บทที่ 22 ภูเขาน้ำแข็งแห่งอแลสก้า
สถานการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นตรงหน้า!!
บัดนี้แม้ผมจะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่เพื่อนที่เคยต่อสู้ร่วมกันมาอย่างซูอัลกลับอยู่ในสภาพที่ไม่อาจร่วมต่อสู้หรือช่วยเหลือผมได้อีก
เขากลายเป็น... ตุ๊กตา!!
และที่ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ บนท้องฟ้าเหนือศีรษะมีนักฆ่าแห่งเงารัตติกาลสองคนอยู่บนหลังตัวการ์ตูนชื่อก้องโลกอย่างเจ้ช้างดัมโบ้จ้องเล่นงานอยู่
เด็กหญิงที่ดูอ่อนแอไร้พิษสง แต่พลังพิเศษของเธอกลับร้ายเหลือจะจินตนาการได้ ทั้งคาซีและเน็กเธอร์ที่เปรียบเสมือนผู้นำในการต่อสู้ รวมถึงซูอัลและเซราห์ที่ช่วยเหลือให้ผมผ่านสถานการณ์เลวร้ายต่าง ๆ มาได้ ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่แล้ว ผมคนเดียวจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร
นักฆ่าชายเปิดถุงผ้าที่แบกไว้บนบ่า ถุงพองโตมีบางสิ่งยุกยิกเคลื่อนไหวไปมาอย่างน่าประหลาด และเงาดำที่ถูกโปรยออกมาจากปากถุงก็ทำให้ผมแทบหยุดหายใจ
เรือโจรสลัดนับสิบหล่นร่วงจากฟากฟ้าราวหยาดฝน ก่อนท้องเรือจะตกลงสู่มหาสมุทรดำมืดอย่างแผ่วเบา เพราะน้ำหนักที่ไม่มากนักเนื่องจากลำเรือทำด้วยพลาสติก เหล่าฝูงเรือจึงแล่นต่อได้ทันทีโดยไม่สะดุด พวกมันหันหัวเรือมุ่งหน้ามายังผมที่ยังตกตะลึงกับเหตุการณ์จนทำอะไรไม่ถูก
และกว่าจะทันคิดอะไร เสียงดังสนั่นหวั่นไหวของดินระเบิดก็สะท้อนก้องในท้องน้ำยามราตรี จุดเล็ก ๆ พุ่งแหวกอากาศเข้าใส่ แม้เห็นไม่ชัดว่าเป็นอะไรแต่สัญญาณแห่งอันตรายลอยวูบมาปะทะอย่างจังจนผมต้องใช้พลังพิเศษเพื่อหยุดยั้ง
“เนเปียร์โบนส์!!”
ตารางแสงกางกั้นดักการโจมตีจากกองเรือโจรสลัด และเมื่อจุดดำเคลื่อนผ่านตารางจนถูกลดความเร็ว ผมจึงมองเห็นพวกมันได้ชัดเจน
กระสุนปืนใหญ่สีดำขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือเคลื่อนผ่านอากาศอย่างเชื่องช้า ผมรับรู้ได้ทันทีว่าหากห่ากระสุนสัมผัสเข้ากับร่างกาย ผมคงโดนระเบิดจนไม่เหลือเศษซากไว้ให้ปลาตอดแน่ เมื่อคิดได้แบบนี้ก็คว้าตุ๊กตาซูอัลยัดใส่กระเป๋าเสื้อก่อนเลื่อนตัวเองไปยังตำแหน่งเบาะด้านหน้า แม้ไม่เคยขับเจ็ทสกีมาก่อน แต่ลักษณะคล้ายรถมอเตอร์ไซค์ทำให้การทำความรู้จักมันไม่ยากนัก
ผมบิดคันเร่งเต็มแรง พาหนะลอยน้ำเคลื่อนตัวฝ่าเกลียวคลื่น แรงกระแทกของมันทำเอาผมจุกเนื่องจากไม่รู้ตำแหน่งร่องน้ำหรือการผ่อนหนักเบาเมื่อเจอคลื่นลม
เรือโจรสลัดของเล่นแม้ลำเล็กจิ๋ว แต่อาณุภาพของมันก็ยังคงร้ายกาจไม่ต่างจากของจริง เรือสีดำลำหน้าสุดกางใบเต็มอัตราแล่นฝ่ากระแสน้ำด้วยความเร็วราวโกหก ผมเหลือบตามองไปด้านหลังเห็นตุ๊กตาตัวเล็กจิ๋วบนหัวเรือส่องกล้องส่องทางไกลมาพลางชี้มือชี้ไม้ให้ลูกเรือเร่งแล่นเรือให้เร็วขึ้น ลักษณะท่าทาง การแต่งตัว และสีหน้ายียวนอันเป็นเอกลักษณ์ยังติดตรึงอยู่ในสมองตลอดหลังจากได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ‘ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน’[1]
‘กัปตันแจ็ก สแปร์โรว์!!’[2] ชี้มือเป็นสัญญาณระดมยิงปืนใหญ่อีกชุด เสียงสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงคลื่นลมจนหมด ห่ากระสุนสีดำเล็กเท่าไข่กบลอยแหวกกระแสลมจากปากกระบอกปืนของเรือผีสิง ฟลายอิง ดัตช์แมน พุ่งเข้าใส่เจ็ทสกีที่แล่นด้วยความเร็วที่เสียเปรียบ
ผมสร้างตารางแสงอีกครั้ง กระสุนปืนที่พุ่งเป็นเส้นตรงไม่อาจหันเหเปลี่ยนทิศทางได้ถูกลดความเร็วให้ลอยเกือบนิ่งกลางอากาศ แต่สถานการณ์ก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ฝูงเรือโจรสลัดแล่นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
“จริงสิ!!”
