บทที่ 18 : มุ่งหน้าสู่อแลสก้า
เสื้อกันหนาวขนสัตว์เทียมหนาไม่อาจคลายความหนาวเหน็บจากลมกรรโชกเย็นยะเยือกที่พัดลอดเข้ามาบาดผิวกายจนแทบกระดุกกระดิกไม่ได้ รองเท้าบู้ทพื้นแหลมจมลงในหิมะพื้นนุ่มทำให้การก้าวเดินแต่ละย่างก้าวยากลำบาก จมูกแห้งพ่นไอขาวทุกครั้งที่หายใจออก แม้หูจะถูกปิดครอบด้วยที่ปิดหูหนานุ่ม แต่เสียงลมดังอื้ออึงยังสะท้อนก้องไปมาราวกับแก้วหูกำลังเต้นระบำ
ความสูงกว่า 4,000 ฟุตเหนือน้ำทะเลบวกกับอากาศเลวร้ายที่ต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส ทำให้อากาศเบาบาง การสูดลมหายใจทำได้ลำบาก และยิ่งลำบากมากขึ้นเมื่อผมพยายามออกแรงวิ่งเพื่อหนีการไล่ล่า
เพื่อนร่วมทางอย่างซูอัลตอนนี้ถูกจับยัดในกระเป๋าสะพายใบเล็ก
...ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมบอกว่าซูอัลนอนนิ่งอยู่ใน ‘กระเป๋าสะพาย’ ที่ผมคล้องอยู่บนบ่า เรื่องหวังจะพึ่งพลังพิเศษของเขาเพื่อรอดจากสถานการณ์เลวร้ายนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลย ไหนจะต้องตามหาคาซีกับไปช่วยเซราห์ที่ถูกจับตัวไปอีก
แต่อย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่นเลย…
ศัตรูที่ไม่น่าจะมีจริงในโลกใบนี้กำลังร่นระยะห่างเข้ามาใกล้ ซึ่งผมยังไม่รู้จะจัดการได้ยังไง
ยิ่งคิดย้อนกลับไปก็ยิ่งเหนื่อยใจกับชะตากรรมของตัวเอง...
24 ชั่วโมงก่อน
ลอร่า เฮนริสัน ทำสีหน้าตกใจสุดขีดเมื่อได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสาวต้นแบบของเขา กระเทยร่างใหญ่ระล่ำระลักบอกเหตุการณ์ไม่คาดคิดให้พวกเราฟัง
“เพื่อนของเธอที่ชื่อคาซี ถูกเงารัตติกาลโจมตีตกแม่น้ำเกท์คาน ตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”
ผมอ้าปากค้าง คนที่มีพลังพิเศษร้ายกาจอย่างคาซีกลับถูกทำร้ายจนไม่รู้ชะตากรรม แต่ก่อนจะได้คิดว่าควรจะทำยังไงต่อ โทรศัพท์สายที่สองก็ดังขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเลวร้ายยิ่งกว่า
ลอร่ามือสั่นระริก โทรศัพท์แทบร่วงจากมือ
“ว่าไงนะเร็นเนอร์!! ผู้เชื่อมต่อคนที่ห้า...โดนรองหัวหน้าเงารัตติกาลจับตัวไป”
พวกเราโดยเฉพาะซูอัลมีสีหน้าตื่นตระหนก เน็กเธอร์ไม่รอช้ารีบเช็คเอาท์โรงแรมและเช่ารถขับห้อตะบึงไปทางตะวันออกตามจุดหมายที่ได้รับข้อมูลจากเพื่อนของลอร่ารถคันงามแล่นตรงไปทางตะวันออกของรัสเซีย ผ่านเมืองใหญ่น้อย บรรยากาศรายรอบต่าง ๆ ไม่ผ่านเข้าสู่สายตาของทุกคนในรถ ความเป็นความตายของคาซีและเซราห์ทำให้ไม่มีใครมีกะจิตกะใจจะคิดเรื่องอื่นได้
ซูอัลเลี้ยวรถเข้าจอดที่ร้านไก่ทอดชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วทุกมุมโลก รูปปั้นชายชราสวมแว่นหน้าตาใจดีในชุดสูทขาวยืนถือไม้เท้าต้อนรับอยู่หน้าประตูร้าน เขาบอกให้พวกเราหาอะไรกินกันก่อนเพราะล่วงเวลาอาหารกลางวันมานานแล้ว
แม้ท้องจะหิว แต่ทุกคนกลับกินอะไรไม่ลง มีเพียงลอร่าซึ่งใช้มีดกับส้อมหั่นไก่ทอดชิ้นโตอย่างประณีต
“ไม่กินกันซะหน่อยเหรอหนุ่ม ๆ เดี๋ยวถ้าเจอศัตรูจะไม่มีแรงสู้เอานะ”
ผมละเลียดจิ้มอาหารตรงหน้าเข้าปาก ลิ้นแทบไม่รับรู้รสชาติ ในใจเป็นห่วงคาซีกับเซราห์จนไม่อยากกินอะไรเลย
เน็กเธอร์กระดิกนิ้วรอลอร่าโดยที่อาหารตรงหน้ายังอยู่เต็มจานไม่พร่องลงสักนิด ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจท่าทีร้อนรนของทุกคนเลย
“จะกินเสร็จได้รึยัง ยัยกระเทยรถถัง”
ลอร่าค้อนขวับ หยิบกระดาษเช็ดปากซับเบา ๆ ก่อนวางช้อนส้อมลงคู่กันอย่างเรียบร้อย พวกเราเตรียมลุกขึ้นจากโต๊ะแต่เสียงเย็น ๆ ของชายชราดังจากด้านหลัง
“ทำไมพวกเธอกินเหลือล่ะ ไก่ของฉันไม่อร่อยเหรอ”
ผมหันกลับไปมอง ขาที่กำลังจะก้าวกลับหยุดกึก เมื่อเสียงที่พูดกับพวกเราไม่ได้ออกมาจากปากของ... มนุษย์
ผมพยายามเพ่งตามองร่างที่เดินเข้ามาใกล้ หากจะเป็นคนสวมชุดตุ๊กตามาสคอตเหมือนที่เห็นตามสวนสนุกก็ไม่ใช่ เพราะผิวกายไม่ได้ทำจากผ้าหรือพลาสติก แต่กลับเป็นปูนแข็งเงาวับ ร่างคุ้นตาที่เราเพิ่งเห็นเมื่อตอนเดินเข้าร้าน กลับเดินตัวแข็งทื่อหาพวกเราด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“กินให้หมดเดี๋ยวนี้!!!”
ไม้เท้าสีดำซึ่งทำจากปูนพุ่งเสียบเข้าหาเน็กเธอร์ซึ่งยืนอยู่ใกล้สุด เขาไม่ทันตั้งตัวทำได้เพียงเอียงตัวหลบวูบ ปลายไม้เท้าพุ่งเฉียดหูไปนิดเดียว
ซูอัลคว้าจับไม้เท้าได้ ก็กระชากร่างนั้นเพื่อเหวี่ยงออกไป แต่ความหนักอึ้งทำให้ตัวที่ยืนไม่เต็มเท้าเสียหลัก ร่างเอียงกระแทกโต๊ะจนอาหารกระจายร่วงเต็มพื้น
ยิ่งเมื่อเห็นอาหารตกลงพื้น ยิ่งทวีความโกรธมากขึ้น รังสีอำมหิตแผ่ซ่านจากร่าง ‘ปูนปั้น’ นั้นจนบรรยากาศบิดเบี้ยว
‘ผู้พันแซนเดอส์’ รูปปั้นชายชราหน้ายิ้มต้นกำเนิดร้านไก่ทอดที่โด่งดังไปทั่วทั้งโลกซึ่งยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้าน บัดนี้กลับเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตและมุ่งร้ายพวกเราอย่างเต็มที่
ลำพังแค่เห็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทุกคนในร้านก็ตกใจแทบสิ้นสติแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นภาพการต่อสู้ สัญชาตญาณเอาตัวรอดจึงทำให้คนที่บ้างนั่งกินอาหาร บ้างกำลังเดินเข้ามาหรือกระทั่งพนักงานเอง หวีดร้องวิ่งหนีตายออกนอกร้านกันหมด
“พวกแกดูถูกไก่ทอดของชั้น ตายซะ!!!”
