หอคอยสูงเสียดฟ้า เทียมสวรรค์
มนุษย์ชั่วเหิมเกริมกัน ทั่วหน้า
คิดนึกว่าถึงวัน ใหญ่เทียบ เทวา
ท้ายสุดแสงสายฟ้า ฟาดเปรี้ยงพังทลาย
ทาวเวอร์แสนสุดร้าย ระวัง
ได้ไพ่นี้จงฟัง จดไว้
อาจเกิดเหตุถึงพัง พินาศ
ขอหมั่นคำนึงไซร้ อย่าได้เผลอเรอ
บทหอคอยวินาศ (The Tower)
ท่ามกลางหมอกขาวที่ลงหนาจนแทบไม่เห็นสิ่งรอบกาย แต่กระนั้นตัวฉันในอดีตชาติก็ยังสืบเท้าอย่างต่อเนื่องประหนึ่งรู้ว่าควรจะมุ่งไปยังทิศทางใด
...และบัดนี้ เบื้องหน้าของฉันปรากฏสองร่างในระยะที่พอจะมองเห็น...ร่างหนึ่งสวมชุดสีขาวสีขาว ส่วนอีกหนึ่งสวมชุดสีดำ
ฉันเคยพบชายชราลึกลับทั้งสองนี้ในโลกแห่งจินตนาการมาก่อนหน้า และนับตั้งแต่ที่ได้พบ ‘เขาทั้งสอง’ ดูเหมือนบางสิ่งในตัวฉันจะเริ่ม ‘ตื่น’ ขึ้น
ตัวฉันในอดีตชาติรับรู้จากพรสวรรค์...ว่าตัวเองเป็นผู้มีโชคชะตาที่ต้องทำการเลือกหรือหากจะเรียกว่า ‘ตัดสิน’ ก็คงได้...และด้วยความสามารถของญาณหยั่งรู้ ทำให้ตัวฉันในอดีตชาติสามารถรับรู้ได้ว่าในอนาคตอีกไกลแสนไกล ชะตากรรมแห่งการตัดสินจะเวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง...ถึงตอนนั้นตัวฉันจะไม่ใช่ผู้ชายเช่นตอนนี้ แต่จะเป็นเด็กสาวผู้ความจำเสื่อมด้วยฟื้นคืนชีพจากมรณะกาล
ฉันในอนาคตที่ห่างไกล...จะมีชื่อว่า ‘ธเรษตรี’
ฉันหวังลึก ๆ ว่าธเรษตรี...หรือก็คือตัวฉันในอนาคตจะได้ทำหน้าที่อันน่ารังเกียจนี้...เป็นครั้งสุดท้าย!
“จงบอกการตัดสินใจของเจ้า” ชายชราชุดดำเอ่ย ฉันในอดีตรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยกับคำถามนี้ แม้ว่าจะเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้วก็เถอะ
“จงตัดสินเถิด! ตัวเจ้าเองก็รับรู้อยู่แก่ใจ ว่านี่คือชะตากรรมที่จักต้องกระทำ...โชคชะตาที่เวียนบรรจบมาแล้วหลายครั้งหลายครา” ชายชราชุดขาวต่อให้ ใช่ตามที่เขาพูด! ฉันรับรู้ว่าในอดีตชาติมากมายก่อนหน้านี้ โชคชะตากำหนดให้ฉันต้องทำการ ‘ตัดสิน’ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
บางครั้งฉันตอบ Yes…บางครั้งก็ตอบ No
และครานี้โชคชะตาที่หมุนวนประดุจกงล้อชะตากรรมก็เวียนวนมาอีกครั้ง...ยามใดที่จิตใจหมู่มวลมนุษย์เสื่อมทรามลงจนถึงจุดวิกฤติ ยามนั้น ตัวฉันผู้มีเจตจำนงแห่งพื้นพิภพ เจตจำนงแห่งโลกา...จักได้ถือกำเนิดเพื่อการตัดสิน
ฉันอาจตัดสินโดยปล่อยให้มนุษย์ดำเนินไปตามรอยกรรม
