บทที่ 21 : อแลสก้า พรมแดนสุดท้ายของโลก
เพราะเสียเวลากับการต่อสู้ค่อนคืน ผมและซูอัลจึงถึงท่าเรือช้ากว่าที่คิดมาก เวลาบ่ายแก่ ๆ ผู้คนขวักไขว่จอแจจนยากจะมองหาคนรู้จัก ผมพยายามสอดส่ายสายตาหาเน็กเธอร์และลอร่า... แต่ไม่พบ
“หรือว่าเน็กเธอร์จะ...”
ผมคิดถึงภาพฝูงสัตว์ประหลาดที่วิ่งแห่ไล่ตามเน็กเธอร์ไป ลำพังเพียงเขาอาจเอาตัวรอดได้ แต่เน็กเธอร์ไม่ใช่คนทิ้งเพื่อน หากเขาต้องสู้พลางคุ้มครองลอร่าพลาง เน็กเธอร์อาจเพลี่ยงพล้ำ
แต่สายตาเชื่อมั่นของซูอัลทำให้ผมลบความคิดในแง่ร้ายออกไป
ดวงอาทิตย์คล้อยลงตามเวลาที่ผันผ่าน ยามกลางวันแดดยังอ่อนจนแทบไม่มีความร้อนกระทบผิวกาย เมื่อตะวันอ่อนแสงลงเรื่อยความหนาวจึงทวีมากขึ้นจนผมจามสองสามครั้ง
แต่ก็ยังคงไร้วี่แววเน็กเธอร์...
ซูอัลที่มองโลกในแง่ดี เริ่มมีสีหน้าวิตก เขาหันมองผมอย่างขอความเห็น
“หรือว่าเราจะขับรถย้อนกลับไปตรงจุดที่แยกกันดีครับ”
“แล้วคาซีกับเซราห์ล่ะ”
ผมเอ่ยอย่างเป็นห่วง สถานการณ์ตอนนี้หากชั่งน้ำหนักดูแล้ว แม้เน็กเธอร์จะน่าเป็นห่วง แต่คาซีที่ถูกโจมตีหายสาบสูญกับเซราห์ที่ถูกรองหัวหน้าเงารัตติกาลจับตัวไปนั้นน่าเป็นห่วงมากกว่า เราสองคนมองหน้ากันและพยักหน้าอย่างตัดสินใจ
“ไปแคนาดา!!”
พวกเราพูดพร้อมกัน...
แม้มติจะเป็นเอกฉันท์ แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดในการนั่งเรือคือ...
พวกเราไม่มีเงิน!!
แค่เดินทางมาถึงท่าเรือก็หืดขึ้นคอ หากต้องโดยสารเรือไปแคนาดา ต่อให้ราคาถูกที่สุดก็ยังต้องจ่ายเป็นพัน สายตามองตามกลุ่มนักท่องเที่ยว เวลาเย็นส่วนใหญ่จะมีแต่นักท่องเที่ยวขากลับมาจากอแลสก้าและแคนาดา ส่วนเรือขาไปเหลือเพียงเที่ยวสุดท้ายที่จะออกในอีกครึ่งชั่วโมง
“เอาไงกันดีล่ะซูอัล ถ้าพลาดเรือเที่ยวนี้ เราคงต้องหาที่นอนแถวท่าเรือนี่เลยนะ”
ซูอัลมองไปรอบ ๆ อย่างพิจารณา และเมื่อเห็นลูกเรือกล้ามใหญ่กำลังแบกลังสัมภาระขึ้นเรือสำราญเป็นระวิง เขาก็ได้ไอเดีย
“ผมหาทางข้ามมหาสมุทรได้แล้วครับ แต่ว่าเราคงต้องเหนื่อยกันหน่อยนะ”
ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย..
นักท่องเที่ยวที่ยืนรอขึ้นเรือหลายคนกำตั๋วเรือแน่น บางคนยังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปวิวทิวทัศน์สวยงามของท้องน้ำสีครามสด ฝูงนกนางนวลโผบินเป็นฉากหลังอันงดงามได้เป็นอย่างดี ในขณะที่บางคนเพิ่งลงจากรถวิ่งกระหืดกระหอบไปซื้อตั๋วอย่างเร่งรีบ
“เร็ว ๆ หน่อยสิ เจ้าเด็กใหม่!!”
เสียงตะคอกจากลูกเรือ Sapphire Princess เรือสำราญสัญชาติอเมริกันเร่งให้ผมและซูอัลเดินเร็วขึ้น แต่น้ำหนักของลังไม้ขนาดใหญ่ที่แบกทำให้ผมเดินขาปัดเป๋ไปมา ขณะที่ซูอัลซึ่งอยู่ด้านหน้าเดินอย่างสบาย
“ผมอยากข้ามฝั่ง แต่ไม่มีเงินติดตัวเลย ให้ผมทำงานแทนค่าโดยสารได้มั้ยครับ”
นี่คือประโยคที่ซูอัลพูดกับหัวหน้าคนงาน ชายชรารูปร่างกำยำมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาพิจารณาหน่วยก้านของซูอัลก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ได้เซ่!! ถ้าแกทำงานที่ฉันสั่งทั้งหมดไหว”
ซูอัลพยักหน้าอย่างยินดี ขณะที่ผมทำหน้าเบ้
และผลที่ตามมา คือเราสองคนต้องแบกลังไม้ใหญ่นับสิบที่กองเรียงอยู่ขึ้นเรือ โดยที่ลูกเรือที่เหลือต่างยืนมองโดยไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่ของพวกเขาแท้ ๆ
ผมไม่อาจสร้างตารางแสงลดน้ำหนักลังไม้ได้ เพราะที่นี่คนพลุกพล่านเกินไป การเดินทางแบบปกปิดตัวตนช่างทำได้ยากลำบากเหลือเกิน เที่ยวแล้วเที่ยวเล่าที่ต้องยก แบก เดิน วาง จากตอนแรกที่ทุลักทุเลพอตัว เมื่อผ่านไปได้ครึ่งหนึ่งของลังทั้งหมด เรี่ยวแรงก็เริ่มหดหายจนผมแทบเดินไม่ไหว
ซูอัลมองด้วยสายตาเป็นห่วง เมื่อผมสบตาเขา ก็ฮึดฝืนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดอีกครั้ง ประสบการณ์การถูกช่วยเหลือเพราะความงี่เง่าของตัวเองมีมาจนนับไม่ถ้วน ผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระของเพื่อนอีกแล้ว
เมื่อลังสุดท้ายถูกวางลงในห้องเก็บของบนเรือลำหรูสูงเกือบเท่าตึกสิบชั้น ผมก็นั่งแผ่หราพิงลังไม้อย่างเหนื่อยล้า ซูอัลปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางเป่าปากอย่างโล่งอก
“เรือลำนี้ไปแค่อแลสก้า ถ้าต้องรอเรือที่แล่นตรงไปแคนาดาก็คงต้องรอถึงพรุ่งนี้” ซูอัลให้ข้อมูล
“ไม่เป็นไรหรอก จากอแลสก้าไปแคนาดาก็ไม่ไกล แถมเดินทางได้ตั้งหลายวิธี”
พรมแดนที่ติดกันของดินแดนน้ำแข็งกับแคนาดาทำให้ผมเบาใจ เพราะตั้งแต่ประเทศจีนมาถึงนี่ เราก็โดยสารยานพาหนะต่าง ๆ มากมาย ทั้งเครื่องบิน รถไฟ รถเช่า รวมถึงรถเบนซ์ที่จอดอย่างเงียบสงบ และคงจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถข้างท่าเรือตลอดกาล
ประตูห้องเก็บของเปิดอ้า พร้อมร่างกำยำของชายชรา
“ใครบอกให้พวกแกนั่งพัก ไปถูเรือต่อโน่น!!”
