไม้พายแม้แต่น้อย รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มส่งมาให้เซราห์จนเธอสะอิดสะเอียน หญิงสาวมองผ่านไมโลไปก็รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เรือเคลื่อนได้เอง
ใบเรือใหญ่นับสิบผุดโผล่ขึ้นมากลางอากาศ กระแสลมแรงพัดจนใบเรือโค้งงอผลักดันเรือลำเล็กให้เคลื่อนที่ได้ดุจมีเชือกดึง เซราห์ยังไม่ทันโจมตีซ้ำก็ต้องเบิกตาค้างมองห่ากระสุนชุดสองที่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง
“คราวนี้ไม่ได้เล็งแค่น้ำแล้วนะ.. สาวน้อย”
ไมโลกล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางมองกระสุนปืนพุ่งกระแทกส่วนหัวและท้ายของเรือจนเรือลำเล็กแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันจงใจเว้นตำแหน่งกลางลำเรือที่เซราห์ยืนอยู่เพราะไม่ต้องการให้หญิงสาวได้รับบาดเจ็บ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ร่างของหญิงสาวตกลงไปในน้ำตะเกียกตะกายว่ายพยุงตัวสุดชีวิต
ไมโลยืนกอดอกอย่างสาแก่ใจ มันเพียงรอให้เซราห์ว่ายจนหมดแรงก่อนจะลากตัวเธอขึ้นมาจากน้ำและเล่นสนุกกับร่างไร้สติของหญิงสาวอย่างที่มันตั้งใจเอาไว้...
[1] พี่น้องไรต์ (Wright Brothers) ได้แก่ ออวิลล์ ไรต์ และวิลเบอร์ ไรต์ สองพี่น้องผู้สร้างเครื่องบินที่มีเครื่องยนต์ลำแรกของโลก
[2] กัปตันคิด (William Kidd)นักเดินเรือชาวสก๊อต ก่อนผันตัวเองมาเป็นโจรสลัดจนได้ฉายา “โจรสลัดเคราดำ”