ไม้เท้ารัวแทงใส่ซูอัลที่ยังล้มคว่ำกับโต๊ะลุกไม่ขึ้น
“X-Ray!!!”
เน็กเธอร์สัมผัสร่างซูอัลเพื่อใช้พลังพิเศษ ไม้เท้าพุ่งทะลุร่างไปปักเข้ากับโต๊ะไม้หนา ผมกระโดดใช้ไหล่ดันรูปปั้นเต็มแรง
‘พลั่ก!!’
แทนที่รูปปั้นผู้พันจะกระเด็น กลับเป็นผมเองที่ถูกแรงสะท้อนกระแทกถอยหลังไปนอนหมอบข้างซูอัลอีกคน เน็กเธอร์พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด
“ทำไมพวกแกงี่เง่าขนาดนี้หา!!”
เขากระโดดเหยียบเก้าอี้ดีดตัวลอยข้ามรูปปั้นซึ่งกำลังพยายามดึงไม้เท้าออกจากโต๊ะ มือขวาทาบหลังรูปปั้นปลดปล่อยพลังพิเศษ
“จม ไป ซะ!!”
รูปปั้นถูกพลังพิเศษทำให้ร่างโปร่งใส เขากดร่างที่อยู่คนละมิติกับพื้นให้จมลงไปในพื้นปูนทั้งตัว สายตาโกรธเกรี้ยวของผู้พันมองเน็กเธอร์อย่างคั่งแค้นก่อนที่ส่วนหัวจะจมพื้นมิด
ลอร่ากระชากผมและซูอัลด้วยแรงมหาศาลให้ลุกขึ้นอย่างง่ายดาย พวกเรารีบวิ่งออกนอกร้านขึ้นรถ ซูอัลกระทืบคันเร่งอย่างแรง
‘ตูมมม!!!’
เสียงดังสนั่นมาจากในร้าน เน็กเธอร์คาดผิดว่าพลังพิเศษจะจัดการศัตรูได้ดังเช่นที่ผ่านมา แต่เพราะรูปปั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ต้องการอากาศหายใจจึงไม่เป็นอะไรเมื่อถูกฝังใต้พื้นดิน รวมถึงพละกำลังมหาศาลก็มีมากจนสามารถแหวกร่างขึ้นจากพื้นร้านอย่างไม่ลำบากนัก
รูปปั้นผู้พันในสภาพเปื้อนดินโคลนวิ่งอย่างแรงส่งเสียงดังตึง ๆ พื้นทางเดินยุบเป็นรอยตามการก้าว ซูอัลรีบออกรถจนล้อปั่นกับพื้นถนนควันลอยขโมง
‘เพล้ง!!!’
รูปปั้นไม่วิ่งตามเส้นทางปกติ กลับกระโดดชนกระจกร้านแผ่นหนาจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขวางหน้ารถ และกระโดดเหยียบหลังคารถจนยุบทั้งแถบ ไม้เท้าในมือเตรียมเสียบแทงลงมายังตำแหน่งคนขับ
ซูอัลหักพวงมาลัยซ้ายจนสุด ก่อนหักขวาเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ร่างปูนเสียหลักโงนเงนแต่ยังไม่ร่วงหล่นจากรถ มันแทงไม้เท้าเต็มแรง
‘ฉึก!!!’
รูปปั้นฉีกยิ้มเผยฟันขาว แต่เพียงครู่เดียวมันต้องหุบยิ้มเมื่อไม่รู้สึกว่าปลายไม้เท้าเสียบทะลุร่างเป้าหมายอย่างที่ตั้งใจ
เพราะหลังคาเหล็กกั้น รูปปั้นจึงไม่อาจมองเห็นตารางแสงซึ่งถูกสร้างขวางคั่นกลางระหว่างตัวมันกับศีรษะของซูอัล เมื่อไม้เท้าเคลื่อนผ่านความเร็วจึงถูกลดลง
เน็กเธอร์ไม่รอช้า คว้าจับปลายไม้เท้าก่อนใช้พลังพิเศษ ร่างขาวโพลนทะลุร่วงจากรถที่กำลังแล่นด้วยความเร็วลงกระแทกพื้นถนนก่อนหมุนกลิ้งอีกหลายสิบตลบไปชนตึกคอนกรีตสีเทาจนกำแพงทะลุเป็นช่องใหญ่
ซูอัลเหยียบคันเร่งมิด ทิ้งรูปปั้นปูนที่ร่างแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไว้เบื้องหลัง
ชายรัสเซียร่างสูงสวมหมวกกลมเดินออกจากหลังต้นไม้ใหญ่ ภาพที่เกิดขึ้นในร้านไก่ทอดจนถึงการโจมตีรถตกอยู่ในสายตาเขาโดยตลอด เสื้อคลุมตัวยาวใส่เพื่อทั้งป้องกันความหนาวและอำพรางรูปร่างตนเอง มือกำดินสอสีแท่งยาวแน่นเมื่อมองเศษซากรูปปั้นที่เขา “สร้างชีวิต” ให้พลางกัดฟันกรอด
“จะหนีไปไหนรอด.. เหล่าผู้เชื่อมต่อ”
นักฆ่าแห่งเงารัตติกาลควบมอเตอร์ไซค์ลัดเลาะเข้าทางลัดในซอยแคบด้านหน้าเพื่ออ้อมไปดักรถของศัตรู
“ไอ้ผู้พันนั่นมันเรื่องบ้าอะไรกันนะ”
เน็กเธอร์บ่นอย่างหัวเสียแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของเงารัตติกาล ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เมื่อหันมองไปด้านหลังไม่เห็นแม้เงาของรูปปั้นชายชรา
แต่ซูอัลที่ปกติจะมองโลกในแง่ดีที่สุดกลับเอ่ยอย่างกังวล
“ที่เราจัดการไป น่าจะเป็นแค่พลังพิเศษของศัตรู ส่วนนักฆ่าอาจจะซุ่มโจมตีเราอยู่ตรงไหนก็ได้นะครับ”
“ข้างหน้า!! ระวังข้างหน้านะซูอัลขา!!”