ผมอ้าปากค้าง ลังไม้ลังละหลายสิบกิโลกรัมเพิ่งถูกขนเสร็จ ยังหย่อนก้นลงนั่งไม่ถึงห้านาที ก็ต้องไปทำงานต่ออีกแล้ว
แต่ซูอัลกลับพยักหน้าและยิ้มให้หัวหน้าคนงาน ผมจึงลุกตามไปอย่างเสียไม่ได้
เสียงหวูดเรือดังเป็นสัญญาณแล่นออกจากท่า เรือลำยักษ์ระวางกว่าหนึ่งแสนตันนี้แทบไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถลอยอยู่บนผืนน้ำได้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันวัยเกษียณที่เดินทางหาความสุขยามชรา รัสเซียเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่เดินทางทางเรือได้สะดวก จึงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวฝั่งอเมริกาเป็นจำนวนมาก
เรือขนาดใหญ่ที่ได้รับสมญานามว่า ‘โรงแรมลอยน้ำ’ นี้ มีทั้งโรงละครที่แสดงโอเปร่าขับกล่อมยามค่ำคืน ทั้งฟิตเนส สปา คาสิโน ถูกจับยัดใส่เพื่อสร้างความบันเทิงเต็มรูปแบบ รวมถึงภัตตาคารหรูก็ตั้งกระจัดกระจายถึงห้าที่รอบลำเรือ
ในภัตตาคารส่วนที่อยู่ด้านหัวเรือ โต๊ะกลมถูกคลุมด้วยผ้าปูสีขาวจับจีบทิ้งชายได้รูป บนโต๊ะมีขวดแชมเปญแช่อยู่ในถังน้ำแข็ง แก้วแชมเปญใสมีร่องรอยการดื่มไปเล็กน้อย แม้อยู่ในที่ร่มแต่นักฆ่าแห่งเงารัตติกาลก็ยังคงสวมหมวกกลมเช่นเดิม
ฝั่งตรงข้าม เด็กหญิงกำลังบรรจงตักเค้กชิ้นเล็กจากขอบโดยไม่ให้โดนสตรอเบอรี่ลูกโตที่ประดับอยู่กึ่งกลาง ครีมสีขาวนวลเลอะรอบปากเมื่อเธอใส่ชิ้นเค้กเข้าไปในปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ทำไมไม่จัดการ ‘เจ้าพวกที่เหลือ’ บนฝั่งเลยล่ะ เยลซิท”
เสียงใสพร้อมคอที่เอียงมองคู่หูอย่างสงสัย เยลซิทยกแชมเปญขึ้นจิบ เขานั่งไขว่ห้างชันเข่าสูง ในมือมีสมุดวาดเขียนเล่มใหญ่วางได้ตำแหน่ง มือขวาลากขีดเขียนยึกยักไปมา ไม่นานก็ปรากฎตัวการ์ตูนจิ๋วรูปร่างหน้าตาเหมือนตัวเขาถูกย่อส่วน
“คิเบอร์ถูกจัดการแล้ว”
ประโยคที่พูดไม่ใช่คำตอบที่เด็กสาวต้องการ แต่กระนั้นก็ทำให้เธอหยุดถามต่อ ดวงตากลมโตหม่นลงวูบหนึ่งก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเล็ก
“สมน้ำหน้า”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่สีหน้าร่าเริงที่เคยมีพลันจางหาย เค้กรสหวานไม่อาจสร้างความสุขแก่ประสาทรับรสของเธอได้เมื่อได้ยินชะตากรรมของเพื่อนนักฆ่าที่ถูกส่งมาทำภารกิจร่วมกัน
เยลซิทเหลือบมองเรลน่า เพราะอยู่ด้วยกันมานานจึงทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่าเด็กน้อยรู้สึกอย่างไร
เมื่อห้าปีก่อน ขณะที่เยลซิทถูกไล่ออกจากสำนักพิมพ์ชื่อดังของอเมริกา เขาตระเวนหางานวาดการ์ตูนตามสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ทั่วนิวยอร์ก แต่เพราะเศรษฐกิจซบเซาจากวิกฤติค่าเงินดอลล่าห์ ทำให้สำนักพิมพ์ต่างพากันลดค่าใช้จ่าย การจะรับนักวาดการ์ตูนอีกคนเพื่อเพิ่มภาระจึงไม่มีทางเป็นไปได้ในยุคนั้น
ระหว่างที่กำลังเดินเตะฝุ่นในศูนย์กลางของมหานครนิวยอร์กอย่างแมนฮัตตัน เยลซิทเหนื่อยอ่อนเพราะไม่ได้กินอาหารเต็มมื้อมาหลายวัน เขาถอดหมวกทรงกลมออกพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก ปอยผมหยักศกสีทองลู่ติดศีรษะเพราะชื้นเหงื่อ เม็ดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าไหลโค้งลงมาค้างอยู่ปลายจมูกโด่งแหลม
‘โครกกกกก!!’
เสียงท้องร้องดังแข่งกับเสียงการจราจรบนท้องถนน เยลซิทนั่งทรุดลงกับกำแพงตึกสีหม่น อดีตอันรุ่งโรจน์ได้พ้นผ่านไปแล้ว การ์ตูนรายสัปดาห์เรื่องเดียวที่เขาเคยได้รับการตีพิมพ์บัดนี้แทบไม่เหลือความนิยมจนต้องโดนตัดจบและเลิกจ้าง
เขามองชายร่างอ้วนในชุดสูทที่ถือแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตก่อนอ้าปากกว้างและยัดมันเข้าไปเกือบครึ่งชิ้นก็ต้องกลืนน้ำลายเอื้อก สมุดวาดเขียนเล่มโตถูกล้วงออกมาจากกระเป๋าสะพาย ดินสอในมือบรรจงขีดเขียนเป็นรูปร่าง เพียงไม่นานแฮมเบอร์เกอร์ที่เห็นก็ปรากฏบนแผ่นกระดาษ
แต่ก็เป็นเพียงรูปภาพ...