ผมมัวแต่กลัวกระสุนปืนและความร้ายกาจของกัปตันแจ็กที่ได้ดูผ่านทางจอภาพยนตร์ จนทำให้ลืมคิดถึงความแตกต่างด้าน.. ‘ขนาด’
หัวเจ็ทสกีหักเลี้ยวและบิดคันเร่งพายานพาหนะใหญ่แล่นสะเทิ้นน้ำพุ่งตรงเข้าหาหมู่เรือโจรสลัด กระสุนปืนใหญ่จากลำเรือทั้งหมดระดมยิงโดยไม่หยุดพัก เช่นเดียวกับตารางแสงที่ถูกกางกั้นดักทุกทิศทางเพื่อลดความเร็ว ผมหักเลี้ยวไปมาหลบกระสุนที่ยังลอยค้างกลางอากาศ ความเร็วการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องทำให้อีกไม่ไกลก็จะถึงตำแหน่งของฝูงเรือ
และเมื่อถึงตำแหน่งที่หมายตา ผมกำเบรกอย่างแรงพลางหักเลี้ยวเต็มกำลัง เจ็ทสกีลำใหญ่เลี้ยวกวาดเป็นวงก่อนกระแทกผืนน้ำสาดเข้าใส่ฝูงเรือด้วยความรุนแรง มวลน้ำมหาศาลซัดเรือรบจนพลิกคว่ำระเนระนาด กระทั่งกัปตันเจ้าเล่ห์อย่างแจ็ก สแปร์โรว์ก็ยังเอาตัวไม่รอด ฝูงเรือของเล่นพลาสติกไม่อาจแล่นติดตามผมได้อีกต่อไป
ผมบิดเจ็ทสกีฝ่าลมหนาวไปตามทิศทางที่เรือสำราญมุ่งหน้าไป ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทุกทีที่ปลายขอบฟ้า
และเมื่อแสงอาทิตย์ส่องทุกอย่างกระจ่างแก่สายตา เจ็ทสกีก็ล่องตามกระแสน้ำที่ซัดเข้าฝั่ง น้ำมันแห้งขอดถังแต่เพราะความเร็วที่ถูกเพิ่มจากตารางแสงทำให้แรงเฉื่อยยังฉุดยานพาหนะลอยน้ำให้แล่นต่อไปได้อีกเป็นระยะทางไกล ผมมองชายฝั่งที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งลอยเต็มผืนน้ำอย่างดีใจ แม้อากาศจะหนาวเหน็บแต่วินาทีนี้ผมไม่อาจรอให้นักฆ่าตามมา ผมจึงทิ้งเจ็ทสกีที่ใกล้จะหยุดนิ่งกระโดดลงน้ำเย็นยะเยือกและออกแรงว่ายสุดชีวิต
ขนทั่วสรรพางค์กายตั้งชัน ความหนาวเหน็บกัดกินเข้าไปถึงกระดูก สองแขนสองขาตีน้ำสุดชีวิตเพื่อเข้าหาฝั่งอย่างรีบเร่ง
เพียงฝ่ามือสัมผัสพื้นทรายที่ชายหาด ขาก็ตะกุยตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งไม่คิดชีวิต
ผมกำตุ๊กตาซูอัลในกระเป๋าแน่นก่อนเดินสะเปะสะปะขึ้นฝั่งยังดินแดนแห่งน้ำแข็ง...
“ทำไมไม่จัดการให้เสร็จ ๆ ไปเลยล่ะ”
เสียงใสลอยผ่านกระแสลมเย็นเยียบ ดวงตาส่อแววสงสัยมองหน้าเยลซิท เรลน่าขยับมงกุฏบนหัวของบาร์บี้ให้ตรงเนื่องจากลมพัดแรง เยลซิทเหม่อมองคลื่นน้ำเป็นรอยจางจากการแล่นผ่านของเจ็ทสกี สีหน้าครุ่นคิดบางอย่างที่เรลน่าไม่อาจคาดเดาได้
“มีอยู่แค่ห้าคน แต่ทำไมถึงกล้าต่อกรกับเงารัตติกาล ไม่เข้าใจเจ้าพวกนี้จริง ๆ แฮะ”
“เยลซิทเป็นนักฆ่ายังไม่เคยฆ่าใครซักคน เรลน่าไม่เข้าใจกว่าอีก” เด็กหญิงแย้ง
นักฆ่าหนุ่มหัวเราะเสียงแห้ง หมวกกลมรัดศีรษะแน่นไม่ปลิวแม้ลมแรง บัดนี้คู่ต่อสู้เหลือเพียงคนเดียว แถมเท่าที่เขาสังเกต พลังพิเศษของผู้เชื่อมต่อร่างเล็กก็ไม่มากพอที่จะต่อกรเหล่าตัวการ์ตูนของเขาได้
สายตาเล็กเรียวเหลือบมองเด็กหญิงด้านหลัง ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเงารัตติกาล เขาพยายามหาคำตอบว่าทำไมเด็กตัวเล็กอย่างเรลน่าถึงได้มาเป็นผู้เชื่อมต่อ และเมื่อเขาค้นพบความจริงก็ต้องเกิดความพรั่นพรึงในจิตใจ ไม่คิดว่าโลกใบนี้มีเหตุการณ์เลวร้ายถึงที่สุดที่เกิดขึ้นกับเด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบขวบ ตั้งแต่นั้นมาเยลซิทก็อยู่ข้างกายเธอตลอดราวผู้ปกครอง
และเพราะนิสัยที่ไม่ชอบการฆ่าฟัน เยลซิทจึงเริ่มรับรู้ถึงความน่ากลัวของเงารัตติกาล ถึงแม้อยากถอนตัวก็ไม่อาจทำได้ เพราะทางเดียวที่จะเลิกการเป็นนักฆ่าแห่งเงารัตติกาลได้คือ.. ความตาย!!
ความคิดที่ฝังแน่นในจิตใจโดยตลอดรอการพิสูจน์ เยลซิทเดิมพันกับชายหนุ่มที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุน
ช้างยักษ์กระพือหูใหญ่พานักฆ่าทั้งสองลอยข้ามมหาสมุทรมุ่งหน้าสู่ชายฝั่ง
รถทัวร์สองชั้นพาคณะนักท่องเที่ยวขึ้นเขาสู่อุทยานแห่งชาติเดนาลี ทิวทัศน์เขียวขจีจากไม้ยืนต้นสองข้างทางที่แซมด้วยเกล็ดน้ำแข็งกระจ่างสู่สายตา ภาพภูเขาจาง ๆ ในม่านหมอกไกลลิบเป็นสีขาวโพลน สมกับได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็ง
บ้านไม้หลังเล็กตั้งเรียงรายระหว่างทางขึ้น นักท่องเที่ยวในชุดกันหนาวหนายืนถ่ายรูปบ้าง เดินชื่นชมบรรยากาศแห่งความหนาวเย็นอย่างชื่นมื่น ผืนดินแห้งสีดำมีทางน้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็งจับตัวอยู่เป็นสาย เด็กเล็กวิ่งเล่นและไถลไปกับธารน้ำแข็งอย่างสนุกสนาน ทุกคนดูมีความสุข
แต่ผมกลับรู้สึกแตกต่าง!!!