...หรืออาจเลือก ‘ชำระ’ สิ่งโสมมให้หมดสิ้น ตัวเลือกสองข้อนี้คือชะตากรรมที่ผูกพันกับสายเลือดแห่งพรสวรรค์อันน่ารังเกียจ
“จงตัดสิน...เวลางวดเข้าใกล้ทุกขณะ หากเจ้าเลือกการชำระบาป เจ้าจะยังคงได้รับสิทธิที่พึงมี” ชายชุดดำพูดเสียงเข้มทว่าในตอนท้ายประโยคน้ำเสียงกลับอ่อนลง
“สิทธิที่นอกจากจะสามารถนำสิ่งมีชีวิตอย่างละคู่ขึ้นเรือไปได้ เจ้าจะยังสามารถนำคนที่เจ้ารักหรือครอบครัวขึ้นเรือใหญ่ไปได้ด้วย”
“และนั่นจะทำให้เจ้ารอดพ้นจากน้ำท่วมโลก...ต่อจากนั้นชีวิตที่เหลืออยู่จักได้ดำเนินเพื่อสืบสานเผ่าพันธุ์” ชายชุดขาวพูดยาวเหยียด
“ผมควรเลือกอย่างไรดี” ตัวฉันยังลังเล แม้คำตอบจะปรากฏชัดแจ้งอยู่ในใจ
“เลือกทางที่เจ้าเห็นควร ด้วยความสามารถได้ยินเสียงในใจ เจ้าได้รับรู้ความมืดที่เก็บซ่อน ทั้งหมดมีไว้เพื่อการนี้มิใช่หรือ” ชายชราชุดขาวบอก
“จงเลือก...เวลาแห่งการตัดสินกำลังงวดเข้าใกล้” ชุดดำเร่งเร้า
“จงเลือก...โนอาห์”
…
…
สายฝนที่กระหน่ำหนักปลุกฉันให้ตื่นจากห้วงคำนึง นี่ฉันเลือกถูกแล้วแน่หรือ?...ผู้คนมากมายต้องล้มตายราวใบไม้ร่วงด้วยผลจากการชำระล้าง
“ช่วยพวกที่อยู่ข้างล่างไม่ได้หรือ?” ฉันถามขณะที่พยายามบังคับหางเสือเพื่อให้เรือแล่นฝ่าเกลียวคลื่นอันบ้าคลั่ง
“ไม่ไหวหรอก เรือนี่เต็มแล้ว!” เสียงตะโกนตอบจากญาติผู้อาวุโส
“และที่พวกนั้นต้องประสบเคราะห์ก็เพราะอยากไม่เชื่อแกเองนี่นา โนอาห์” เป็นจริงตามนั้น! เพราะแม้ฉันจะพยายามเตือนทุกคนในหมู่บ้าน แต่กลับไม่มีใครสนใจ จะมีก็แต่คนที่หัวเราะเยาะ ถึงแม้บางคนจะไม่แสดงออกแต่ฉันก็รับรู้เสียงเยาะเย้ยที่ซ่อนไว้ในใจ
บางคนทำเป็นพูดดีต่อฉัน...แต่ในใจกลับตรงข้าม!
ราวกับประจักษ์แจ้งในความจริง นับตั้งแต่ความสามารถตื่นขึ้น ฉันจึงรับรู้ว่าผู้คนโดยมากล้วนใส่หน้ากากเพื่อบดบังความมืดที่เร้นอยู่ในใจ มันเป็นหน้ากากที่ยิ้มแย้ม หน้ากากมารยาทผู้ดี หน้ากากจอมปลอม
หากหัวใจที่แท้จริง...สวยงามดังเช่นหน้ากากเหล่านั้นก็คงดี
แต่นี่ไม่ใช่!? หัวใจผู้คนล้วนแล้วแต่สกปรกจนต้องนำหน้ากากเหล่านี้ขึ้นมาใส่เพื่อปกปิด ด้วยเหตุนี้ฉันถึงเลือกหนทางแห่งการชำระล้าง
แต่...แต่...ภาพที่อยู่ตรงหน้า ที่นี่! ในตอนนี้!?
มันคือใบหน้าที่ทุกข์ทน! ผู้คนที่พยายามแหวกว่ายฝ่าเกลียวคลื่นหนีตายเพื่อมาสู่เรือใหญ่ ทว่ากลับไม่มีใครมาถึง ทุกชีวิตล้วนถูกดูดจมดิ่งลงสู่ห้วงนที
สิ่งที่ฉันเลือกมันถูกต้องแล้วจริงหรือ?