ต่อให้วาดเหมือนหรือลงแสงเงาสมจริงแค่ไหน รูปวาดก็ยังเป็นแค่รูปวาด ไม่อาจหยิบออกมากินให้ท้องอิ่มได้
“กินมั้ย”
เสียงเล็กดังลอยจากหัวมุมตึก ใบหน้าผอมเรียวหันไปมองเห็นเด็กหญิงตัวเล็กอายุไม่น่าเกินหกขวบยื่นห่อกระดาษแฮมเบอร์เกอร์ให้ ชุดสีชมพูฟูฟ่องเป็นระบายบ่งบอกถึงฐานะของเด็กน้อยเป็นอย่างดี
แม้แปลกใจ แต่ความหิวที่ครอบงำสมองทำให้เยลซิทไม่เอ่ยคำถาม มือเรียวยาวยื่นรับชิ้นอาหารก่อนแกะห่อกระดาษยัดเข้าปากอย่างมูมมาม เด็กน้อยมองเยลซิทกินแฮมเบอร์เกอร์แล้วยิ้มจนตาหยี จนเมื่อเขากินเสร็จ เธอก็ยื่นดินสอสีเก่าคร่ำคร่าที่ถูกใช้งานแล้วให้
และเมื่อฝ่ามือสัมผัสดินสอสี โลกของเขาก็เปลี่ยนไป!!
เขาก้าวเข้ามาเป็นนักฆ่าของเงารัตติกาลอย่างไม่ลังเล แต่ถึงจะได้ชื่อว่า ‘นักฆ่า’ เยลซิทกลับไม่เคยฆ่าคนเลยแม้แต่หนเดียว เขามักทำงานร่วมกับเรลน่าโดยใช้พลังพิเศษของเด็กหญิงในการทำให้คนกลายเป็นตุ๊กตา เพราะเขาคิดว่าอย่างน้อยเหยื่อที่ถูกจัดการก็ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะอยู่ในสภาพตุ๊กตาก็ตาม
หลังจากนั้นไม่ถึงปี คิเบอร์ก็เข้ามาเป็นหนึ่งในนักฆ่า ทั้งสามคนอยู่กลุ่มย่อยที่ต้องคอยปฏิบัติภารกิจร่วมกันบ่อยครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับมีนิสัยแตกต่าง คิเบอร์ชื่นชอบการฆ่า และที่ชื่นชอบมากกว่าคือการทรมานเหยื่อด้วยการบิดให้ผิดรูปร่างก่อนสังหาร เยลซิทมักเลี่ยงไม่ให้เรลน่าเห็นวินาทีสังหารอันวิปริตของเพื่อนนักฆ่า
ที่ผ่านมาคิเบอร์ไม่เคยทำงานพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เยลซิทจึงรู้สึกสนใจผู้เชื่อมต่อทั้งสองที่สามารถจัดการนักฆ่าผู้เชื่อมต่อ SSS รูบิคได้
สายตาเหลือบมองผ่านบานกระจกกลมใสไปด้านนอก ชายร่างเล็กที่ถือไม้ถูพื้นกำลังถูดาดฟ้าเรือแบบเก้ ๆ กัง ๆ ท่าทางไม่มีแววที่จะสามารถจัดการคิเบอร์ผู้เหี้ยมโหดได้เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ขณะที่เรลน่ามองใบหน้าเรียวของจิตรกรหนุ่มราวกับพยายามอ่านความคิด
แอลกอฮอล์ในแก้วใสไหลผ่านลำคอจนร้อนผ่าว สีหน้าเยลซิทยังคงนิ่งเรียบไม่แปรเปลี่ยนขณะที่สมองครุ่นคิดบางอย่าง
“ลองจัดการดูซักคนก่อนก็แล้วกัน เรลน่า”
‘แฮ่ก ๆ ๆ ๆ’
ไม้ถูพื้นที่เบาหวิว วินาทีนี้มันกลับหนักอึ้งราวกับดัมเบลยักษ์ สองแขนที่ล้าโรยแรงจากการยกลังหนักต้องมากดถูพื้นเรือเหล็กชั้นบนสุดที่ยาวหลายร้อยเมตรแบบนี้ เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างผมคงถูกสูบหายไปไม่เหลือแน่
ชะเง้อมองซูอัลที่อยู่อีกฝั่งของเรือ คงเพราะการทำงานอย่างหนักตั้งแต่เด็ก เขาจึงชินกับงานทุกประเภท รู้สึกอิจฉาหมอนี่ตงิด ๆ แฮะ ทั้งการมองโลกในแง่ดีจนทำให้มีแต่คนรัก ร่างกายกำยำแข็งแรง หากให้ผมเลือกคบเพื่อนจริง ๆ อย่างคาซีกับเน็กเธอร์คงเป็นตัวเลือกต่อจากซูอัลแน่
“พี่คะ หนูทำตุ๊กตาตกลงไปข้างล่าง พี่เก็บให้หน่อยได้มั้ยคะ”
เสียงใสของเด็กตัวเล็กลอยผ่านขณะที่ผมวิ่งลากไม้ถูพื้นไปมาราวกับนักฮอกกี้น้ำแข็ง สองเท้าพยายามหยุดแต่ความมันลื่นของพื้นเรือที่เพิ่งถู ทำให้ผมลื่นพรืดหัวทิ่มก่อนหมุนตัวกลิ้งไปกระแทกรั้วเหล็กดังโครม
ผมโผล่หน้าจากผ้าขี้ริ้วที่ติดปลายไม้ถูพื้นออกมามอง เห็นดวงหน้าใสของเด็กหญิงในชุดระบายฟูฟ่องมองด้วยสายตาเศร้า เธอชี้มือลงไปที่กราบที่ยื่นออกจากชั้นสองของเรือ
สายตามองตามลงไปเห็นตุ๊กตาบาร์บี้ในชุดเจ้าหญิงนอนแอ้งแม้งจะตกแหล่มิตกแหล่อยู่บนคานที่ยื่นออกมา ผมพยักหน้าเรียกรอยยิ้มให้เด็กน้อย ไม้ถูพื้นวางกองข้างผนังก่อนร่างจะปีนรั้วเหล็กเตี้ย ๆ อย่างทุลักทุเล
“มาแอบอู้อะไรอยู่ ทำไมไม่ถูพื้นให้เสร็จ!!”