ตั้งแต่ซมซานขึ้นฝั่งจนแฝงตัวเข้ามากับกลุ่มนักท่องเที่ยวโดยขโมยเสื้อผ้ากันหนาวและกระเป๋าสะพายจากบ้านพักใกล้ชายฝั่ง (หากมีโอกาสกลับมาผมจะเอามาคืนนะครับ) ผมก็นั่งขดตัวเงียบเชียบในเบาะด้านหลังสุดของรถทัวร์ ตุ๊กตาซูอัลในกระเป๋าทำให้สมองคิดหาทางออก หากผมไม่เผชิญหน้ากับสองนักฆ่าก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ แต่หากโผล่ไปตอนนี้ ลำพังแค่ผมคนเดียวคงเอาชีวิตไปทิ้ง
ผมจะทำยังไงดี...
ถนนด้านหน้าเริ่มลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางมีสีขาวโพลนเข้ามาแทนที่สีเขียวชอุ่ม อากาศหนาวทิ่มแทงทั่วร่างจนตัวผมสั่นเป็นลูกนก โชคดีที่ในรถมีเครื่องปรับอากาศให้พออุ่นสบายขึ้นมาบ้าง แต่กระนั้นความหนาวเหน็บจากการว่ายฝ่าทะเลน้ำแข็งก็ยังไม่จางหายไปง่าย ๆ อยู่ดี
‘โฮ่ง ๆ ๆ!!’
เสียงเห่ารัวดังจากด้านหลัง คงไม่น่าแปลกใจหากเสียงจะดังจากข้างทาง เพราะตลอดทางที่ผ่านมาผมมองเห็นสัตว์น้อยใหญ่อย่างหมีกริซลีย์หรือแพะภูเขา แต่เสียงที่ดังนี้ไล่หลังรถทัวร์มาไม่ห่าง
นักท่องเที่ยวเริ่มสนใจเปิดหน้าต่างชะโงกหน้ากลับไปมอง และเมื่อเห็นภาพทุกคนก็ต้องตกตะลึง เสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังระงมลั่นรถ คนขับมองกระจกหลังก็ต้องเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อหนีจากร่างปราดเปรียวที่ไล่ตาม
หมาป่าสีดำสนิทวิ่งกวดรถทัวร์ด้วยความเร็ว ทางลาดชันไม่เป็นอุปสรรคสี่ขาปราดเปรียว แม้วิ่งเร็วขนาดนั้นแต่กล้ามเนื้อสีดำไม่มีขนกระดิกสักเส้นเนื่องจากทำด้วยหินแข็ง เพียงแค่วิ่งใกล้จนถึงระยะสายตาทุกคนก็รู้ว่ามันไม่ใช่หมาป่าธรรมดา
‘รูปปั้น!!’
‘รูปปั้นอีกแล้วเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...’
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าศัตรูตามรอยจนเจอแล้ว ต่อให้พรางตัวแนบเนียนแค่ไหน แต่ประสาทดมกลิ่นของสุนัขย่อมทำให้การตามรอยไม่ใช่เรื่องยาก และเมื่อผมชะโงกหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็เห็นช้างสีฟ้ากระพือปีกตามหลังรูปปั้นหมาป่าตัวเขื่องมาติด ๆ
ผมกำเนเปียร์โบนส์เพื่อสร้างตารางแสงลดความเร็วขวางหน้าหมาป่าหิน แต่ความปราดเปรียวและประสาทสัมผัสของสัตว์ป่านั้นดีเกินคาด ตารางแสงที่อยู่นิ่ง ๆ ไหนเลยจะเป็นอันตรายต่อร่างที่เคลื่อนไหวรวดเร็วแบบนั้น
‘โครม!!’
ร่างแข็งแกร่งพุ่งกระแทกท้ายรถทัวร์จนเสียหลัก คนขับรถต้องควบคุมพวงมาลัยหมุนไปมาอย่างตระหนก หัวรถเอียงเป๋ไปเลนตรงข้าม แสงไฟจากรถที่วิ่งสวนทางสาดใส่เป็นสัญญาณพร้อมเสียงแตรดังลั่น คนขับรีบเหยียบคันเร่งก่อนหมุนพวงมาลัยพารถกลับเข้าเลนตัวเองอย่างฉิวเฉียด
ผมกวาดตามองภาพความอลหม่านในรถ นักท่องเที่ยวหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนยึดเกาะเบาะที่นั่งพลางตัวสั่นงันงก ผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นสาเหตให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บ จึงตัดสินใจเปิดหน้าต่างก่อนแทรกร่างผ่านช่องสี่เหลี่ยมพุ่งตัวลงจากรถ
“เนเปียร์โบนส์!!!”
ตารางแสงถูกสร้างเพื่อเพิ่มความเร็วร่างกาย เพียงเท้าสัมผัสพื้นผมก็ดีดตัวพุ่งเข้าข้างทางทันที
หมาป่ารั้งเท้าทั้งสี่เปลี่ยนทิศทาง เป้าหมายของมันย่อมไม่ใช่รถทัวร์คันใหญ่ สี่เท้าตะกุยพื้นถนนจนยุบเป็นรอยลึกก่อนร่างปราดเปรียวจะพุ่งทะยานตามมาไม่ห่าง
เพราะความเร็วที่ถูกเพิ่มขึ้น การเคลื่อนไหวของผมจึงมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น แต่ละก้าวที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นพาร่างทะยานไกลเกือบสิบเมตร ผมวิ่งผ่านจุดตั้งแคมป์วันเดอร์เลค โดยเลี่ยงวิ่งชิดริมไหล่ทางเนื่องจากกลางลานกว้างเป็นธารน้ำแข็งบาง หากถูกเหยียบย่ำด้วยความเร็วและรุนแรงผืนน้ำแข็งคงแตกเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว
สองเท้าเริ่มรู้สึกหนักอึ้ง จากผืนดินแข็งกลับมีน้ำแข็งแซมปกคลุม ท้องถนนสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาว ทางเดินเบื้องหน้าลาดชันขึ้นสู่ภูเขา หิมะและน้ำแข็งคลุมครอบจนขาวโพลน แต่ผมไม่มีเวลาชื่นชมธรรมชาติเมื่อสัตว์ร้ายไล่หลังมาในอย่างกระชั้น
‘กรร!!!!’