ฉันขอโทษ
ฉันขอโทษ
ฉันขอโทษ
…
…
…
“สวัสดีหนูน้อย ที่นี่เป็นร้านทำนายโชคชะตาหรือ?” เสียงเรียกปลุกธเรษตรีให้ตื่นจากห้วงภวังค์ นักทำนายสาวกำลังนั่งใจลอย นึกถึงความฝันที่ได้เห็น...และเมื่อนักพยากรณ์หันไปมอง เธอจึงพบชายวัยกลางคนผู้ซึ่งมีลักษณะผอมเกร็ง ลักษะผิวกายเป็นสีดำ ๆ ด้าน ๆ คล้ายคนสุขภาพไม่ดี
ที่ยืนอยู่ทางด้านข้างของชายผอมเกร็งนั้นเป็นชาวต่างชาติชายหญิง 3 – 4 คน และนอกเหนือจากกลุ่มคนดังกล่าว ยังมีเด็กชายชาวเอเชียอายุราวสิบขวบนั่งอยู่บนรถเข็น โดยด้านหลังเด็กน้อยมีแหม่มฝรั่งยืนประคองอยู่ ธเรษตรีไม่แน่ใจว่าแหม่มคนนั้นเป็นพยาบาลหรือไม่
นักพยากรณ์แห่งไพ่ทาโรต์รู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นเด็กชายบนรถเข็น นอกจากหน้าตาจะคลับคล้ายคลับคลาคุ้น ๆ ท่าทางของเด็กน้อยยังเซื่องซึมเหม่อลอยราวไร้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลเป็นยาวตรงหน้าผากยิ่งทำให้ธเรษตรีรู้สึกสนใจมากขึ้นไปอีก
ด้วยความสงสัยใคร่รู้อันเป็นสัญชาตญาณเดิมของมนุษย์ทำให้เด็กสาวเพ่งกระแสจิตไปยังร่างของเด็กน้อยเพื่ออ่านจิตใจ เวลานี้ธเรษตรีสามารถใช้อภิญญาได้อย่างไม่ยาก นับตั้งแต่ที่ร่างตัวเองในชุดสีดำเข้าหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับร่างของเธอ...จิตที่ผสาน ความทรงจำและความสามารถอันแสนอัศจรรย์ ทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อการตัดสินชะตากรรมปริศนาที่กระชั้นเข้าใกล้
‘ฉันก็คือเธอ...เป็นความมืดของเธอ อีกทั้งยังเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของพรสวรรค์ที่เธอมีด้วย’ ธเรษตรียังจำคำพูดของตัวเธออีกคนได้ และตอนนี้เธอก็กำลังใช้พรสวรรค์นั้นเพื่ออ่านจิตใจของเด็กชายในรถเข็น
ธเรษตรีพยายามเพ่งกระแสสมาธิไปยังเด็กน้อยผู้นั้น
ไม่มี!...เด็กคนนั้นไม่มีจิตใจ!?
“เป็นไปไม่ได้” นักทำนายพึมพำ ตั้งแต่ได้ความสามารถรับรู้เสียงแห่งจิตมา ไม่เคยมีครั้งใดที่จะเจอบุคคลเช่นนี้
คนที่ไม่มีจิตใจ...จะเป็นไปได้อย่างไร?