คนงานศีรษะล้านตะคอกจากด้านหลัง ผมหันไปมองพลางจะอธิบาย แต่เจ้าคนงานนั่นกลับเดินไปทำท่านอบน้อมกับเด็กหญิง
“ทำตุ๊กตาตกใช่มั้ยครับคุณผู้หญิง ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบลงไปเก็บมาให้”
ไม่พูดเปล่า มือหยาบกร้านหยิบไม้ถูพื้นยื่นมาให้ผมพร้อมสะบัดหน้าเป็นเชิงให้ไปทำหน้าที่ตัวเองต่อ ก่อนที่มันจะปีนเกาะรั้วเหล็กลงไปอย่างคล่องแคล่ว
ผมเกาศีรษะพลางถูพื้นไปพลาง ถ้าดูจากหน้าตาเจ้าเล่ห์ของคนงานนั่น ผมก็พอเดาออกว่าที่มันทำไปเพียงเพราะอาจหวังในเศษเงินเล็กน้อยจากพ่อแม่เด็กเพื่อเป็นทิปสำหรับการบริการนอกเหนือหน้าที่ พวกลูกเรือหรือพนักงานบริการส่วนใหญ่คงคิดแบบนี้สินะ
แต่ก็นับว่าโชคดี เพราะหากผมปีนลงไปเอง ถ้าเรือโคลงเคลงผมคงตกลงไปกระแทกพื้นเรือชั้นล่างสุดหลังหักแน่ ไม่ว่าใครจะปีนก็ตาม ถ้าเด็กน้อยได้ตุ๊กตากลับคืนผลลัพธ์ก็เท่ากัน คิดได้แบบนี้ก็ทำงานต่อโดยไม่กังวล
ผมวิ่งถูเรือไปเรื่อย ๆ โดยไม่เห็นหน้าตาไม่สบอารมณ์ของเด็กหญิงที่มองไล่หลังมาอย่างหงุดหงิด
ซูอัลถูเรือในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบเสร็จไม่พอ เขากลับอาสาช่วยลูกเรือที่ทำงานขะมักเขม้นอย่างเต็มใจ จนสายตาและความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้ากลับแปรเปลี่ยน ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสให้ซูอัลราวกับมิตรสหายที่คบกันมานาน
หลังเสร็จงาน เขาเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดในห้องเก็บของและเดินออกมาที่ดาดฟ้าด้านท้ายเรือ กลิ่นไอทะเลยามค่ำคืนลอยแตะจมูก แม้จะมีเมฆลอยเคลื่อนคล้อยอยู่บนฟากฟ้า แต่แสงจันทร์นวลที่ลอยลอดผ่านหมู่เมฆก็สะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ ท้องน้ำเย็นเฉียบมีไอจาง ๆ ลอยประดับประดาราวกับผืนน้ำเบื้องหน้าเป็นดั่งเวทีแห่งโรงละครอันยิ่งใหญ่
เพราะเหงื่อที่ชื้นทั่วร่างกับไออุ่นจากการทำงาน ทำให้อากาศเย็นไม่สร้างความทรมานแก่ชายหนุ่มเท่าไหร่นัก ซูอัลมองบรรยากาศรอบตัวอย่างตื่นตา เขาไม่เคยได้สัมผัสมหาสมุทรของจริงเลยสักครั้ง ยิ่งบนเรือสำราญหรู ๆ แบบนี้ยิ่งแทบไม่มีทางเป็นไปได้ในอดีต
“อยู่นี่เอง”
ผมวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดยืนใกล้ซูอัล เพราะทำงานหนักติดต่อกันตั้งแต่ช่วงเย็น สองแขนสองขาจึงล้าเปลี้ย มือที่เกาะรั้วเหล็กประคองตัวแทบไม่อยู่
แต่เมื่อเห็นบรรยากาศเบื้องหน้าที่ซูอัลชื่นชมอยู่ ผมก็ต้องยืดตัวตรงอย่างไม่ตั้งใจ จมูกสูดไออากาศบริสุทธิ์ลึกเข้าเต็มปอด ความเหนื่อยล้าถูกบรรเทาจนจางหาย ที่เขาว่ากันว่าธรรมชาติสร้างพลังให้กับมนุษย์เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง
‘ตึง!! ตึง!! ตึง!!’
เสียงดังราวกับพื้นเรือถูกกระแทก ผมและซูอัลหันขวับมองไปยังทิศที่วิ่งมา แม้ภายในเรือจะมีไฟส่องสว่าง แต่ด้านท้ายเรือแบบนี้มีเพียงแสงจาง ๆ จากกระจกหน้าต่างเท่านั้น เงาร่างขนาดใหญ่ทั้งสองที่มุ่งตรงเข้ามาจึงไม่ปรากฎชัดในสายตา แต่สิ่งที่รับรู้ได้ชัดเจนก็คือ
พวกมันไม่ได้มาดีแน่!!
“เจ้ามนุษย์พวกนี้น่ะเหรอ ที่เราต้องกำจัด”
เสียงกังวานดังก้องราวกับพสุธากัมปนาท ร่างใหญ่ด้านซ้ายพูดอย่างรำคาญใจ
“ท่านยืนดูเฉย ๆ ก็ได้น้องข้า แค่มนุษย์สองคนไม่จำเป็นต้องให้ผู้อยู่ ณ จุดสูงสุดอย่างท่านต้องลงมือด้วยตนเองหรอก”
ไม่พูดเปล่า ร่างทางขวาพุ่งเข้าใส่พร้อมเสือกแทงอาวุธยาวในมือเข้าหาผมและซูอัลทันที
พวกเรากระโดดแยกจากกันเพราะเตรียมตัวต่อสู้ไว้แล้ว อาวุธยาวพลิกเปลี่ยนทางกวาดตามซูอัลไปติด ๆ ขณะที่เขาตีลังกากลับหลังหลบปลายแหลมอย่างฉิวเฉียด ปลายเท้าสัมผัสกับรั้วเหล็กกลมก่อนใช้ต่างแท่นดีดตัวพุ่งสวนกลับเข้าหาร่างใหญ่อย่างไม่กลัวเกรง หมัดลุ่นง้างเหวี่ยงใส่ใบหน้าของศัตรูที่เห็นไม่ชัดเจน
‘เคร้ง!!!’
แทนที่ฝ่ายถูกโจมตีจะหน้าหัน กลับเป็นซูอัลที่ถูกแรงสะท้อนจนมือกระเด็นกลับอย่างแรง ผิวกายแข็งของคู่ต่อสู้ทำให้กระดูกนิ้วของซูอัลแตกร้าว
“อ๊ากกก!!”
เขากุมหมัดแน่น ฟันกัดกรอดเพื่อข่มความเจ็บปวด ขณะสองขาวิ่งเคลื่อนหลบการโจมตีต่อเนื่องด้วยอาวุธยาว
“เนเปียร์โบนส์!!”
ตารางแสงปรากฏขวางหน้าศาตราที่จ้องสังหารซูอัล ความเร็วถูกลดจนเจ้าของอาวุธชะงักงัน ซูอัลซึ่งรู้ตัวว่าการโจมตีทางกายภาพไม่ได้ผล กระโดดใช้สองขาหนีบอาวุธยาวและพลิกตัวเต็มแรง ข้อมือไม่อาจทานแรงเหวี่ยงได้ต้องปล่อยอาวุธหล่นกลิ้งกับพื้นหมุนติ้วมาหยุดอยู่แทบเท้าผม
และเมื่อสายตามองเห็นอาวุธชัดเจน ผมก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะรูปร่างของมันช่างคุ้นตาราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เมฆคลี่กระจายเผยแสงจันทร์สว่าง ร่างกำยำสีแดงดำตีสีหน้าขมึงทึงอย่างเกรี้ยวโกรธเมื่อ ‘ตรีศูล’ อาวุธคู่กายถูกทำให้หลุดมือ รูปปั้นทองแดงสะบัดเหวี่ยงแขนฟาดใส่ซูอัลที่ยังทรงตัวไม่อยู่จนเขากระเด็นไปกระแทกกราบเรือด้านในอย่างจังจนเลือดกระอักออกปาก
‘โพไซดอน’ เทพปกรณัมกรีกแห่งเทือกเขาโอลิมปัสในร่างของรูปปั้นทองแดงยืนตระหง่านบนดาดฟ้าเรือ ละอองน้ำกระเซ็นรอบเปรียบประดุจสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
และไม่ต้องให้เดาว่าเงาร่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืดที่โพไซดอนเรียกว่า ‘น้องข้า’ คือใคร
‘ซุส’ราชาแห่งเหล่าเทพเจ้าทั้งปวงยืนมองการต่อสู้ที่แสนน่าเบื่อหน่ายด้วยอารมณ์หงุดหงิด แม้เป็นเพียงรูปปั้นแต่ลักษณะนิสัยและพลังของซุสในตำนานถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายในโลหะขึ้นรูปนี้ราวกับเป็นเทพเจ้าตัวจริง
ผมไม่รอให้ซุสเข้าร่วมวง มือรีบคว้าตรีศูลทองแดงด้ามใหญ่ขึ้นถือ น้ำหนักของมันทำให้ตัวเอนไปข้างหน้า
“วะ วะ เหวอ!!”