หมาป่าหินคงคิดว่าที่ผมหนีเพราะหวาดกลัว.. แต่มันคิดผิด!!
‘เปรี้ยง!!’
ผมหมุนตัวกลับเหวี่ยงขาฟาดเข้ากลางลำตัวหมาป่าจนมันกระเด็นกลับหลังไปไกล เสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดของสัตว์ป่าดังก้อง
แต่มันไม่ยอมแพ้ อุ้งเท้าพยุงร่างดำปลาบพลางแยกเขี้ยวใส่ หินตรงส่วนลำตัวหลุดร่อนเป็นแผ่นยุบตามรอยกระแทก แต่แววตาสีนิลกลับจ้องเขม็งกลับมาที่ผมอย่างมาดร้าย
และเมื่อตัวตั้งตรง หมาป่าก็ตะกุยพื้นพุ่งเข้าใส่ผมอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ใช่เพราะผมไม่หวาดกลัว...
ไม่ใช่เพราะผมมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง...
แต่เพราะผมไม่อาจเสียเวลาอันมีค่าไปแม้เพียงเสี้ยวนาที
ผมย่อร่างลงต่ำ ก่อนใช้พลังทั้งหมดพุ่งทะยานสวนทางกับรูปปั้นสัตว์ร้าย กำปั้นเล็กถูกเพิ่มความเร็วมหาศาลจนการเหวี่ยงหมัดรุนแรงเทียบเท่าลูกกระสุนปืน ผมพุ่งหมัดเข้าใส่ปากที่อ้ากว้างหมายงับข้อมืออย่างกระหาย เพียงแค่แรงอัดอากาศจากปลายกำปั้นก็แผ่พุ่งกระแทกจนฟันสีดำแตกร้าว หมัดเสียบเข้าใส่ศีรษะหมาป่าและบดขยี้จนรูปปั้นหินกระเด็นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เศษหินพุ่งปักผืนน้ำแข็งหนาเป็นรูปร่างราวกับตัวต่อจิ๊กซอว์ รูปปั้นหินถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
แม้จะจัดการหนึ่งศัตรูไปได้ แต่ผมไม่อาจคลายระวังได้เมื่อเงาวงกลมทาบทับเหนือศีรษะ ไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองก็รู้ว่าบัดนี้ศัตรูที่กำลังตามล่าไล่มาจนทันแล้ว
“ฉันก็ไม่ได้หวังหรอกนะ ว่ารูปปั้นนั่นจะทำอะไรนายได้ ขนาดรูปปั้นเทพเจ้าทั้งสองยังเสร็จนายเลยนี่”
เสียงเรียบของนักฆ่าที่มองลงมาด้วยสายตายากจะคาดเดาความรู้สึกได้ ผมตั้งท่าต่อสู้อย่างระวัง หากจะช่วยชีวิตซูอัลได้ผมจำเป็นต้องจัดการเด็กหญิงผู้นั่งอยู่ด้านหลัง แต่ปัญหาคือนักฆ่าชายด้านหน้าที่มีพลังร้ายกาจจนผมแทบเอาชีวิตไม่รอด
แต่เมื่อสายตาสะดุดกับบางสิ่งในสองมือเด็กหญิง แขนที่ยกตั้งก็พลันลู่ตกข้างกายอย่างไร้การควบคุม
ตุ๊กตาสองตัวรูปร่างคุ้นตา ทั้งใบหน้า ทรงผม เครื่องแต่งกาย ผมภาวนาให้สายตามองผิด... แต่มันคือเรื่องจริง
“เน็กเธอร์ ลอร่า.. ไม่จริง!!”
ผมเข้าใจผิดไปถนัด!!
เพราะมั่นใจในความสามารถของเน็กเธอร์และลอร่า จึงวางใจคิดว่าพวกเขาปลอดภัย แต่บัดนี้คำตอบของเรื่องที่ผมเข้าใจกลับปรากฎในมือของเด็กหญิงในสภาพที่ทำให้ผมสิ้นหวัง
“ต่อสู้สิ!! ถ้านายหนี ตุ๊กตาสองตัวนี่อาจหลุดมือเรลน่าไปกระแทกพื้นจนแขนขาหรือไม่ก็... หัวขาดก็ได้นะ”
นักฆ่าหนุ่มพูดเสียงเรียบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง สองขาที่ชะงักงันพลันหยุดกึก ทั้งตุ๊กตาซูอัลในกระเป๋าและตุ๊กตาเน็กเธอร์กับลอร่า หากไม่จบการต่อสู้เสียที่นี่ผมคงไม่อาจช่วยชีวิตเพื่อนทั้งสามได้
หน้าแหงนขึ้นฟ้า สายตามองนักฆ่าทั้งสองอย่างตัดสินใจ
“ลงมาสิ!!”
ผมตะโกนเสียงดัง แม้ใจจะหวั่นเกรงกับพลังพิเศษอันน่าสะพรึง แต่วินาทีนี้ผมไม่อาจหนีได้อีกแล้ว
“คู่ต่อสู้ของนาย.. อยู่ ข้าง หลัง!!”
สิ้นเสียงนักฆ่า ความรู้สึกสยดสยองก็แผ่ซ่านจากด้านหลังจนขนอ่อนกลางหลังลุกเกรียวอย่างไม่ตั้งใจ และเพราะสัญชาติญาณเอาตัวชีวิตรอด ร่างกายจึงกระโดดไปด้านหน้าก่อนสมองสั่ง
‘ฉัวะ!!’
สัมผัสบางเบาเพียงลมพัดผ่าน เลือดกระเซ็นซ่านย้อมพื้นน้ำแข็งขาวขุ่น ก่อนจะรู้ตัวว่าได้รับบาดเจ็บความหวาดกลัวก็ไหลเข้าสู่สมองก่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลกลางหลังเสียอีก
“ไม่นะ...”