“แล้วตกลงเราจะดูกันยังไงล่ะ” คำถามของชายผู้มาเยือนทำให้นักพยากรณ์ต้องดึงสมาธิกลับมาที่ลูกค้า
“วิธีดูไพ่ทาโรต์เหรอคะ” ธเรษตรีเริ่มอธิบาย เด็กสาวสังเกตเห็นว่านอกจากเด็กน้อยในรถเข็นแล้ว ก็มีแต่เพียงลูกค้าท่าทางอมโรคเท่านั้นที่เป็นชาวเอเชีย ส่วนคนที่เหลือเป็นชาวต่างชาติในฝั่งยุโรปไม่ก็อเมริกา
“คุณลูกค้าต้องเล่าสิ่งที่กำลังวิตกหรือสงสัยอยากรู้ หลังจากเล่าจบแล้วให้ใช้มือซ้ายหยิบไพ่หนึ่งใบจากสำรับที่หนูกำลังจะสลับให้” นักทำนายอธิบายตามขั้นตอน
“เออ…วิธีทายแปลกดี จริง ๆ แล้วชีวิตของลุงก็สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง…จะขาดก็แต่อยากรู้อนาคตเท่านั้น” ชายผิวดำราวขี้โรคพูดกับเธอ
“ลุงอยากรู้อนาคต…ของตัวลุงเองใช่ไหมคะ?” เด็กสาวถาม ในมือเตรียมที่จะเริ่มสลับไพ่
“ใช่แล้วหนู แต่ก็ไม่เชิงเป็นของลุงคนเดียวหรอก ต้องเรียกว่าอนาคตของทั้งลุงและของเจ้าหนูคนนี้ด้วย” พูดพร้อมบุ้ยหน้าไปทางเด็กชายในล้อเข็น
“แต่หนูดูไพ่ได้ทีละคนเท่านั้นนะคะ” นักทำนายรีบแจ้งข้อจำกัดของการพยากรณ์
ชายสูงวัยหัวเราะก่อนที่จะบอกว่า
“เด็กนั่นกับลุงก็คนเดียวกันนั่นแหละ”
ธเรษตรีไม่เข้าใจความหมาย นั่นเพราะเด็กวัยละอ่อนกับชายสูงอายุอมโรคคนนี้จะเป็นคนเดียวกันไปได้อย่างไร ที่สำคัญลุงคนนี้ก็พูดจาได้อย่างคนปกติ แตกต่างกับเด็กชายในล้อเข็นที่ดูไร้ซึ่งจิตวิญญาณ…นักทำนายไพล่คิดไปถึงรอยแผลเป็นบริเวณหน้าผาก บางทีเด็กคนนั้นอาจได้รับอุบัติเหตุจนสูญเสียความทรงจำก็เป็นได้
แต่ก็ไม่น่าทำให้ถึงกับไร้ซึ่งจิตใจ…ไร้วิญญาณ จนแม้กระทั่งเธอยังไม่อาจรับรู้ความรู้สึกได้จากความสามารถพิเศษ
เช่นนั้นคีย์เวิร์ดสำคัญน่าจะอยู่ที่ความหมายของคำพูดเมื่อครู่ แต่จะเป็นไปได้หรือที่คนต่างวัยต่างวรรณะจะเป็นคน ๆ เดียวกันได้? กระทั่งฝาแฝดก็ยังมีความคิดที่แตกต่างกันไม่มากก็น้อย
เมื่อคิดถึงฝาแฝด ธเรษตรีก็ฉุกคิดได้ในใจ เพราะถ้าหากลุงคนนี้สามารถหนุ่มขึ้นจนกลับกลายเป็นเด็ก รวมถึงหากสลัดคราบของโรคประจำตัวที่ทำให้ผิวหนังและรัศมีกายเศร้าหมองออกไปแล้วล่ะก็...
ชายสูงวัยผู้นี้อาจจะมีรูปร่างหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกับเด็กชายในรถเข็น
บางทีอาจจะไม่เพียงแค่ ‘คล้าย’ เท่านั้น
แต่อาจถึงขั้นที่เรียกว่า ‘เหมือน’ เลยก็เป็นได้!
“แล้วลุงจะให้หนูทำนายอนาคตเกี่ยวกับอะไรล่ะคะ” ธเรษตรีถาม
อีกครั้งที่ชายสูงวัยหัวเราะ ธเรษตรีไม่ชอบสุ้มสำเนียงการหัวเราะของลูกค้าคนนี้เอาเสียเลย
“เอาเป็นว่า ทำนายอนาคตเรื่องที่ลุงและเพื่อน ๆ กำลังจะทำในอีกไม่นานนี้ก็แล้วกัน” เป็นคำตอบพร้อมกับหันหน้าไปมองเพื่อนฝรั่งข้างหลัง
นักพยากรณ์สลับไพ่ช้า ๆ สติเต็มเปี่ยมด้วยสมาธิที่ตั้งมั่น และวินาทีที่ตัดสลับไพ่นั้น จิตใจบางส่วนของผู้รับการทำนายพลันหลั่งไหลเข้ามาให้เธอรับรู้
ความมั่นใจอย่างยิ่ง? บางทีอาจมากจนเกินไป มากเสียจนแปรเปลี่ยน...
เป็นความเหิมเกริม!?
ธเรษตรีรับรู้ทันทีว่าชายสูงวัยตรงหน้ามีอะไรบางอย่างที่เหิมเกริมเสียจนอาจเรียกได้ว่ากำลังท้าทายต่อพระผู้เป็นเจ้า!?