เพราะน้ำหนักมหาศาล คมแหลมทั้งสามบนศาตราวุธจึงพุ่งใส่โพไซดอนเต็มแรง แต่มีหรือที่อาวุธคู่ใจจะย้อนกลับมาทำร้ายผู้เป็นเจ้าของ...
‘หมับ!!’
มือใหญ่กางอ้ารับคมหอกสามง่าม ความหนาของโลหะชนิดเดียวกันไม่อาจสร้างความเสียหายแก่รูปปั้นเทพแห่งท้องทะเลแม้แต่น้อย มืออีกข้างคว้าจับด้ามหอกส่วนปลายก่อนออกแรงเพียงนิดเพื่อเหวี่ยงผมให้ปลิวลอยไปกองอยู่ข้างซูอัล
ผมมองหน้าซูอัลซึ่งเพิ่งประคองตัวนั่งได้ อาการเจ็บฟ้องออกมาทางสีหน้าแต่ซูอัลกัดฟันไม่ท้อถอย สายตาที่มองกลับมาบ่งบอกถึงเจตนารมณ์ที่ตรงกัน
ผมพยักหน้าก่อนล้วงกำแท่งไม้ในกระเป๋า
“เนเปียร์... โบนส์!!!”
ตารางแสงสี่เหลี่ยมสองตารางสว่างวาบจนดาดฟ้าเรือสว่างโดยไม่ต้องพึ่งสปอตไลท์ ผมและซูอัลก้าวเดินผ่านตารางแสงด้วยใจมุ่งมั่น เพียงร่างเคลื่อนผ่านไปยังอีกฟากของตาราง พวกเราทั้งคู่ก็หายไปจากทัศนวิสัยของโพไซดอนทันที
‘เปรี้ยง!! เปรี้ยง!! เปรี้ยง!!’
ได้ยินเพียงเสียงหมัดและเท้าที่ประเคนเข้าใส่ แต่ไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหว ผมระดมใช้หมัดโจมตีขณะที่ซูอัลกระแทกท่อนขาเข้าใส่รูปปั้นเทพเจ้าพลางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ความเร็วที่เพิ่มขึ้นย่อมเท่ากับความรุนแรงที่เพิ่มตาม ลำตัวรูปปั้นทองแดงเริ่มมีรอยยุบเป็นวงปรากฎ
โพไซดอนเหวี่ยงฟาดตรีศูลเปะปะราวกับไล่ตบแมลงวัน แต่ความเร็วเพียงแค่นั้นไม่อาจทำให้ศาตราวุธสัมผัสผิวกายพวกเราได้
หมัดเหวี่ยงง้างสุดแขน ขณะเดียวกับท่อนขาที่ง้างเต็มแรงเช่นกัน การโจมตีสุดกำลังในทิศทางตรงกันข้ามย่อมสามารถบดขยี้รูปปั้นทองแดงให้แตกละเอียดเป็นชิ้นได้
‘ฟ้าวววว!!’
เพราะความเร็วที่ถูกเพิ่ม ทำให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้รวดเร็วตามไปด้วย เพียงเสียงดังแหวกอากาศหวีดหวิวใกล้เข้ามา ผมก็ชะงักหมัดและรีบเอียงตัวหลบทันทีสายตามองเห็นเพียงลำแสงพุ่งเฉียดศีรษะไปไม่ห่าง ความร้อนที่สัมผัสได้ทำให้ใบหน้าชาวูบ ซูอัลเองก็ไม่ต่างกัน เขารั้งเท้าตัวเองก่อนก้มตัวม้วนหน้าหลบลำแสงสังหารอย่างเฉียดฉิว
เราทั้งคู่หันกลับไปมอง มือที่เหวี่ยงค้างยังมีประกายลำแสงเจิดจ้าอยู่ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดบัดนี้เป็นจริงขึ้นมา
ซุสกระโจนเข้าสู่การต่อสู้แล้ว…
แม้ความเร็วจะถูกเพิ่มจนสามารถเคลื่อนไหวได้ว่องไวกว่าเดิมนับสิบเท่า แต่เพียงแค่นั้นย่อมไม่อาจเคลื่อนทันความเร็วของ ‘แสง’ ที่เร็วถึง 299,792,458 เมตรต่อวินาทีได้ ซึ่งแน่นอนว่าลำแสงที่พุ่งผ่านพวกเราไปเมื่อครู่จนตกกระทบท้องทะเลสว่างวาบคือศาตราวุธอันทรงพลังที่สุดในหมู่มวลเทพทั้งปวง
‘สายฟ้าของซุส’!!!
เสียงฝีเท้าเหยียบย่ำพื้นเรือดังตึงอย่างเชื่องช้า ในมือที่เมื่อครู่ไร้สิ่งใดบัดนี้กลับมีประกายสายฟ้าผุดวาบขึ้นเป็นแท่งยาว ลำแสงส่งเสียงลั่นราวกับอากาศปริแยกจากกัน
ผมและหนวดเคราหยิกม้วนเป็นปอยแข็งทื่อไม่กระดิก ใบหน้าดุดันราวยักษา กล้ามเนื้อล่ำสันเป็นมัด รอยนูนที่ปั้นเป็นผ้าพันรอบไหล่ม้วนไปถึงเอวและทิ้งชายปกคลุมร่างกายท่อนล่างย่อมไม่กระดิกเปิดเผยเรือนร่างเบื้องหลังอาภรณ์ให้อุจาดเมื่อโดนลมพัดเป่า ดวงตานูนไร้แววแต่ก็รับรู้ได้ว่ากำลังจ้องมาทางพวกเราอย่างไม่ยี่หระ
ซูอัลที่เร็วกว่ารีบถีบเท้ากับพื้นพุ่งตัวเข้าหารูปปั้นเทพเจ้าพร้อมเหยียดขาถีบเต็มแรง ซุสแม้จะเคลื่อนกายเชื่องช้าในสายตาพวกเราที่ถูกเร่งความเร็ว แต่สายฟ้าในมือกลับไม่เป็นเช่นนั้น
“ระวัง!!”