ร่างกายคล้ายมนุษย์ในขนาดที่ใหญ่กว่าเกือบสองเท่า กล้ามเนื้อเป็นมัดพองปูดโปนด้วยเส้นเลือดขนาดใหญ่ หัวใจที่ควรจะอยู่ในร่างกายกลับพลิกกลับขึ้นมาแปะที่หน้าอกด้านขวา มันยุบพองเต้นตุบ ๆ ระรัวสูบฉีดเลือดคล้ำข้นเข้าออกจากร่างกาย ฟันแยกยิงยิ้มแสยะมีน้ำลายเหนียวหนืดย้อยหยด
แม้รูปลักษณ์ที่ปรากฏจะดูน่าหวาดหวั่น แต่สิ่งที่สายตาจับจ้องไม่อาจคลายได้ และเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างผมสั่นเทิ้มด้วยความกลัวเกินควบคุม คือเล็บใหญ่ราวมีดเล่มยาวที่ประดับบนนิ้วทั้งห้าบนแขนซ้ายที่ใหญ่กว่าแขนอีกข้างเกือบสองเท่า
ผมจำร่างอันน่าสะพรึงได้ติดตาตั้งแต่เล่นเกมแนวสยองขวัญบนเครื่องเกมโบราณอย่าง Play Station เป็นครั้งแรก แม้ภาพที่ฉายผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์จะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมแข็ง ๆ ไม่สมจริง แต่ความน่ากลัวของบอสในเกมนั้นก็สร้างภาพจำในจิตใจได้เป็นอย่างดี
‘ไทแรนท์!!’
ซอมบี้ที่ถูกเชื้อไวรัส T จนร่างกายถูกพัฒนาแปรเปลี่ยนเป็นอสุรกายที่มีแต่ความโหดเหี้ยม ตัวละครที่นักเล่นเกมต่างสะพรึงกลัวจากวีดีโอเกมชื่อดัง ‘เรสซิเดนท์ อีวิล’[3] บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่ด้านหลังผมพร้อมง้างกรงเล็บใหญ่เตรียมฟาดฟันอีกเป็นคำรบที่สอง
แม้ความเร็วร่างกายจะยังไม่ลดลง แต่พื้นน้ำแข็งลื่นทำให้ไม่อาจเคลื่อนตัวได้เร็วอย่างใจคิด เล็บแหลมทั้งสี่เสือกแทงเข้ามาตามแนวขวาง ผมหงายหลังสะพานโค้งหลบวูบจนกรงเล็บเฉี่ยวท้องไปเพียงคืบ ดูเหมือนพื้นน้ำแข็งไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของมันเลย
เท้าง้างเตะท่อนแขน แต่ข้อเท้าผมกลับถูกดีดกระเด็นจากแรงสะท้อน ผิวหนังยืดหยุ่นเหมือนยางไม่ถูกทำร้ายด้วยการโจมตีทางกายภาพ และเมื่อผมเสียหลัก สิ่งที่ตามมาคือกำปั้นหนาของหมัดขวา
‘หมับ!!’
ผมใช้สองแขนจับล็อคกำปั้นก่อนจะพุ่งบดขยี้ร่าง เรี่ยวแรงมหาศาลของสัตว์ประหลาดกดผมจนหลังติดพื้น แววตาดุร้ายของมันเหี้ยมเกรียมราวกับเห็นผมเป็นมดปลวกที่น่าบดขยี้
“เนเปียร์โบนส์!!!”
ตารางแสงสร้างเหนือพื้น ณ จุดที่ห่างออกไปไม่ไกล ค่าของตัวเลขที่อยู่ในตารางคือค่าการ ‘เบี่ยงเบน’ ทิศทางของสิ่งที่พุ่งผ่าน และเป้าหมายที่ผมเล็งไว้ก็คือ..
‘แสงอาทิตย์!!’
แม้แสงจะไม่แรงนัก แต่เมื่อสะท้อนส่องเข้าตาที่มองเห็นได้ชัดกว่ามนุษย์หลายเท่า ก็ยิ่งเพิ่มอาณุภาพความรุนแรง ไทแรนท์แสบตาจนต้องยกมือกุมเบ้าตา เสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าดังโหยหวนเปิดโอกาสให้ผมรีบกลิ้งตัวออกห่าง
“ย้ากก!!”
ผมระดมโจมตีเป็นชุด ทั้งหมัด ศอก เข่า เท้า ประเคนเข้าใส่ปีศาจร้ายไม่ยั้ง ไทแรนท์ไม่เพียงไม่ป้องกัน มันกลับคำรามอย่างบ้าคลั่งและฟาดกรงเล็บเข้าใส่
เท้าดีดตัวถอยหลังหลบ การวิ่งระยะทางไกลบวกกับการโจมตีเป็นชุดเมื่อครู่ ทำให้ผมหอบจนตัวโยน ลำตัวของมันมีเพียงรอยยุบบาง ๆ หลายจุดเท่านั้น แต่สีหน้าและแววตาไม่แสดงอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย
“โฮกกก โฮกกกกกกกกก!!”
เสียงร้องคำรามลั่นพร้อมอาการเกร็งสั่นของร่างใหญ่ แขนขวาปูดโปนราวกับมีก้อนเนื้อยื้อแย่งกันผุดโผล่ขึ้นมา และเมื่อท่อนแขนบวมพองเต็มที่ ขนาดของมันก็ใหญ่ขึ้นจนเท่ากับอีกข้าง กรงเล็บยืดยาวแหลมน่าสะพรึงกลัว
ไทแรนท์กลายร่างขั้นที่สองแล้ว!!