นักทำนายสลับไพ่เสร็จจึงคว่ำหน้าทั้งหมดลงบนโต๊ะเหมือนเช่นทุกครั้ง
“เชิญค่ะ หนึ่งใบด้วยมือซ้าย”
ชายสูงวัยยื่นมืออันผอมเกร็ง ริมฝีปากยิ้มพรายอย่างมั่นใจ และนั่นทำให้เขาดึงไพ่ออกมาใบหนึ่งอย่างปราศจากความลังเล
เบื้องหน้าของผู้รับการทำนายปรากฏหน้าไพ่เป็นรูปหอคอย มันเป็นหอที่สูงขึ้นไปยังท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยเมฆดำ ในภาพปรากฏประกายสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงจากเมฆทมิฬลงสู่ยอดหอคอยนั้น ยังผลให้ส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้างแตกทลาย
The Tower หรือหอคอยวินาศ…คือชื่อของไพ่ใบนี้!
“แปลว่าอย่างไรหรือแม่หนู” เป็นคำถามจากผู้รับบริการ
“นี่คือไพ่หอคอยวินาศ…ไพ่ที่เลวร้ายที่สุดในสำรับ” คือประโยคแรกของการทำนาย และก็เป็นประโยคแรกที่ทำให้คนฟังหน้าเสีย
“มัน...มันแปลว่าอะไรรึ?”
“ไพ่นี้หมายถึงคนโฉดชั่วที่กำเริบเสิบสาน เหิมเกริมท้าทายพระผู้เป็นเจ้า ดังในรูปที่แสดงถึงมนุษย์ผู้สร้างหอคอยที่มิอาจแม้สูงเทียมเมฆ แต่กลับหลงผิดคิดไปเองว่าสามารถเอื้อมเข้าใกล้สวรรค์”
“เช่นนั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าจึงลงโทษผู้คิดท้าทายพระองค์ด้วยสายฟ้าฟาดอันเป็นบัญชาประกาศิต” นั่นคือความหมายของไพ่
“สิ่งที่คุณลุงกำลังจะทำ...หยุดเถิดค่ะ มันอันตราย! บทลงโทษฐานล่วงเกินเขตแดนที่ไม่ควรข้ามนั้นมันหนักหนามาก” แม้ไม่แน่ใจ แต่ธเรษตรีก็พยายามเตือนในสิ่งที่เธอรู้สึก เด็กสาวพูดพร้อมชำเลืองไปยังเด็กชายที่นั่งเหม่ออยู่ในรถเข็นคนพิการ
“หนูจะไปรู้อะไร” เป็นคำกล่าวสุดท้ายของผู้รับการทำนาย เขาโยนเงินลงบนโต๊ะก่อนที่จะเดินจากไปอย่างไม่สนใจใยดี
...
...
“คำทำนายเมื่อกี้เป็นยังไงครับ ไม่ดีงั้นหรือ?” คำถามจากฝรั่งตาน้ำข้าวที่อายุไม่ห่างไปจากชายสูงวัย
“หมอดูก็คู่หมอเดานั่นแหละ” คนถูกถามตอบกลับ แม้เขาจะมีวัยที่ใกล้เคียงกับฝรั่งผู้นั้น แต่ด้วยโรคประจำตัวที่ต้องรับการฟอกเลือดด้วยไตเทียมสัปดาห์ละสองหนทำให้ร่างกายของเขาดูแก่และทรุดโทรมกว่าอายุที่แท้จริง
“อย่าคิดมากเลยค่ะ มิสเตอร์คมสัน” แหม่มฝรั่งท่าทางคล้ายพยาบาลที่เดินทางด้านหลังกล่าวเสริม คมสันผู้ป่วยด้วยโรคไตเรื้อรังหันไปยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะมองไปยังร่างของเด็กชายที่นั่งอยู่ในล้อเข็น
“แต่อย่างไรก็ไม่มีใครสามารถหยุดโครงการของผม และที่ผมได้รับความสำเร็จนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกคุณด้วย” คมสันพูดจากใจจริง
“โน โน…พวกเราเองก็ต้องขอบคุณมิสเตอร์คมสันเช่นกัน หากไม่มีเงินทุนของคุณแล้ว งานวิจัยของพวกเราคงไม่สามารถดำเนินต่อไปได้” หนึ่งในทีมฝรั่งที่เดินอยู่ด้วยกันรีบออกตัว
“เอาเป็นว่าได้ประโยชน์ร่วมกันก็แล้วกัน” คมสันซึ่งแท้จริงแล้วเป็นแหล่งเงินทุนของโครงการวิจัยกล่าวในทำนองถ้อยทีถ้อยอาศัย