ผมรีบก้าวตามไปเพราะเห็นประกายสายฟ้าจากมือส่องสว่างวาบขึ้นมา มือคว้าหลังคอเสื้อซูอัลที่ไม่มีทางเปลี่ยนทิศกลางอากาศได้พลางกระชากเต็มแรง ร่างกำยำถูกเหวี่ยงหวือไปอีกทางหลบเลี่ยงสายฟ้าที่พุ่งเฉียดใบหน้าไปอย่างฉิวเฉียด
และดูเหมือนการช่วยชีวิตซูอัล จะเป็นช่องทางให้พวกเรามีชัย
ร่างที่ถูกเหวี่ยงลอยหันมองปลายทางที่ตนพุ่งไป และเมื่อเห็นตำแหน่งลงพื้น ซูอัลก็คิดหนทางรอดได้ เขาพลิกตัวกลางอากาศก่อนใช้มือคว้าจับด้ามตรีศูล แรงเหวี่ยงที่เพิ่มความเร็วมหาศาลทำให้แม้แต่เทพอย่างโพไซดอนก็มิอาจต้านทาน
ปลายเท้ารองรับร่างก่อนกระแทกพื้นเรือ มือเสือกแทงอาวุธที่แย่งชิงจากเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
“เนเปียร์โบนส์!!!”
เพราะเพิ่งต่อสู้ร่วมกันมา จึงรับรู้ความต้องการของกันและกันได้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก เพียงมองตาของซูอัลผมก็เข้าใจและสร้างตารางแสงเพื่อ ‘เพิ่มความเร็ว’ ของตรีศูลที่พุ่งผ่าน
เช่นเดียวกับร่างกาย ความเร็วที่ถูกเพิ่มย่อมหมายถึงความรุนแรงที่เพิ่มตาม คมของอาวุธทองแดงพุ่งเสียบรูปปั้นซุสจนมิดด้าม ปลายแหลมเจาะทะลุออกไปด้านหลัง และเพียงไม่นาน รอยแตกร้าวก็เริ่มลามจากร่องรอยเสียหายไปทั่วร่าง ซุสคำรามลั่นจนท้องฟ้าปั่นป่วน สายฟ้าในมือพุ่งยิงสะเปะสะปะไร้ทิศทาง บ้างพุ่งขึ้นสู่มวลเมฆหนาบนท้องฟ้า บ้างกระทบลงผืนน้ำ แต่ไม่มีสักเส้นที่ทำอันตรายต่อผู้ใดได้
และร่างทองแดงก็แตกละเอียดร่วงกราวลงกองกับพื้น แม้เป็นเทพเจ้า แต่รูปปั้นก็ยังคงเป็นรูปปั้น เมื่อแตกเสียหายก็เท่ากับชีวิตที่ถูกปลุกขึ้นด้วยพลังพิเศษดับสูญ
“ม่ายยยยยย!!!! น้องข้า”
โพไซดอนคร่ำครวญเสียงดังสนั่น เพราะเป็นรูปปั้นจึงไม่อาจหลั่งน้ำตาได้ แต่ใบหน้าบูดเบี้ยวอย่างคั่งแค้นก็ทำให้พวกเรารับรู้อารมณ์ของรูปปั้นเทพเจ้าได้เป็นอย่างดี
“พวกแก เจ้าพวกมนุษย์ต่ำช้า บังอาจหันคมเขี้ยวใส่เทพเจ้าอย่างเรา ข้าจะลงทัณฑ์พวกแกอย่างสาสม!!!”
แม้ไร้ศาสตราในมือ แต่พวกเราลืมเรื่องสำคัญไปสนิท....
พวกเราอยู่กลางมหาสมุทร!!!
เรือสำราญลำใหญ่หยุดแล่นทั้ง ๆ ที่เครื่องยนต์ทำงานปกติ ตัวเรือสั่นไหวราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นโยกคลอน เสียงกรีดร้องระงมจากนักท่องเที่ยวที่กำลังสำราญกับการให้บริการดังลั่นจากทั่วทุกมุมของลำเรือ ผมและซูอัลทรงกายแทบไม่อยู่ พลังพิเศษเริ่มจางหายจนความเร็วลดลงกลับสู่สภาพปกติ
“คุณเรแพน ถ้าพวกเราอยู่บนเรือ คนอื่น ๆ ต้องแย่แน่ครับ!!”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ โดดน้ำแล้วว่ายไปเหรอ”
เขาคว้าข้อมือผมก่อนออกแรงดึงเบา ๆ ร่างเล็กของผมถูกลากตามมือเขาไป และทิศทางที่ซูอัลวิ่งไปก็คือ...
ท้องน้ำด้านล่าง!!
“ฮะ.. เฮ้ย!!! ซูอาลลลลลลลลลลล”
ระยะทางจากดาดฟ้าเรือถึงผืนน้ำหลายสิบเมตร เราลอยละล่องอยู่กลางอากาศท่ามกลางกระแสลมเย็นยะเยือก ก่อนตกถึงพื้นน้ำเพียงไม่กี่เมตร ซูอัลใช้พลังพิเศษสร้างกล่องของขวัญทันที แม้ไม่รู้ว่าของในกล่องคืออะไรแต่เขามั่นใจว่าสิ่งที่ได้รับจากนักบุญนิโคลัสย่อมแก้ไขสถานการณ์วิกฤตินี้ได้
และกล่องของขวัญที่ปรากฏก็มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ผมเคยเห็นกล่องใหญ่ขนาดนี้มาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อตอนหลบหนีจากโคลอสเซียม
ไม่รอให้เดา ซูอัลกระตุกเชือกเปิดผา ของในกล่องตกร่วงลงกระทบน้ำจนแตกกระจาย แต่ท้องด้านล่างที่แบนทำให้มันไม่จมลงไปกับน้ำ ซูอัลอ้าขาคร่อมเบาะอย่างพอเหมาะพอดี
เพียงกดสวิตซ์ เครื่องยนต์ก็แผดเสียงดังคำรามลั่น ซูอัลบิดคันเร่งพา ‘เจ็ทสกี’ สีดำขนาดใหญ่ที่มีกำลังหลายร้อยแรงม้าฝ่าผืนน้ำยามค่ำคืนออกห่างจากเรือสำราญอย่างรวดเร็ว
“ซูอัล เบา ๆ หน่อย”
ผมส่งเสียงร้องเตือนเมื่อเจ็ทสกีกระแทกคลื่นลอยหลายครั้ง
“ไม่ได้หรอกครับคุณเรแพน ไม่รู้ว่ารูปปั้นนั้นจะไล่ตามมาทันเมื่อไหร่”
“เบาลงนิดนึงไม่ได้เหรอ”
“เอาไว้ให้แน่ใจว่าเราหนีพ้น แล้วค่อยลดความเร็วดีกว่าครับ”
“แต่.. ฉัน จะ ร่วง แล้ววววววว!!”