เสียงบีบแหลมเกินจริตของลอร่าที่นั่งเบาะหลังคู่กับผมตะโกนร้องอย่างตกใจ มือชี้แกว่งพู่ระย้าที่ห้อยชายแขนเสื้อไปมาระรัว ทุกสายตามองไล่ตามปลายนิ้ว วินาทีแรกที่ตาภาพด้านนอกกระจกหน้ารถตกกระทบสู่สายตา พวกเราไม่แน่ใจว่าจุดสีน้ำตาลจำนวนมากที่เคลื่อนไหวโงนเงนไปมาขวางถนนอยู่คืออะไรกันแน่ จนรถแล่นเข้าใกล้ในระยะสายตา
“อุ๊ยตาย!! นั่นหมีโคอาล่านี่” ลอร่าตะโกนอย่างตื่นเต้นดีใจที่เห็นสัตว์น่ารักแต่เน็กเธอร์กลับตีสีหน้าเหนื่อยหน่าย เขาหันมาด้านหลังชำเลืองตามองลอร่าอย่างเอือมระอา
“ที่นี่รัสเซียนะ จะมีโคอาล่ามาเพ่นพ่านให้แกกรี๊ดกร๊าดได้ยังไง”
แต่จะตำหนิลอร่าก็ไม่ถูก ในเมื่อฝูงสิ่งมีชีวิตที่ยืนโงนเงนขวางหน้าดูคล้ายสัตว์สัญลักษณ์ประจำประเทศออสเตรเลีย
ลำตัวกลมสั้นขนปุย หน้ากับหูกลมขนาดไม่ต่างกันนัก ดวงตาโตกลมแป๋วจ้องมาที่พวกเราอย่างคาดเดาพฤติกรรมไม่ถูก ซูอัลหันมองทุกคนอย่างขอคำปรึกษา รถชลอความเร็วลงเช่นเดียวกับรถคันอื่น ๆ ที่หยุดแล่นเพราะถูกขวางทาง เสียงแตรดังก้องท้องถนนจนหนวกหูขณะที่คนที่เดินไปมาริมทางเท้าหันมองด้วยความสนใจ
และเพียงพริบตา ดวงตาน่ารักกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ มือสั้นป้อมมีเล็บแหลมยื่นยาวออกมา ฝูงสัตว์ประหลาดกระโดดตะกุยรถทุกคันที่จอดขวางมุ่งหน้ามาหารถของเรา ผู้คนแตกฮือวิ่งหลบจ้าละหวั่น จากบางคนที่พยายามเข้าไปหาสัตว์ตัวน้อยใกล้ ๆ ตอนนี้โกยหน้าตั้งไม่คิดชีวิต
ราวกับตั๊กแตนตอมข้าวโพด เส้นทางที่ฝูงสัตว์เคลื่อนผ่านถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง ถนนหนทางและรถราเต็มไปด้วยรอยเล็บลากเป็นทางยาว เสาไฟฟ้าหักโค่นจนสายไฟขาดส่งประกายแลบดังเปรี๊ยะ อาคารบ้านเรือนถูกทุบทำลายกระจกแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ซูอัลยังมีสติ เขาเหลือบมองกระจกหลังก่อนเข้าเกียร์ถอยหลังเหยียบคันเร่งพารถแล่นย้อนกลับทางที่เราผ่านมา มือจับพวงมาลัยหักเลี้ยวซ้ายขวาหลบรถที่ขับมาตามปกติเพราะไม่รู้ถึงเหตุการณ์ด้านหน้า
ผมเกาะเบาะคนขับด้านหน้าสุดแรง รถโยกโคลงเคลงราวรถไฟเหาะ เงาร่างหลายสิบจุดเคลื่อนตามมาอย่างไม่ลดละ สายตากระหายของมันสร้างความน่าสะพรึงให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ผมพยายามรวบรวมความทรงจำว่าเคยเห็นเจ้าตัวประหลาดนี้ที่ไหนในสมอง
สีสันสดใส...
รูปร่างประหลาดราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต...
“การ์ตูน!! เจ้าพวกนี้คือ ‘ท็อพเพิล’การ์ตูนของรัสเซีย”
ทุกคนในรถเลิกคิ้ว ชื่อประหลาดที่ได้ยินจากผมทำให้ทุกคนงงงงวย แต่พอได้ยินคำว่าการ์ตูน เน็กเธอร์จึงคาดเดาเหตุการณ์ได้ทั้งหมด
“เวรเอ๊ย!! มันสามารถทำให้ตัวการ์ตูนมีชีวิตจริงได้เหรอเนี่ย”
พวกเราไม่รู้เลยว่านักฆ่าเงารัตติกาลที่กำลังใช้พลังพิเศษเล่นงานเราอยู่เป็นใคร แต่จากการที่รูปปั้นผู้พันแซนเดอส์และตัวประหลาดท็อพเพิลสามารถเคลื่อนไหวและจ้องทำร้ายพวกเรา ก็เพียงพอที่จะหยั่งถึงความสามารถอันร้ายกาจของศัตรูได้แล้ว
แต่เน็กเธอร์เดาผิดไปอย่างหนึ่ง...
ไม่ใช่เพียง ‘ตัวการ์ตูน’ เท่านั้น แต่พลังพิเศษของ ‘เยลซิท ไซเอล’ นักฆ่าแห่งเงารัตติกาลผู้เชื่อมต่อกับ SSS ‘ดินสอสีของวอลเตอร์ ดิสนีย์’[1] ยังสามารถทำให้คน สัตว์ประหลาด กระทั่งสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก ที่อยู่ในภาพวาด ภาพถ่าย หรือรูปปั้นต่าง ๆ กลับมีชีวิตจริงขึ้นมาได้
‘เฟี้ยววว!!!...... ตูมมม!!!!’
พื้นถนนด้านหลังเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น แรงระเบิดทำให้ถนนยุบเป็นหลุมกว้าง โชคดีที่ซูอัลเหลือบเห็นลำแสงสะท้อนเข้าตา เท้าจึงเหยียบเบรกได้ทันก่อนที่รถจะถูกระเบิดเป็นจุล
ด้านหน้ามีฝูงสัตว์ประหลาด
ด้านหลังถนนเป็นหลุมรถแล่นต่อไม่ได้...
เมื่อไม่มีทางเลือก เน็กเธอร์จึงสั่งให้พวกเรารีบออกจากรถ และก็เป็นโชคที่พวกเราออกจากรถได้ทันเวลา
‘ตูมมม!!!’
รถเก๋งคันใหญ่ถูกการโจมตีไม่รู้ที่มาระเบิดกระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แรงระเบิดพัดพวกเราทั้งสี่กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
ซูอัลคว้าคอเสื้อผมไว้ทันก่อนร่างกระแทกท่อดับเพลิงสีแดงสดริมถนน ส่วนเน็กเธอร์ล้มกลิ้งไปกองรวมกับลอร่าที่สีหน้าเปี่ยมสุขมากกว่าเจ็บปวด
“ไปไกล ๆ เลย นังกระเทยล่ำ”
เน็กเธอร์รีบคลานออกห่างร่างบึกบึน เข้าใกล้ศัตรูยังดูปลอดภัยกว่าอยู่ใกล้ลอร่าเสียอีก
เงาขนาดเล็กบนพื้นทำให้ทุกคนแหงนมองด้านบน วูบแรกผมคิดว่าสิ่งที่บินฉวัดเฉวียนไปมาคือนกตัวหนึ่ง แต่เมื่อมันพุ่งตรงมาด้านหน้าก่อนรวบรวมลำแสงเพื่อส่งกระสุนทำลายล้างนัดต่อไปมาที่ผมและซูอัล ภาพปีกไขว้รูปตัวอักษร ‘X’ คงมีไม่กี่คนที่ไม่รู้จัก
“สตาร์วอร์สก็มาเหรอ...” ผมครางอย่างอ่อนใจ
ยานขับไล่ของพันธมิตรกบฏรหัส T-65 X-Wing จากภาพยนตร์แฟนตาซีวิทยาศาสตร์เรื่องดังระดับโลกอย่าง ‘สตาร์ วอร์ส’ จ่อปืนลำแสงที่ติดอยู่บนปลายปีกสี่ข้างเข้าใส่
“เนเปียร์โบนส์!!!”