มันวิ่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนเกือบเท่ากับผมที่เพิ่มความเร็วด้วยตารางแสง กรงเล็บฟาดรัวด้านหน้าพุ่งตรงมาหาผม ดวงตาที่เคยมีแววบัดนี้แดงก่ำราวเส้นเลือดฝอยในตาแตก อากาศถูกเล็บแหลมคมแหวกจนได้ยินเสียงหวีดหวิวดังสะท้อนภูเขาน้ำแข็ง
ด้านหน้าคือปีศาจอำมหิต ด้านหลังคือภูเขาน้ำแข็ง ทางหนีถูกปิดโดยสิ้นเชิง
“เนเปียร์โบนส์ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
ตารางแสงกางกั้นขวางหน้าไทแรนท์หลายชั้น แม้ปีศาจจะสูญเสียความเป็นมนุษย์เนื่องจากถูกไวรัสกัดกินเซลล์ในร่างกาย แต่ประสาทสัมผัสของมันกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ปีศาจเอี้ยวตัวเบี่ยงหลบตารางแสงที่หมายลดความเร็วแต่ละอันได้อย่างง่ายดาย แม้ตารางที่สร้างกลางอากาศในตำแหน่งที่ยากจะหลบเลี่ยง มันยังย่อตัวจนแทบติดพื้นผิดรูปร่างที่มนุษย์จะทำได้ ก่อนไถลตัวกับพื้นน้ำแข็งพุ่งลอดตารางแสงมาได้อีก
กรงเล็บแหลมเหวี่ยงหวือหลังจากร่างทรงตัวได้ ผมกระโดดข้ามตัวปีศาจร้ายเกือบไม่พ้น คมแหลมทำให้รู้สึกเสียวปลายเท้าวูบ
และเมื่อร่างลอยตีลังกากลับหัวเหนือไทแรนท์ ผมก็ใช้สองมือจับศีรษะของมันก่อนกระชากเหวี่ยงกระเด็นไปกระแทกภูเขาจนสะเทือน หิมะและน้ำแข็งที่เกาะค้างหล่นร่วงลงมาทับถมร่างใหญ่ยักษ์จนมิด
ผมทรุดเข่าลงอย่างอ้อนล้า แม้ร่างกายจะเริ่มชินชากับการถูกเร่งความเร็วจากตารางแสงจนผลกระทบมีน้อยกว่าเมื่อครั้งที่ใช้แรก ๆ แต่การเร่งความเร็วต่อเนื่องแบบนี้สร้างภาระให้ร่างกายเกินคาดคิด สองแขนสั่นดิกและมีอาการชาจนไม่อาจขยับได้คล่องดังเดิม ผมรู้ดีว่าแค่การโจมตีเมื่อครู่คงไม่อาจจัดการปีศาจร้ายได้
และก็เป็นดังคาด!! เมื่อกองหิมะกระเด็นกระจัดกระจายพร้อมร่างที่กระโดดพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ไทแรนท์ง้างแขนสองข้างไปด้านหลังหมายพุ่งเสียบทะลุร่างผมที่ไม่อาจเคลื่อนกายหลบหลีกได้ดังเดิม
โจมตีไม่ได้ผล...
หลบหลีกก็ไม่ได้...
น้ำหนักของตุ๊กตาซูอัลในกระเป๋าแม้ไม่มากนัก แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกหนักอึ้ง คงเพราะชีวิตของเพื่อนถูกฝากไว้ในมือ สายตาเหลือบมองตุ๊กตาเน็กเธอร์กับลอร่าในมือนักฆ่าตัวน้อย ก็ทำให้แววตาผมฉายความมุ่งมั่นขึ้นมาอีกครั้ง
“เนเปียร์.... โบนส!!”
ตารางแสงไม่ได้กางกั้นเพื่อดักทางลดความเร็วของไทแรนท์ซึ่งกำลังพุ่งตกลงมาจากด้านบน แต่มันกลับสว่างวาบอยู่เบื้องหน้าผม กำปั้นไร้เรี่ยวแรงพุ่งชกผ่านตารางลงพื้น ‘ค่าความแข็ง’ ถูกเพิ่มขึ้นจากเนื้อนิ่มกลายเป็นเหล็กกล้า ความเร็วที่ยังสถิตอยู่ในร่างกับความแข็งแกร่งของกำปั้นเหล็ก ทุบทะลุธารน้ำแข็งที่ผมนั่งอยู่จนแตกร้าว รอยแยกเป็นทางเคลื่อนไหลไปบนแผ่นน้ำแข็งก่อนจะทำให้ผืนน้ำแข็งใหญ่แตกละเอียด
ร่างผมจมลงกับผืนน้ำเย็นเยียบทันที ความหนาวแล่นเข้าสู่ร่างไม่ต่างจากเมื่อตอนว่ายเข้าฝั่ง แต่อุณหภูมิของน้ำบนเนินเขากลับต่ำกว่าจนสร้างความทรมานให้ร่าง ผมรีบปัดป่ายมือไปมาเพื่อให้ร่างได้เคลื่อนไหวไล่ความหนาวออกไปบ้าง
ไทแรนด์ไม่ชะงักงัน ร่างใหญ่ยังคงพุ่งตกลงมาด้วยความเร็วสูง ปีศาจร้ายอยู่ในท่าทางตัวดุจนักว่ายน้ำกระโดดลงสระ เล็กแหลมทั้งสิบยื่นมาด้านหน้าในทิศทางที่มันมองเห็นเงาร่างผมตะเกียกตะกายว่ายอยู่ใต้น้ำ
เพราะความย่ามใจ และสัญชาติญาณแห่งการฆ่า มันจึงตั้งเป้าหมายไปที่การสังหารโดยลืมคิดถึงความสามารถของผมไปถนัด
ตารางแสงกางกั้นใต้แผ่นน้ำตรงตำแหน่งที่ร่างปีศาจร้ายกำลังพุ่งตกลงมา ผมรีบว่ายออกห่างจากตำแหน่งในขณะที่ไทแรนท์พุ่งลงสู่ผิวน้ำพอดี เล็บแหลมที่ยื่นแทงทะลุผ่านตาราง ก่อนถูกมวลน้ำรอบ ๆ จับตัวเป็นน้ำแข็ง ไอเย็นมหาศาลไหลวนเป็นมวลรอบร่างของไทแรนท์ที่เคลื่อนผ่านตารางจนหมด
และเมื่อ ‘ค่า’ ที่ถูกเปลี่ยนแปลงทำงานจนสมบูรณ์ ‘อุณหภูมิ’ ที่ถูกลดลงของร่างปีศาจยักษ์ก็ทำให้มวลน้ำรอบกายยึดจับพันธนาการกลายเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดมโหฬาร รูปปั้นปีศาจถูกแช่แข็งอยู่ใต้ผืนน้ำดำมืดของธารน้ำแข็งอลาสก้าตลอดไป
มือผมจับก้อนน้ำแข็งที่ยังไม่แตกเป็นแผ่น แขนสั่นเทิ้มออกแรงพยุงร่างตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำ ความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจจนร่างสั่นไม่หยุด เสื้อผ้าผมเผ้าเปียกลู่มีไอจาง ๆ ลอยอยู่ ผมประคองร่างตัวเองลุกยืนอย่างทรมาน
สีหน้าของนักฆ่าตัวน้อยมองมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ชายด้านหน้ากลับมีรอยยิ้มจางทั้ง ๆ ที่รูปปั้นของตนเพิ่งถูกจัดการได้ไปหมาด ๆ
“นายมีความแค้นอะไรกับเงารัตติกาล”
น้ำเสียงเรียบเบาเอ่ยถามสร้างความงุนงงให้ผม
“ความแค้น.. ไม่มีหรอก ฉันไม่มีความแค้นอะไรทั้งนั้น”
“แล้วนายต่อสู้เพื่ออะไร ทำไมต้องดิ้นรนเอาชีวิตมาเสี่ยงถึงขนาดนี้ ถ้าจะหนีหรือเลิกต่อสู้ก็ทำได้นี่นา”
ผมนิ่งงัน ที่ออกเดินทางก็ไม่ใช่เจตนารมณ์ของตัวเองด้วยซ้ำ ผมตกกะไดพลอยโจรตามคาซีมาต่างหาก จริง ๆ แล้วถ้าผมจะหนีก็ไม่ใช่ไม่มีโอกาส แล้วทำไมผมถึงต้องเสี่ยงตายแบบนี้ด้วยล่ะ...