ซูอัลผ่อนคันเร่งทันที เขาหันมามองแล้วก็ทำหน้าสำนึกผิด เมื่อเห็นสภาพผมที่นอนพาดกับเบาะด้านหลังอย่างทุลักทุเล ก็ตอนที่ร่วงลงมาเขาไม่ทันให้ผมตั้งตัว ผมเลยนั่งคร่อมเบาะไม่ทันนี่นา
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ระวังเองแหล่ะ”
ผมกล่าวหลังจากตะเกียกตะกายปีนพลิกเปลี่ยนตำแหน่งจนนั่งซ้อนด้านหลังเจ็ทสกีได้แล้ว กระแสน้ำไม่รุนแรงนักแต่ก็มีกำลังเพียงพอจะไหวโยกเจ็ทสกีให้โคลงเคลงไปมาจนน่าเวียนหัว เสื้อผ้าที่ชื้นเหงื่อเริ่มแห้งจนอากาศหนาวซึมไล้ผิวกายทำให้ขนลุกซู่ ไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงฝั่ง แต่ถ้าคำนวณจากเวลาที่เราแล่นเรือมาตั้งแต่เย็น คิดว่าหากบิดเจ็ทสกีเต็มแรงสักสองสามชั่วโมงน่าจะมองเห็นฝั่ง
‘ซู่!!!!’
เสียงมวลน้ำเคลื่อนตัวจากด้านหลังทำให้พวกเราหันกลับไปมองทันที
แล้วผมกับซูอัลก็ต้องเบิกตาค้าง เมื่อภาพที่เห็นสร้างความสะพรึงกลัวจนร่างสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ท้องน้ำที่เคยโยกไหวเพราะคลื่นลมเบากลับกระเพื่อมอย่างบ้าคลั่ง ผืนน้ำปูดโปนยืดตัวยาวขึ้นราวกับหนวดปลาหมึก สายน้ำนับสิบส่ายไปมาเหมือนมีชีวิต และ ณ จุดสูงสุดของปลายสายน้ำที่สูงที่สุด ปรากฏเงาร่างที่ยืนอยู่บนนั้น
“แกหนีไปไหนไม่รอดหรอก เจ้าพวกมนุษย์!!!”
สมเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล โพไซดอนควบคุมมวลน้ำมหาศาลราวกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย ถ้าจำไม่ผิดผมเคยเห็นรูปปั้นสองตัวนี้ประดับอยู่ในภัตตาคารหนึ่งด้านหัวเรือ พลังพิเศษของศัตรูคือการสร้างชีวิตตัวละครจากภาพวาดหรือรูปปั้นต่าง ๆ ผมคิดถึงยานรบที่ไล่ตามล่าเรา หากยานรบที่ลอยออกมาจากแผ่นโปสเตอร์สามารถยิงแสงเลเซอร์ได้ รูปปั้นโพไซดอนจะใช้พลังควบคุมน้ำก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ซูอัลบิดคันเร่งเต็มแรง เจ็ทสกีทะยานพุ่งแหวกผืนน้ำฉวัดเฉวียน แม้คลื่นลมจะพัดอย่างคาดเดาทิศทางไม่ได้ แต่ประสาทสัมผัสของเขากลับเฉียบคมหักซ้ายขวาโยกหลบได้อย่างคล่องแคล่ว
‘ซู่ม!! ๆ ๆ ๆ ๆ’
หนวดน้ำหลายเส้นทะยานซัดไล่หลังมา ผมร้องเสียงหลงขณะที่ซูอัลหักเลี้ยวหลบฉิวเฉียด กระแสน้ำปะทะกันจนแตกกระจายสาดซัดเปียกชุดจนชุ่ม แต่เราไม่มีเวลาสนใจอะไรทั้งนั้น เพราะเทพเจ้าผู้บังคับน้ำกำลังควบหนวดเส้นยาวไล่หลังมาใกล้เรื่อย ๆ
ตารางแสงสว่างวาบขวางหน้าเจ็ทสกี ผมสร้างตารางเพิ่มความเร็วของยานพาหนะจนมันแล่นเร็วขึ้นหลายเท่า คลื่นเล็กที่ซัดต้านขวางการเคลื่อนที่ถูกพุ่งชนกระจายโดยไม่อาจลดความเร็วของเจ็ทสกีได้เลย เรากำลังทิ้งห่างโพไซดอนมากขึ้นเรื่อย ๆ
‘ครืนนน!!!’
ผืนน้ำเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ก่อนก่อกำเนิดเป็นคลื่นยักษ์สูงกว่าสิบเมตร มวลน้ำมหึมาโถมซัดมาจากทางด้านหน้า ต่อให้ความเร็วถูกเพิ่มมากขนาดไหนก็ไม่อาจต้านความรุนแรงของมหาคลื่นอันยิ่งใหญ่ได้
“จับแน่น ๆ นะครับ คุณเรแพน”
ซูอัลกลับทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด เขาบิดคันเร่งพาเจ็ทสกีพุ่งเข้าใส่คลื่นยักษ์ในแนวเฉียง ท้องยานพาหนะไต่เอียงทำมุมกับเกลียวคลื่นในแนวตั้ง ผมเกาะเอวเขาแน่นเมื่อเจ็ทสกีไต่ระดับขึ้นไปราวกับกระดานโต้คลื่น สายน้ำด้านบนไหลลงมาราวน้ำตก แต่ไม่อาจหยุดยั้งพาหนะที่ถูกเพิ่มความเร็วขึ้นได้
“ย้ากกกกกก!!!”
เขาบิดคันเร่งจนสุด เจ็ทสกีไต่เพดานน้ำในแนวตั้งฝืนกฎธรรมชาติพุ่งทะยานขึ้นฟ้าราวกับจรวด
“X’Mas Gift!!! X’Mas Gift!!”
ซูอัลสร้างกล่องของขวัญสองกล่องตรงหน้าผม มือคว้าจับเชือกและกระตุกอย่างไม่รอช้า ผมกอดของสองชิ้นจากกล่องแน่นด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างหนึ่งรัดรอบเอวซูอัลเพราะแรงโน้มถ่วงกำลังดูดให้ผมหล่นลงไปข้างล่าง
“ปลดขีดจำกัดสปิริต... Nicolas’s Gift!!!”
กล่องของขวัญจิ๋วสีขาวผูกโบสีทองปรากฏขึ้นในมือของซูอัล เพียงแค่ดึงริบบิ้นฝ่ามือเขาก็สว่างวาบ
“ฝ่ามือพายุหมุน!!”
ซูอัลคว้าคอเสื้อผมเหวี่ยงลอยหวือไปในอากาศ ก่อนจะใช้พลังพิเศษของนักฆ่าคนน้องของตระกูลจางที่ได้รับจากการการปลดขีดจำกัด สร้างลมหมุนจากฝ่ามือพุ่งเข้าใส่ผมที่ยังลอยค้างอยู่อย่างไร้การทรงตัว
“ใช้ของในมือสิครับ”
ผมเพิ่งคิดขึ้นได้ ของสองอย่างที่ได้รับจากกล่องของขวัญแม้เมื่อครู่จะไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว
มือซ้ายหยิบกระดานโต้คลื่นวางประกบกับเท้าสองข้าง ลมหมุนพัดหวือเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง หากแต่กระดานแผ่นหนาถูกลมพัดทำให้ร่างผมหมุนติ้วตามกระแสลมโดยไม่ถูกกระหน่ำทำลายล้าง ทิศทางที่มุ่งหน้าไปคือกระแสน้ำเส้นยาวที่โพไซดอนยืนสถิตควบคุมอยู่ด้านบน
และของในมือขวาไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันใช้ทำอะไร...