ผมสร้างตารางแสงดักด้านหน้าตัวเองกับซูอัล จังหวะเดียวกับกระสุนแสงสี่สายพุ่งเข้าหาพอดี เส้นแสงถูกลดความเร็วจนทิ้งเส้นสายค้างกลางอากาศก่อนคืบคลายอย่างเชื่องช้าราวหอยทาก พวกเราไม่รอช้ารีบดีดตัวออกด้านข้างคนละทิศ และวิ่งไปสมทบกับเน็กเธอร์ที่ทำได้เพียงอ้าปากค้างมองยานลำจิ๋วอยู่เท่านั้น
“วิ่งเร็ว!!”
ซูอัลที่มีสติที่สุดตะโกนก้อง สี่คนแปดเท้าวิ่งสุดชีวิตโดยไม่เหลียวมองด้านหลังซึ่งมีทั้งฝูงท็อพเพิลจอมทำลายล้างกับยานขับไล่ติดปืนแสงไล่หลังมาติด ๆ
เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่แล่นตามเส้นทางเดินเรือเซนต์ลอว์เรนซ์ต้องหยุดเดินเครื่องกะทันหัน เมื่อผู้ช่วยต้นหนมองเห็นร่างคนลอยคออยู่กลางทะเล เรือเล็กพร้อมลูกเรือสองคนถูกปล่อยลงสู่ผืนแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์อย่างรีบเร่ง
เนื่องจากกัปตันเรือไม่ได้รับรายงานอุบัติเหตุเรือล่มตั้งแต่ออกเดินเรือ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนมาลอยคออยู่กลางแม่น้ำใหญ่ซึ่งแตกแควย่อยมาจากมหาสมุทรแอตแลนติกแห่งนี้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ หากคนผู้นั้นจะลอยคออยู่กลางทะเลโดยไม่มีแม้แผ่นไม้บางสักแผ่นพยุงร่างไว้ กัปตันคาดว่าสิ่งที่จะถูกนำกลับมาพร้อมเรือเล็กน่าจะเป็น ‘ศพ’ มากกว่า
“กัปตันครับ!! กัปตัน”
เสียงร้องอย่างตื่นตกใจของลูกเรือสองนายที่กำลังพายกลับเข้าใกล้เรือใหญ่ ทำให้ชายชราในชุดกันหนาวยาวต้องชะโงกดูด้านล่าง
“เขายังไม่ตายครับ!!”
ปากอ้าค้างอย่างไม่ตั้งใจ ร่างผอมบางที่ถูกช่วยขึ้นมาท่ามกลางกระแสน้ำเย็นเฉียบยังมีชีวิตอยู่ สีหน้าซีดเผือดไร้เลือด ริมฝีปาก ขนตาและปอยผมมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ ร่างกายดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าชายคนนี้ถูกแช่ในน้ำเย็นยะเยือกมาหลายชั่วโมง
ประสบการณ์เดินเรือกว่าสามสิบปีที่ผ่านมาถูกบรรจุคำว่า ‘ปาฏิหารย์’ เพิ่มอีกคำในสมองของกัปตันเฒ่าผู้นี้
อุปกรณ์ช่วยชีวิตถูกระดมมาเพื่อยื้อชีวิตที่กำลังจะขาดรอนของชายหนุ่มปริศนา นักท่องเที่ยวในเรือที่เห็นเหตุการณ์พากันรุมล้อมมุงดูด้วยความสนใจ ผ้านวมผืนหนาถูกห่อหุ้มร่างจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าเรียวของชายหนุ่ม
บรรดาลูกเรือเร่งขนย้ายร่างที่ชีพจรใกล้หยุดเต้นเข้าไปยังห้องพักที่อบอุ่นกว่า
วิทยุถ่ายทอดสถานการณ์เหลือเชื่อไปยังฝั่ง กัปตันเรือมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มพร้อมกล่าวชมเชยดวงชะตาอันแข็งกล้าของเขา โดยหารู้ไม่ว่าที่เขารอดชีวิตไม่ใช่เพราะโชคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะพลังพิเศษแรงโน้มถ่วงอ่อน ๆ ที่จิตวิญญาณในร่างปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ตั้งใจช่วยพยุงร่างเขาไว้ไม่ให้จมหายไปในมหาสมุทรอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ที่ยื้อวิญญาณคาซีไม่ให้หลุดลอยจากร่างก่อนเวลาอันควร
“ทำไมแกต้องวิ่งมาทางเดียวกับชั้นด้วยเนี่ย!!”
เน็กเธอร์บ่นพลางวิ่งไม่หยุด สายตามองชายร่างยักษ์ข้างกายที่วิ่งส่ายสะโพกไปมาอย่างหงุดหงิด
“ไม่รู้สิ มันคงเป็น.. บุพ เพ สัน นิ วาส ล่ะมั้ง”
ลอร่ากระพริบตาปริบ ๆ ขนตาปลอมแผงหนาราวกันสาดสะบัดขึ้นลงถี่ เน็กเธอร์ผะอืดผะอมจนต้องเร่งความเร็วเท้าตัวเอง แต่ไม่ว่าจะสะบัดอย่างไรลอร่าก็วิ่งตามมาข้างกายได้ตลอด
ชายหนุ่มรู้สึกเสียใจที่บอกให้ทั้งสี่คนแยกกันแล้วไปเจอกันที่ท่าเรือเมืองวลาดิวอสต็อก เพราะหากวิ่งรวมกันเป็นกลุ่มจะง่ายต่อการโจมตีของศัตรู พอมาถึงตอนนี้เน็กเธอร์อยากวิ่งกลับไปรวมกันให้ศัตรูยิงทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด
และที่กรูตามหลังทั้งสองมาไม่ห่าง คือเหล่าท็อพเพิลฝูงใหญ่ เสียงคำรามราวสัตว์ขนาดใหญ่ไม่สมกับร่างกายปุกปุยน่ารัก พวกมันทั้งวิ่ง ไต่ผนัง ห้อยโหนระเบียงบ้างราวลิงค่าง กรงเล็บแหลมพร้อมฉีกกระชากทุกสิ่งที่ขวางหน้า
“แกใช้พลังพิเศษได้ไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นเมื่อตอนอยู่ในห้างที่มอสโก”
เน็กเธอร์คิดขึ้นได้หลังจากไม่เห็นว่าลอร่ามีทีท่าใช้พลังพิเศษที่เคยจัดการโจรวิ่งราวมาช่วยแก้สถานการณ์นี้เลย
“พลังพิเศษของฉันน่ะ ใช้ได้กับ ‘คน’ เท่านั้นแหล่ะ พวกตัวประหลาดแบบนี้ไม่ไหวหรอก”
เน็กเธอร์ถอนใจ “งั้น.. มาทางนี้”
ชายหนุ่มกระชากแขนลอร่าพลางใช้พลังพิเศษวิ่งทะลุผนังตึกอพาร์ตเมนท์ห้าชั้นเข้าไป ฝูงสัตว์ประหลาดตะกุยตะกายผนังอิฐแต่ก็ทำได้เพียงสร้างรอยขีดข่วน ดูเหมือนเจ้าตัวใหญ่ที่สุดด้านหน้าจะเป็นจ่าฝูง มันหันคอสั้นป้อมมองรอบ ๆ เห็นประตูกระจกทางเข้าอพาร์ตเมนท์ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบใช้การ์ดรูดอยู่
มันส่งเสียงเป็นสัญญาณให้เหล่าสัตว์ประหลาดพุ่งกระแทกกระจกแผ่นหนาจนแตกละเอียด พนักงานรักษาความปลอดภัยถูกกลุ้มรุมทำร้ายราวฝูงไฮยีน่าขย้ำเหยื่อ ตัวที่เหลือวิ่งตามทางเดินแคบ ๆ พวกมันไม่สนใจลิฟต์เพราะไม่รู้วิธีใช้ เป้าหมายคือบันไดหนีไฟด้านในสุด
ในลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวช้า ๆ เน็กเธอร์กำหมัดนิ่งวางแผนในสมอง พลังพิเศษของเขาแม้จะร้ายกาจและจัดการศัตรูมาได้หลายราย แต่ก็มีจุดอ่อนที่ต้องใช้การ ‘สัมผัส’ ร่างกายก่อนปลดปล่อยพลัง ดังนั้นศัตรูฝูงใหญ่แบบนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่เน็กเธอร์จะจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวหมด
เพื่อนร่วมเดินทางที่เคยต่อสู้ด้วยกันมาอย่างเรแพน คาซี หรือซูอัลซึ่งมีพลังพิเศษที่พึ่งพาได้ บัดนี้กลับกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง ข้างกายมีเพียงกระเทยร่างใหญ่ที่ไม่อาจใช้พลังพิเศษช่วยเหลือในการต่อสู้ได้ เน็กเธอร์ต้องใช้สมองอย่างหนัก
‘ตึ๊งง!!’
ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดเมื่อเคลื่อนถึงชั้นบนสุด เขาไม่รอช้ารีบวิ่งขึ้นบันไดไม่กี่ขั้น ประตูเปิดอ้ารับแสงอ่อนจากดวงอาทิตย์ ลมหนาวพัดหวือเข้าช่องประตูแต่ไม่อาจลดอุณหภูมิสูงของเน็กเธอร์ที่วิ่งมาเป็นระยะทางไกลได้
เพียงทะลุผ่านประตู สองเท้าวิ่งจนสุดทางก่อนหยุดลงอย่างไม่มีทางเลือก เพราะด้านหน้า ซ้าย ขวามีเพียงกำแพงเตี้ย ๆ กั้นระหว่างดาดฟ้ากับอากาศ ณ ความสูงเกือบสามสิบเมตร
ส่วนด้านหลัง มหันตภัยร้ายในคราบสัตว์น่ารักไล่ไต่ระดับความสูงขึ้นบันไดมาติด ๆ เน็กเธอร์ยืนหันมองอย่างร้อนใจขณะที่ลอร่ายืนแอบหลังเขาแม้จะรู้ว่าร่างบางของเน็กเธอร์บังตัวเองไม่มิดก็ตาม
“กรรรรร!!!”
เสียงขู่จากลำคอโผล่ดังจากช่องประตู พร้อมหูกลมใหญ่ที่ยื่นพ้นบันไดขึ้นมาให้เห็นเป็นอย่างแรก เน็กเธอร์ไม่มีทางหนีไปไหนได้อีกเว้นเสียแต่จะมีปีกอย่างเซราห์
“กรี๊ด ๆ ๆ ๆ ระวังนะจ๊ะเน็กเธอร์ พวกมันกำลังมาแล้วววว”
‘ก่อนจะจัดการศัตรู ขอถีบพวกเดียวกันเองตกตึกก่อนได้มั้ย’ เน็กเธอร์คิดในใจ
“กี๊ซ ๆ ๆ ๆ ๆ”
เสียงร้องดังระงม ดวงตากลมแป๋วสีแดงจ้องมาที่เหยื่อทั้งสองบนพื้นที่จำกัด เน็กเธอร์สืบเท้าตีวงไปด้านข้างช้า ๆ เช่นเดียวกับฝูงท็อพเพิลที่ทยอยแทรกร่างจากประตูล้อมรอบเข้ามาใกล้ สัตว์ประหลาดตัวจิ๋วสูงแค่เข่ากระดิกกรงเล็บแหลมเป็นจังหวะ
“นะ นะ เน็กเธอร์ขา.. พวกมันจะเข้ามาแล้วนะ!!”
เน็กเธอร์ถอยจนหลังสัมผัสถังโลหะขนาดใหญ่ รอบตัวถูกโอบกระชับด้วยสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนกายมาใกล้ ทางหนีรอบตัวถูกปิดทั้งหมด
“ใช้พลังพิเศษทะลุผ่านหลังคาสิจ๊ะ เน็กเธอร์!!”
ลอร่าเสียงสั่น แต่ไม่ใช่เพราะกลัวตายหรือบาดเจ็บ เขากลัวใบหน้าจะเสียโฉมจากกรงเล็บสัตว์ประหลาดมากกว่า
“ถ้าจะใช้พลังเพื่อหนี แล้วชั้นจะถ่อลากพวกมัน มา ถึง ที่ นี่ ทำไม!!”
สัตว์ประหลาดย่อตัวก่อนใช้ขากลมดีดร่างป้อมพุ่งใส่เน็กเธอร์และลอร่า กรงเล็บแหลมยื่นหลายสิบคู่พุ่งเข้าหาอย่างไร้ทางหลบเลี่ยง เพียงโดนสะกิดร่างคงพรุนเป็นรังผึ้ง
ลอร่ากรีดร้องเสียงหลงขณะเน็กเธอร์รวมพลังพิเศษไว้ที่มือทั้งสองข้าง
“X-Ray!!!”
ถังโลหะขนาดใหญ่ถูกถ่ายทอดพลังพิเศษเข้าใส่จนโปร่งใส ของเหลวที่ถูกบรรจุด้านในหลั่งไหลทะลักลงมาอาบร่างชายทั้งสองและพัดพาฝูงท็อพเพิลไหลท่วมไปกับพื้นดาดฟ้า สัตว์ประหลาดพยุงตัวเองไม่ได้ถูกน้ำกวาดร่างกระแทกรั้วเตี้ย บ้างหลุดลอยตกกระเด็นหล่นจากตึกไป แต่ส่วนใหญ่ยังพยายามตะเกียกตะกายว่ายฝ่ามวลน้ำมหาศาล
เน็กเธอร์เองก็ไม่แพ้กัน น้ำจากถังเก็บน้ำขนาดใหญ่บนดาดฟ้าตึกมีปริมาณมากราวกับน้ำตก เขาพยายามพยุงร่างตัวเองไม่ให้เสียหลัก แต่ก็ถูกน้ำซัดไปไกล
ใช้เวลาไม่นาน น้ำก็ไหลลงท่อจนระดับน้ำสูงเกือบเท่าขอบรั้วลดปริมาณลงจนเหลือแค่น่องของเน็กเธอร์ ชายหนุ่มเสยผมเปียกก่อนถอดเสื้อผ้าชื้น น้ำเย็นยะเยือกกัดเข้าไปจนผิวหนังเจ็บแปลบเหมือนถูกมีดเฉือน ส่วนกระเทยยักษ์เมื่อเห็นผมตัวเองเปียกน้ำลู่แบนไม่เป็นทรงลอนงามเหมือนเดิม ก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดราวสัตว์ถูกเชือด
และเสียงกรี๊ดยิ่งเพิ่มดีกรีขึ้นอีก เมื่อลอร่าเห็นร่างเล็กของสัตว์ประหลาดโงนเงนลุกขึ้นเมื่อน้ำลดจนถึงระดับตาตุ่ม ดวงตาของมันเกรี้ยวกราดมากขึ้นเมื่อไม่อาจจัดการศัตรูได้ แม้ตอนนี้จะเหลือไม่ถึงสิบตัว แต่ความโหดเหี้ยมของพวกมันกลับเพิ่มมากกว่าเดิมหลายเท่า
ตรงข้ามกับเน็กเธอร์ เขาถอดสเวตเตอร์และเสื้อตัวในเผยรูปร่างกระชับ ผิวกายขาวสั่นเล็กน้อยเมื่อลมหนาวพัดกระทบร่าง แต่ก็ยังดีกว่าสวมเสื้อผ้าเปียกชื้นในอากาศแบบนี้
“ทำยังไงดีล่ะเน็กเธอร์ พวกมันยังไม่ตายนะ!!”