“เพื่อ.. ตัวเองล่ะมั้ง”
นักฆ่านิ่วหน้า ดูเหมือนเขาจะแปลกใจกับคำตอบที่ได้ยิน
“ฉันอาจจะเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ที่ฉันต่อสู้ ก็เพราะต้องการ ‘รักษา’ สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต”
“สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน?”
ผมพยักหน้า มือล้วงหยิบตุ๊กตาซูอัลในกระเป๋า
“เพื่อนแท้ยังไงล่ะ”
นักฆ่านิ่งเงียบ ผมเดาอารมณ์เขาไม่ถูกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ชั่วขณะที่เกิดช่องว่างนี้ขึ้น ผมก็ทำในสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึง
ตารางแสงถูกสร้างในจุดอับสายตาของนักฆ่าทั้งสอง แสงอาทิตย์ถูกหักเหส่องเป็นสายขึ้นไปตกกระทบที่ท้องของช้างสีเทา เพราะสมองนึกไปถึงเมื่อครั้งที่จัดการกับยาน X-Wing ได้ จึงรู้ว่าแม้ความสามารถของตัวละครต่าง ๆ จะไม่แตกต่างจากในเนื้อเรื่องจริง แต่ ‘วัสดุ’ ที่ให้กำเนิดตัวละครเหล่านั้นขึ้นมายังคงเป็นชนิดเดิม
สายตาสังเกตให้ชัดก็รู้ว่าช้างดัมโบ้ที่สองนักฆ่านั่งเป็นพาหนะมา คือบอลลูนลูกเล็ก ดังนั้นเมื่อถูกแสงอาทิตย์ที่หักเหและรวมศูนย์ที่จุดเดียวส่องจี้นานเข้า ผิวหนังจึงเกิดรูเล็ก ๆ
‘ฟู่!!!!!!!!!!’
ลมรั่วจากด้านในอย่างรุนแรง ช้างดัมโบ้ถูกแรงลมพัดพุ่งหวือจนควบคุมทิศทางไม่ได้ ปีกที่พยายามกระพือพลันถูกลมพัดลู่ เด็กน้อยส่งเสียงกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับนักฆ่าชายที่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่เกาะช้างไว้แน่น
ร่างอ้วนกลมเริ่มฟีบแบนเมื่อลมในตัวถูกปล่อยออก ความสูงถูกลดระดับลงเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง ผมไม่รอช้าพุ่งตัวไต่เขาน้ำแข็งก่อนถีบเท้ากระโดดเข้าหานักฆ่าตัวน้อย สองมือคว้าตุ๊กตาในมือที่กำลังหล่นร่วงเพราะเธอปล่อยมือ
ตุ๊กตาที่เหลืออยู่ในมือผมแล้ว!!
เมื่อปลายเท้าสัมผัสพื้น เสียงตกกระแทกเบา ๆ ก็ดังเข้าหูพอดี บอลลูนช้างพาร่างทั้งสองลอยหวือขึ้นไปด้านบนก่อนตกลงบนภูเขาน้ำแข็งที่มีหิมะผืนหนาปกคลุมอยู่ ร่างของทั้งคู่ถูกฝังในหิมะโผล่มาแค่คอ ผมไต่ภูเขาอย่างไม่ลำบากนักเดินเข้าหาเด็กหญิง
“ปลดปล่อยพลังพิเศษเถอะ”
นักฆ่าตัวน้อยสะบัดหน้า เธอไม่ยอมช่วยเหลือโดยง่าย ผมไม่พูดพล่ามทำเพลงสร้างตารางแสงเพิ่มอุณหภูมิก่อนยื่นมือผ่านตารางนั้น
มือเปล่งแสงสีแดงดั่งเปลวเพลิง เพียงแค่สัมผัสผืนหิมะ เกล็ดขาวขุ่นก็ละลายเป็นไอคลุ้งกระจาย ผมล้วงมือลงไปในตำแหน่งที่เด็กสาวถูกฝังอยู่ และเมื่อมือสัมผัสกับสิ่งที่แน่ใจว่าเป็น SSS ของเธอ ผมก็ดึงพรวดขึ้นมาทันที
เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดของตุ๊กตาเจ้าหญิงดังลั่น เพราะความร้อนจากฝ่ามือที่กำเธออยู่ ทำให้ชุดสีขาวฟูฟ่องเปื่อยละลาย ผิวหนังพลาสติกหลุดร่อน ตุ๊กตาร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด
ผมนึกสงสาร แต่ก็ต้องตัดใจคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งไม่มีชีวิต เพียงกำมือแน่นครั้งเดียวร่างตุ๊กตาบาร์บี้ก็ขาดเป็นสองท่อน
“ไม่นะ กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!”