ค้อนเหล็กกล้าขนาดเหมาะมือจากของขวัญกล่องที่สามถูกกระชับแน่นในมือสองข้าง โพไซดอนเห็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้เป็นเทพก็ไม่คาดคิดว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราจะสามารถใช้พลังพิเศษได้สอดประสานกันทั้งหลบรอดการโจมตีของตนจนสามารถพลิกโอกาสกลับมาเป็นฝ่ายรุกได้
แต่กระนั้นมหาเทพก็ยังคงเป็นมหาเทพ
กระแสน้ำแผ่พุ่งยืดขึ้นจากด้านล่างราวกับจะมัดพันผมไม่ให้เคลื่อนเข้าใกล้ผู้เป็นนายของมัน ลำพังเพียงค้อนเหล็กไม่อาจซัดมวลน้ำหนาแน่นนับสิบสายให้แตกกระจายได้
“เนเปียร์โบนส์!!”
ผมสร้างตารางแสงดักด้านหน้าตนเอง ร่างที่พุ่งผ่านเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง ความเร็วจากกระแสลมหมุนบวกกับความเร็วจากตารางแสง บัดนี้ร่างผมเคลื่อนเข้าใกล้ความเร็วระดับที่เกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถจินตนาการได้
สายน้ำด้านล่างที่ยืดยาวหมายพันธนาการร่างไม่อาจไหลทันการเคลื่อนไหว
กระทั่งสายน้ำที่ถูกกางเป็นม่านปราการขวางหน้าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลก็ไม่อาจต้านทาน
ค้อนเหล็กเหวี่ยงซัดฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกราดเข้ากระแทกรูปปั้นทองแดงอย่างจัง แค่เพียงครั้งเดียวรูปปั้นใหญ่ก็ถูกทำลายแตกละเอียดเป็นผุยผงหล่นร่วงลงสู่มหาสมุทรดำมืดก่อนฝังเศษชิ้นส่วนใต้ท้องน้ำตลอดกาล
ร่างกายปวดร้าวแทบเป็นเสี่ยง ๆ กำลังลอยตกลงจากอากาศสู่ผืนน้ำเย็นเยียบ ซูอัลเองแม้จะเหนื่อยล้าเพราะถูกเพิ่มความเร็วครั้งหนึ่งตอนอยู่บนเรือ แต่ก็ยังฝืนบิดเจ็ทสกีมารับร่างผมได้ทันเวลาก่อนจะกระแทกผืนน้ำ
“สำเร็จแล้วนะครับ คุณเรแพน”
ผมยิ้มอย่างอ่อนแรงให้ซูอัลแทนคำตอบ ลมหายใจหอบยาวไม่เป็นจังหวะบ่งบอกสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ แต่ความโล่งใจทำให้ประสาทได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง
“บอกแล้วว่าไม่สำเร็จ รูปปั้นสองตัวนั่นไม่เห็นจะน่ารักเลย”
เสียงเล็กใสเอาแต่ใจดังขึ้นจากด้านบน ผมกับซูอัลภาวนาไม่ให้เสียงนั้นมาจากบุคคลที่เราคิด
แต่คำภาวนาไร้ผล...
ร่างที่ลอยบนฟ้ากลมใหญ่ นอกจากสีเทาทั้งตัวแล้ว มีสีเหลืองของหมวกและสีชมพูบนหูขนาดใหญ่ที่สะบัดพือต่างปีกเท่านั้นที่โดดเด่นจนสังเกตชัดในความมืด ใครเห็นก็คงไม่จำเป็นต้องบอก ว่าสัตว์ด้านบนคือ... ช้าง!!
และช้างลอยได้เท่าที่ผมรู้จักก็มีเพียงตัวละครจากการ์ตูนเรื่องเดียวเท่านั้น
‘ดัมโบ้’[1]
ชายร่างผอมสูงสวมหมวกทรงกลมนั่งอยู่บนหลังช้าง ด้านหลังเขามีเด็กหญิงตัวเล็กดูคุ้นตาเกาะเอวอยู่แน่น แค่เห็นสัตว์ในภาพยนตร์การ์ตูนปรากฎออกมาก็รู้ทันทีว่าชายคนนั้นคือนักฆ่าแห่งเงารัตติกาลที่มอบชีวิตให้ตัวละครต่าง ๆ มาจัดการเราตั้งแต่ที่รัสเซีย จนถึงรูปปั้นเทพเจ้าทั้งสองที่เราเพิ่งกำจัดไปหมาด ๆ
“งั้นเธอก็จัดการสิ”
นักฆ่าหนุ่มโยนภาระให้เด็กน้อย และดูเหมือนเธอจะยินดีรับหน้าที่ ในมือมีตุ๊กตาบาร์บี้ในชุดเจ้าหญิงถืออยู่ เพียงเห็นตุ๊กตานั่นผมก็ต้องหน้าซีด
“หมายความว่า.. เธอคือนักฆ่าเหมือนกันเหรอ!! แล้วตุ๊กตานั่น..”
บาร์บี้มีชีวิตกำลังโบกมือให้พวกเราอย่างทักทาย ผมไม่รู้ความสามารถของเด็กหญิงก็ต้องตื่นตกใจเพราะจำได้ว่าตัวเองเคยเกี่ยวข้องกับตุ๊กตาตัวนั้น พลังพิเศษที่ร้ายกาจของนักฆ่าชายทำให้ผมขวัญหนีดีฝ่อพออยู่แล้ว หากพลังของเด็กหญิงอยู่ในระดับเดียวกัน เราคงไม่มีทางรอด
แต่ไม่ใช่เพียงผม ซูอัลกลับหน้าซีดยิ่งกว่า
“คุณหนูคนนั้น.. ผมเคยช่วยเธอ...”
‘วูบบบบ!!!’
ยังไม่ทันพูดจบ ร่างของซูอัลก็หดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับตุ๊กตา เนื้อกายแข็งเป็นพลาสติกและไม่สามารถกระดุกกระดิกได้อีกต่อไป ผมมองร่างของเพื่อนที่นอนนิ่งอยู่บนเบาะเจ็ทสกีด้วยความตกใจสุดขีด
“พี่ชายคนนั้น เคยช่วยหนู... เก็บ ตุ๊กตา ด้วย ล่ะ!!”
รอยยิ้มไร้เดียงสาส่งมาให้ผมที่ยังอ้าปากค้างกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
[1] ดัมโบ้ (Dumbo) ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องที่ 4 ของวอลต์ ดิสนีย์ เป็นเรื่องราวของลูกช้างที่เกิดในคณะละครสัตว์ มีหูใหญ่ผิดธรรมชาติ