เน็กเธอร์ไม่สนใจ เขาบิดน้ำจากเสื้อผ้าพอหมาดก่อนพาดไว้บนบ่า ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางหันเดินมุ่งหน้าไปที่ประตูดาดฟ้าราวกับไม่เห็นสัตว์ประหลาดตัวจิ๋วอยู่ในสายตา
“แต่ กำ ลัง จะ ตาย!!”
ไม่ทันลุกยืนได้เต็มตัว ท็อพเพิลเจ็ดตัวก็ต้องก้มมองร่างตัวเองอย่างประหลาดใจ เมื่อผิวกายที่ควรปุกปุยด้วยขนนุ่มนิ่ม กลับเปื่อยยุ่ยยับย่น รูปร่างที่ประหลาดอยู่แล้วยิ่งเพิ่มความประหลาดจนดูน่าขบขันมากกว่าน่ากลัว
เพราะบุคลิกคุณหนูเหลาะแหละขี้หลีที่เน็กเธอร์แสดงออก จึงไม่มีใครคาดคิดว่าแท้จริงแล้วไอคิวของเขาสูงระดับอัจฉริยะ เขาต้องดูแลกิจการขณะที่ต้องหาทางกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจให้หายไป ความสามารถพิเศษในการ ‘หาจุดอ่อน’ ของศัตรูจึงติดตัวชายหนุ่มมาตั้งแต่บัดนั้น
ระหว่างวิ่งหนีฝูงท็อพเพิล เน็กเธอร์ไม่ได้เพียงสักแต่วิ่งอย่างเดียว ทั้งสมอง สายตา ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ถูกใช้งานอย่างเป็นระบบ เพียงเห็นป้ายโปสเตอร์โปรโมตภาพยนตร์การ์ตูนรัสเซียหลายสิบแผ่นที่แปะเรียงรายเป็นทางยาวข้างกำแพง สมองก็ประมวลผลจนล่วงรู้วิธีกำจัดความสามารถของศัตรูทันที
แผ่นโปสเตอร์ที่เน็กเธอร์เห็น คือโฆษณาการ์ตูนรัสเซียเรื่อง ‘ชิบูรัชก้า’ ซึ่งถูกนำไปแพร่ภาพยังหลายประเทศในยุโรปและเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ท็อพเพิล’ ทุกสิ่งบนโปสเตอร์มีครบ ทั้งป้ายชื่อภาพยนตร์การ์ตูน ฉากสวยงาม รายชื่อผู้สร้างผู้กำกับ ตัวละครประกอบต่าง ๆ ขาดเพียงอย่างเดียว.... รูปของท็อพเพิล!!
กลางโปสเตอร์ที่ควรจะมีรูปตัวท็อพเพิลซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องให้เห็น กลับเป็นช่องว่างสีขาวราวกับตัวละครนี้ไม่ได้ถูกวาดลงในแผ่นกระดาษ ทันทีที่เห็นเขาก็รู้ทันทีว่าตัวประหลาดที่กำลังไล่กวดเขาอยู่ต้องถูกทำให้มีชีวิตจากโปสเตอร์เหล่านี้
เมื่อรู้ว่าศัตรูถูกสร้างจาก ‘กระดาษ’ การกำจัดโดยง่ายหากไม่ใช้ไฟ ก็ต้องใช้น้ำ!!
เน็กเธอร์รู้ว่าอพาร์ตเมนท์ส่วนใหญ่ย่อมมีระบบการจ่ายน้ำด้วยการกักเก็บไว้ในถังขนาดใหญ่บนดาดฟ้า เขาจึงเลือกวิ่งขึ้นสู่ดาดฟ้า และล่อให้ฝูงท็อพเพิลตามมา เมื่อพวกมันเข้าสู่ระยะที่วางแผนไว้ น้ำมหาศาลก็ถูกปล่อยจากถังเก็บ ร่างที่สร้างจากกระดาษถูกน้ำจึงเปื่อยยุ่ยไม่อาจคงสภาพสัตว์ประหลาดน่ากลัวได้อีกต่อไป
ที่เป็นห่วงมีเพียงเรแพนและซูอัลจะล่วงรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้หรือไม่ เน็กเธอร์รีบมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมายทันที
ลอร่ามองฝูงท็อพเพิลที่ตัวยับย่นก่อนล้มกลิ้งไม่เป็นท่าและค่อย ๆ ฉีกขาดอย่างงุนงง เขาลุกขึ้นวิ่งตามเน็กเธอร์ที่เดินเข้าตึกไปอย่างไม่สนใจ ทิ้งเศษชิ้นส่วนเหล่าตัวประหลาดที่ถูกกำจัดอย่างง่ายดายให้ถูกปลิดปลิวไปกับกระแสลมแรงบนดาดฟ้า
ผมวิ่งตามซูอัลด้วยความเร็วที่แตกต่าง ด้วยช่วงขาที่ยาว กล้ามเนื้อล่ำดุจนักกีฬา ทำให้ช่วงการวิ่งก้าวเดียวของเขาเท่ากับสองก้าวของผม
แสงเลเซอร์ระดมยิ่งไล่หลังอย่างต่อเนื่อง เสียงระเบิดดังตูมตามและลมที่ถูกอัดรู้สึกได้ผ่านแผ่นหลังร้อนผ่าว ชาวรัสเซียหลายคนไม่เคยพบเจอเหตุการณ์อันตรายในระยะประชิดต่างยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก บางคนถูกลูกหลงโดนเศษหินเศษดินจากการระเบิดพุ่งเข้าใส่ได้รับบาดเจ็บกันระนาว เสียงหวีดร้องดังระงมราวกับเกิดเหตุวินาศกรรมร้ายแรงในดินแดนเงียบสงบแห่งนี้
ซูอัลหันมองภาพความเสียหายด้วยสีหน้าสลด ชายหนุ่มไม่อยากให้มีใครต้องรับอันตรายจึงตัดสินใจหยุดวิ่งและหันหลังกลับประจัญหน้ากับยานบินปีกรูปตัวเอ๊กซ์ลำจิ๋ว
“X’Mas Gift!!!”
แสงสว่างวาบก่อนที่กล่องของขวัญกล่องไม่ใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้านหน้าซูอัล เขากระตุกเชือกเต็มแรงหยิบของที่อยู่ในกล่องออกมาถือในมือ
“อะไร... น่ะ!!”
ของขวัญที่ได้รับไม่ใช่อาวุธร้ายแรงอย่างมีด ดาบ หรือปืน แต่กลับเป็นเพียงน้ำดื่มขวดใส ซูอัลมองขวดน้ำในมืออย่างผิดหวัง
“ผมไม่ได้หิวน้ำนะ”
เขาเขวี้ยงขวดน้ำเข้าใส่ยานรบอย่างไม่หวังผล เพราะรู้ว่าขวดพลาสติกไม่อาจทำอะไรยานติดอาวุธได้ แต่ขณะที่ขวดน้ำลอยละลิ่วกลางอากาศ ฝากที่ปิดไม่สนิทก็พลันหลุดออกจนน้ำในขวดกระฉอกออกมารดใส่ยานเอ๊กซ์วิงที่บินหักหลบไม่ทัน
ปลายปีกข้างหนึ่งถูกน้ำกระเด็นใส่เป็นดวง มันเสียการทรงตัวแต่พยายามควบคุมเครื่องให้ประคองระดับเพดานบินเอาไว้ได้ ผมเห็นภาพความหวังจึงรีบกระโจนคว้าขวดน้ำที่ยังร่วงไม่ถึงพื้น น้ำในขวดยังเหลือกว่าครึ่ง
“เนเปียร์โบนส์!!!”