เสียงร้องด้วยความเสียใจกระแทกเข้าทะลุโสตประสาท ผมมองเด็กน้อยอย่างสะเทือนใจ ดูเหมือนว่าการทำลายตุ๊กตาของเธอจะสร้างบาดแผลในจิตใจให้เด็กหญิงอย่างมาก
นักฆ่าชายกัดฟันกรอด เขาเองอยู่ในสภาพที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรเธอได้ แต่ดูเหมือนเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็มีสีหน้าปลงตก
เน็กเธอร์ ลอร่า และซูอัลเปลี่ยนสภาพกลับเป็นคนดังเดิม ดูเหมือนทั้งสามคนจะงุนงงกับภาพที่เห็น และเมื่อเพื่อนทั้งหมดปลอดภัย ผมก็หันหลังก้าวเดินไปหาพวกเขา
“เดี๋ยวสิ!! ทำไมนายไม่ฆ่าพวกเรา”
นักฆ่าชายตะโกนถามเมื่อเห็นผมไม่มีทีท่าสนใจพวกเขาแล้ว
“ผมไม่มีความแค้นกับคุณ และอีกอย่าง.. ตอนนี้เพื่อนผมก็ปลอดภัยแล้วด้วย”
“แต่ต่อให้นายไม่ฆ่า เงารัตติกาลก็ต้องส่งคนมาจัดการพวกเราอยู่ดี สู้ให้ชั้นตายตรงนี้ยังดีกว่า”
สายตาเด็ดเดี่ยวของนักฆ่าทำให้ผมสะท้อนใจ แต่เมื่อมองเด็กหญิงที่สะอื้นให้อย่างเสียใจ ผมก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ถ้านายตาย แล้วเธอจะอยู่ยังไง”
นักฆ่าชะงัก เขามองเด็กน้อยด้วยสายตาละห้อย สมองหวนคิดถึงเมื่อครั้งที่รับรู้ความจริงอันโหดร้ายของเรลน่า
เยลซิทสืบหาประวัติด้วยความใคร่รู้และสงสัยว่าเพราะเหตุใดเด็กตัวเล็กอย่างเรลน่าถึงเข้ามาเป็นนักฆ่าแห่งเงารัตติกาลได้ และเมื่อรู้ เขาก็ต้องช็อคจนแทบลืมหายใจ
เรลน่าเป็นเด็ก ‘ผู้ชาย’ ที่ถูกพ่อของตัวเองจับแต่งหญิงมาตั้งแต่เด็ก และถูกพ่อแท้ ๆ ข่มขืนตั้งแต่เขาอายุได้สี่ขวบ เด็กน้อยไม่อาจต่อต้านกำลังของผู้ใหญ่และตกเป็นเครื่องระบายความใคร่อันวิปริตของพ่อตัวเอง จนเมื่อความชินชาเคลือบจิตใจจนหยาบกระด้าง เขาก็ ‘ฆ่า’ ผู้เป็นพ่อด้วยการผสมยานอนหลับและรัดคอจนขาดใจตายเมื่อเขาอายุได้เพียงแค่หกปีเท่านั้น
ความผิดบาปที่ฝังในใจทำให้เรลน่าปิดรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น โลกของเขามีเพียงตุ๊กตาตัวเก่าที่พ่อหามาให้ตั้งแต่เด็ก ตุ๊กตาที่เปรียบเสมือนเพื่อน พี่สาว หรือแม่
และเมื่อได้รู้ว่าตุ๊กตาตัวนี้คือของสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอได้ เรลน่าจึงผูกพันกับบาร์บี้เป็นพิเศษ เขาไม่เคยเปิดใจให้ผู้ชายคนใดเลยจนกระทั่งพบเยลซิท เรลน่ารู้สึกเหมือนเยลซิทเป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอมากกว่าพ่อบังเกิดเกล้าด้วยซ้ำ ซึ่งเยลซิทเองเมื่อรับรู้ความจริงดังกล่าวก็ปกป้องเอ็นดูเรลน่าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
“ถ้าไม่อยากถูกฆ่า.. ก็ปกป้องเธอด้วยกำลังของนายสิ”
เสียงพูดปลุกสติเยลซิทให้ตื่น นักฆ่ามองดวงตาเข้มแข็งของศัตรูที่ไว้ชีวิตเขาก็รู้สึกขอบคุณ และคิดถูกที่ตั้งความหวังไว้กับการต่อสู้ครั้งนี้ ชีวิตและพลังพิเศษที่เหลืออยู่ เขาจะใช้เพื่อปกป้องเรลน่า ต่อให้ต้องหนีไปสุดขอบโลกก็ตาม
เงาร่างทั้งสี่เดินจากไป ขณะเดียวกับที่หิมะที่ละลายจากเรลน่าไล่มาจนผืนหิมะรอบตัวเขาอ่อนนุ่มพอจะขยับตัวได้ เยลซิทอุ้มเรลน่าที่ร้องไห้เสียใจจนหมดสติเดินลงจากภูเขาอย่างเงียบงัน
แดเนียลก้าวเข้าสู่ปราสาทเงารัตติกาล งานที่ได้รับมอบหมายไม่อาจทำได้สำเร็จ ชายหนุ่มเตรียมใจรับการลงโทษ
แต่เมื่อมองเห็นบรรยากาศโดยรอบ เขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อนักฆ่าทั้งหมดต่างขะมักเขม้นเตรียมพร้อมราวกับกำลังจะออกศึก
“กลับมาแล้วเหรอ แดเนียล”
เสียงทุ้มกังวานของหัวหน้าเงารัตติกาล วาร์ด เยอร์มูห์ กล่าวต้อนรับ บัดนี้เขาลุกจากบัลลังก์ยืนตระหง่านอยู่กลางห้องโถงราวกับราชา
รองหัวหน้าทั้งสามยืนประจำตำแหน่ง ความรู้สึกฮึกเหิมแผ่ซ่านจนสัมผัสได้ แดเนียลพยักหน้าและเดินไปประจำที่เก้าอี้ของตัวเองอย่างรับรู้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“เหล่านักฆ่าแห่งเงารัตติกาล บัดนี้ได้เวลาที่พวกเราจะประกาศชื่อของเราให้ฝังติดในสมองของคนทั้งโลกแล้ว ‘ของสิ่งนั้น’ ต้องตกอยู่ในมือของเรา และมันจะทำให้ไม่มีใครสามารถหาญกล้าต่อกรกับเราได้อีก”
วาร์ดก้าวลงบันไดเดินแหวกฝูงนักฆ่าสู่ประตูโถงใหญ่
“เคลื่อนพลสู่วอชิงตัน ดี ซี!!!”
เสียงตะโกนโห่ร้องดังระงมราวเสียงกลองศึก เหล่านักฆ่ามุ่งหน้าสู่สถานที่เก็บซ่อนวัตถุสำคัญที่กุมชะตาของโลกเอาไว้
[1] ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน (Pirates of the Caribbean) ภาพยนตร์ชุดแนวผจญภัยของโจรสลัดบวกความเป็นแฟนตาซี ผลิตโดย วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส
[2] แจ็ก สแปรโรว์ (Captain Jack Sparrow) ตัวละครในภาพยนตร์ชุด ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน รับบทโดย จอห์นนี เดปป์
[3] เรสซิเดนท์ อีวิล (Resident Evil) ชื่อญี่ปุ่น ไบโอฮาซาร์ด (Bio Hazard) เกมผจญภัยแนวสยองขวัญ พัฒนาโดยบริษัทเกมแคปคอม