ตารางแสงสว่างวาบด้านหน้า มือถือขวดสะบัดน้ำที่เหลือทั้งหมดพุ่งผ่านตาราง ปริมาณน้ำเพิ่มจากหยาดหยดเล็กน้อย กลายเป็นน้ำมวลมหาศาลสาดซัดยานสี่ปีกจนปีกที่ตั้งตรงเริ่มบิดงอ แสงเลเซอร์ที่รวบรวมไว้ที่ปลายปีกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนยานจะร่วงโหม่งพื้นโลก
‘ตูมมม!!!’
ซูอัลคว้าไหล่ผมกระโจนหลบพลังทำลายล้างอย่างหวุดหวิด
พวกเราบ้วนเศษดินเศษหญ้าที่กระเด็นเข้าปาก ควันขโมงที่ลอยคลุ้งบอกให้รู้สภาพของยานรบสังหาร ผมยังงง ๆ ที่จัดการศัตรูได้โดยง่ายดายแบบนี้ ส่วนซูอัลแม้จะโล่งอกแต่กลับไม่มีสีหน้าดีใจ
“พวกเรากำจัดแค่พลังพิเศษ แต่เราอาจจะโดนโจมตีอีกเมื่อไหร่ก็ได้หากไม่รีบหาตัวนักฆ่ารายนี้ให้เจอ ผมว่าเรารีบไปสมทบกับคุณเน็กเธอร์ที่ท่าเรือเถอะครับ”
ผมพยักหน้า มือตบกระเป๋าหลังกางเกง
แต่เอ่อ...
ทำไมแฟบ ๆ...
“เฮ้ย!! กระเป๋าสตางค์หาย”
ผมรีบตบไล่ทั่วตัว ทั้งกระเป๋ากางเกงหน้าหลัง กระเป๋าเสื้อ แต่ก็ไม่พบกระเป๋าสตางค์
“เวรแล้ว!! สงสัยจะหล่นหายตอนวิ่งหนียานบ้านั่น”
เงินจำนวนหนึ่งที่เน็กเธอร์ให้ติดตัวไว้ ตอนนี้หายไปหมดแล้ว อย่าว่าแต่เช่ารถคันใหม่เลย เงินพอจะขึ้นรถเมล์ก็ไม่เหลือสักรูเบิล
“แล้ว.. เราจะไปกันยังไงล่ะ รถเช่าก็ระเบิดไปแล้ว แถมฉันกับนายยังไม่มีเงินติดตัวเลย”
ซูอัลทำท่าคิดเล็กน้อย ก่อนเสนอไอเดีย
“งั้นลอง... ใช้วิธีของผมมั้ยล่ะครับ”
“จะไปไหนล่ะพ่อหนุ่ม!!”
สองสามีภรรยาชราเปิดลดกระจกลงมองซูอัลกับผมอย่างพิจารณา ผมตีสีหน้าอิหลักอิเหลื่อแต่ซูอัลยิ้มให้ทั้งคู่ด้วยสายตาเป็นมิตร
“พวกเราจะไปท่าเรือที่วลาดิวอสต็อกครับ ถ้าพวกคุณไปทางตะวันออก รบกวนให้เราอาศัยไปด้วยได้หรือเปล่าครับ”
ชายชราคนขับไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่คุณยายผู้เป็นภรรยาเอื้อมมือแตะแขนเขาพลางกล่าวอย่างใจดี
“ขึ้นมาสิจ๊ะ พวกเราจะไปทางตะวันออกพอดี แต่ไปไม่ถึงเมืองที่เธอจะไปหรอกนะ”
ซูอัลค้อมศีรษะให้
“แค่นี้ก็ถือเป็นความกรุณาแล้วครับ”
เขาเปิดประตูหลังก่อนยัดร่างตัวเองลงไปในรถเบนซ์รุ่นโบราณ ผมทำสีหน้าไม่ถูกก้าวขึ้นตามไป นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ ‘โบกรถ’ ข้างถนนเดินทางแบบนี้ ครั้งแรกที่ได้ยินซูอัลเสนอผมไม่กล้าทำ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครจอดและยินดีให้พวกเราอาศัยไป แต่ก็ดันเจอคนใจดีแบบสองสามีภรรยาคู่นี้จริง ๆ
“พวกเธอจะข้ามไปอแลสก้ากันเหรอ”
หญิงชราเอ่ยถามพร้อมคำตอบในตัว ท่าเรือทางตะวันออกของรัสเซียมีเพียงที่วลาดิวอสต็อกและที่มากาดันเท่านั้น ซึ่งจุดหมายปลายทางของทั้งสองท่าเรือก็คือที่อแลสก้า
“ใช่ครับ จริง ๆ เราจะไปอเมริกา แต่ไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินเลยเดินทางแบบประหยัดน่ะครับ” ซูอัลตอบอย่างรู้งาน โดยเนื้อแท้ผมเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนชอบโกหกแบบคาซีหรือเน็กเธอร์ คำตอบจึงเลือกตอบความจริงแต่เพียงส่วนที่ ‘จำเป็นต้องตอบ’ โดยไม่ทำให้รู้สึกผิดบาปในใจ
ชายชราหัวเราะร่า แม้ตอนแรกจะดูเหมือนไม่ค่อยไว้วางใจพวกเรา แต่เมื่อได้ยินการสนทนาจึงคุยอวดเรื่องราวสมัยยังหนุ่ม
“ฉันน่ะนะ เมื่อตอนอายุเท่าพวกเธอก็เดินทางเกือบรอบโลกแล้ว” เขาล้วงหยิบรูปถ่ายในช่องหน้ารถออกมายื่นให้พวกเรา เป็นรูปทหารเรือยืนเรียงกันเป็นแถว “คนขวามือสุดน่ะ ฉันเอง”
ชายชราเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ทั้งการเมาเรือเมื่อออกทะเลครั้งแรก การต่อสู้กับโจรสลัด การล่องเรือผ่านคาบสมุทรต่าง ๆ จนกระทั่งได้พบรักกับภรรยาเพราะการเดินทางไปที่ต่าง ๆ นี่เองทำให้เขาสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว
คุณยายตีแขนสามีเบา ๆ อย่างขวยเขิน ความอบอุ่นที่พวกเราได้สัมผัสทำให้ทั้งผมและซูอัลต่างนึกถึง... บ้าน
รถขับได้สองชั่วโมง ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ทั้งคู่ตั้งใจใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงเพื่อเดินทางไปถึงบ้านซึ่งอยู่ส่วนต้นของวลาดิวอสต็อก จึงแวะร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างทาง
ผมและซูอัลตีสีหน้าลำบากใจ ลำพังแค่ค่ารถเพื่อใช้เดินทางยังไม่มีติดตัว แต่ดูเหมือนสองสามีภรรยาจะรับรู้ถึงความลำบาก ชายชราตบหลังผมก่อนดันให้เดินเข้าร้าน
“ไม่เป็นไร มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
ร้านอาหารรัสเซียนี้ไม่ใหญ่นัก มีโต๊ะอยู่แค่สี่ตัว แสงไฟสีเหลืองนวลขับบรรยากาศให้ลูกค้าเจริญอาหาร ยิ่งเมื่อกลางวันผมแทบไม่ได้แตะไก่ทอดเลย ตอนนี้กระเพาะอาหารจึงบีบคั้นน้ำย่อยออกมาปั่นป่วนให้ท้องร้องโครกคราก
อาหารถูกทยอยยกมาเสิร์ฟ ชายชราหยิบชิ้นปลาสีขาววางลงบนแผ่นขนมปังสีดำก่อนส่งเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ผมลองทำตามบ้างแต่ผลที่เกิดขึ้นคือ.. แทบบ้วนทิ้งไม่ทัน
หญิงชราหัวเราะเบา ๆ เธอมองสีหน้าผะอืดผะอมของผมและหยิบกระดาษชำระให้
“นี่เค้าเรียกว่าปลาเฮอร์ริ่งดอง กลิ่นมันจะเหม็นคาวสักหน่อย คนไม่เคยกินทำหน้าแบบนี้ทุกคนแหล่ะจ้ะ” เธอเลื่อนจานเนื้อเสียบไม้มาตรงหน้าผมแทน “ชัชชลึก (บาร์บีคิวแบบรัสเซีย) นี่น่าจะถูกปากเธอมากกว่า ลองดูสิ”
ผมหยิบขึ้นมาดมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ขณะที่ซูอัลเคี้ยวเสียงดังกร้วม ๆ อย่างอร่อย เนื้อเหนียวเคี้ยวค่อนข้างยาก แต่ก็ยังดีกว่าปลาเฮอร์ริ่งเหม็น ๆ นั่น
การสนทนาบนโต๊ะอาหารออกรสชาติมากกว่าในรถด้วยซ้ำ ดีที่ไม่มีแขกคนอื่นเลยตอนนี้ ชายชราจึงส่งเสียงดังโดยไม่กลัวใครรำคาญ ซูอัลรับฟังพลางพยักหน้าตาม บางจังหวะก็มีสีหน้าตื่นเต้นเอาใจชายชรา ผมเองก็อดยิ้มและหัวเราะไปด้วยไม่ได้
ทั้งคู่สารภาพว่าที่ตัดสินใจจอดรถรับ เพราะพวกเขาเคยมีลูกชายคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรา แต่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เมื่อเห็นซูอัลและผมจึงอดนึกถึงลูกชายไม่ได้ และทั้งคู่ก็ยินดีขับรถไปส่งถึงท่าเรือเพราะรู้สึกถูกชะตากับพวกเรา
หลังจากใช้เวลากว่าชั่วโมงเราก็จัดการอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยง ผมกับซูอัลขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อปลดทุกข์เบา ขณะที่คุณตาคุณยายจ่ายค่าอาหารและบอกจะไปรอที่รถ
“พวกเราโชคดีจริง ๆ เลยเนอะ ที่เจอคนใจดีแบบนี้”
ผมกล่าวกับซูอัลขณะล้างมือหลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ เขายิ้มผ่านกระจกใส ดวงตามีแววโหยหา ผมคาดว่าเขาคงคิดถึงแม่บุญธรรมและเหล่าเด็กกำพร้าที่เวนิส
“แต่น่าสงสารเหมือนกันนะครับคุณเรแพน พวกเขาอยู่กันแค่สองคนเองไว้เราเสร็จเรื่องเมื่อไหร่ค่อยกลับมาเยี่ยมเขากันดีมั้ยครับ”
ผมสบตาเขาและพยักหน้าเห็นด้วย
ทางเดินออกออกนอกร้านเงียบสงบ เจ้าของร้านเริ่มเก็บโต๊ะเพราะใกล้เวลาปิดร้าน ไฟหลายดวงในถนนเปิดขึ้นตรงข้ามกับไฟหน้าบ้านหลายหลังที่ทยอยปิดลง บรรยากาศในเมืองเล็กแห่งนี้เงียบเหงาเพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว
เสียงเครื่องยนต์รถดังเบา ๆ ผมและซูอัลเปิดประตูขึ้นไปนั่งเบาะหลังเช่นเดิม แต่พวกเราเริ่มเอะใจเมื่อคุณตาไม่ออกรถเสียที
“เอ่อ.. คุณตาครับ”
ผมส่งเสียงเรียก แต่ดูเหมือนชายชราจะไม่ได้ยิน จึงเอื้อมมือไปแตะไหล่เขา
“คุณตา...”
สีหน้าตกใจสุดขีดของซูอัลที่มองกระจกมองหลัง ทำให้ผมหันมองตาม และภาพที่เห็นทำให้ผมมีอาการไม่ต่างกัน
ภาพสะท้อนที่ควรจะเป็นใบหน้าของคุณตา กลับเป็นผมขาวโพลนบนศีรษะด้านหลังแทน แม้ลำตัวและแขนที่จับพวกมาลัยจะอยู่ในทิศทางปกติแต่ศีรษะกลับบิดหันมาด้านหลังราวกับฝาขวดน้ำถูกบิด เสียงครางของชายชราไม่อาจหลุดรอดผ่านริมฝีปากที่ถูกกดทับด้วยเบาะที่นั่ง
ซูอัลไม่รอช้า พุ่งตัวออกไปเปิดประตูที่นั่งคนขับ เขาปลดเข็มขัดนิรภัยและอุ้มร่างชายชราลงมานั่งกับพื้น สภาพผิดปกติที่เห็นทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
ผมเองที่ช่วยประคองร่างคุณยายที่มีสภาพไม่ต่างกัน คอถูกบิดหันมาด้านหลังอย่างผิดธรรมชาติ น้ำตาอาบเป็นสายและริมฝีปากพะงาบ ๆ บ่งบอกว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะตำแหน่งที่ผิดเพี้ยนของหลอดลมทำให้คำพูดไม่อาจเปล่งจากริมฝีปากได้
“เกิด.. อะไรขึ้น”
ซูอัลรู้สึกถึงจิตสังหาร แต่ก็ช้าเกินไป เมื่อร่างในชุดดำคลุมหน้าตามิดชิดพุ่งผ่านไปด้วยความรวดเร็ว
ผมวางร่างหญิงชราอย่างเบามือ ก่อนวิ่งไปสมทบกับซูอัล
“ซูอัล... แขน แขนนาย!!”
ท่อนแขนของเขาบิดลู่อย่างผิดธรรมชาติ ฝ่ามือที่ควรจะหันเข้าร่างกายกลับพลิกออกมาด้านนอกเช่นเดียวกับศอกที่ถูกบิดเข้าสู่ลำตัว แขนขวาของซูอัลไม่อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น
เขากุมหัวไหล่ สีหน้าเจ็บปวดแต่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น สายตาจับจ้องรอบด้านตามการเคลื่อนไหวในเงามืดแต่ก็ทำได้ลำบาก เพราะเงาร่างเคลื่อนกายว่องไวบวกกับเครื่องแต่งกายที่ดำกลืนไปกับความมืด การโจมตีที่ผิดแผกจากที่เพิ่งเจอทำให้ผมและซูอัลงุนงง
ในตอนนี้พวกเราไม่รู้เลย ว่าคู่ต่อสู้ที่เจออยู่ตอนนี้เป็นคนละคนกับนักฆ่าที่มอบชีวิตให้รูปภาพได้เมื่อกลางวัน และซูอัลเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
[1]วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ (Walter Elias Disney) ผู้ก่อตั้งบริษัทวอลต์ ดิสนีย์ และสร้างภาพยนตร์การ์ตูนสีคนแรกของโลก