“ยังไงอีกไม่นานมิสเตอร์ก็จะได้รับสิ่งที่ตนเองต้องการเสียที” เป็นประโยคของแหม่มพยาบาลพร้อมกับทุกสายตาที่จ้องมองไปยังเด็กในล้อเข็นแทบจะพร้อมเพรียงกัน
ทว่าเด็กน้อยหารับรู้ไม่…มีเพียงสายตาที่เหม่อลอยไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“นั่นสินะ ผมลำบากมามากทีเดียว คราวนี้จะได้บอกลาการฟอกเลือดนี่เสียที” คมสันพูดเรียบ ๆ ในขณะที่หัวสมองกำลังนึกย้อนไปยังคืนวันเก่าเมื่อครั้งอดีต
…
…
…
“คมสัน! คมสันเอ๊ย! หยิบยาให้พ่อหน่อย” เสียงเรียกจากผู้พ่อทำให้เด็กน้อยรีบวางมือจากการบ้านที่กำลังทำค้างอยู่
“มีอะไรครับ พ่อ” คมสันในวัยละอ่อนรีบวิ่งไปหาบุพการีด้วยความเป็นห่วง บิดาของเขาป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังมานาน โดยการเจ็บป่วยประเภทนี้หากเป็นถึงระยะสุดท้าย ก็จำเป็นต้องได้รับการฟอกเลือดด้วยไตเทียม
และบิดาของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยระยะสุดท้ายนั้น!
มันเป็นความทุกข์อย่างยิ่งที่ต้องทนเห็นบิดาเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังที่ไม่มีวันหาย แม้จะได้รับการฟอกเลือด แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น
ไตที่วายหาได้คืนกลับไม่!
ทว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ความหวังของเด็กน้อย…ไม่สิ! ของทั้งครอบครัวกลับเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อแพทย์ประจำของบิดาแจ้งให้ทราบว่าสามารถหาไตที่เหมาะสมได้แล้ว...พ่อของเด็กชายจะเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไต!
แม้จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมหาโหด ทั้งค่าผ่าตัด ค่าห้อง ค่ายา อีกทั้งคมสันยังแอบได้ยินว่าไตที่หามาได้นั้นมีแหล่งที่มาจาก ‘ตลาดมืด’ และนั่นทำให้ค่าใช้จ่ายยิ่งแพงมากขึ้นอีกหลายเท่า
แต่ประกายแห่งความหวังที่เรืองรองอยู่ต่อหน้า จำให้ครอบครัวของคมสันต้องตัดใจสู้ราคาที่มีจำนวนตัวเลขศูนย์ต่อท้ายมากมายชนิดที่เด็กน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน
คมสันได้แต่ภาวนาให้บิดาผ่านพ้นการผ่าตัดไปได้ด้วยดี
ฤๅพระเจ้าจะฟังคำขอ ปรากฏว่านายแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดได้แจ้งว่านี่เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่ง่ายและไม่มีปัญหามากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก่อน เมื่อได้ฟังเช่นนั้น คมสันและครอบครัวถึงกับหลั่งน้ำตาให้กับความสำเร็จ
วันเวลาผ่านไป บิดาของเด็กชายมีอาการดีขึ้นตามลำดับ แม้จะต้องกินยาครั้งละมาก ๆ เพื่อกดภูมิคุ้มกันก็ตาม
“ทำไมยาพ่อเยอะจัง” คมสันเคยถาม
“มันเป็นยากดภูมิต้านทานของร่างกายน่ะลูก” เป็นคำตอบที่สร้างคำถามข้อใหม่
“แล้วทำไมต้องกดภูมิฯด้วยล่ะพ่อ”
“ก็ไตที่เปลี่ยนใหม่น่ะ มันเป็นไตของคนอื่น ร่างกายเรานึกว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมก็เลยสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อทำลายมัน ถ้าไม่กินยากดไว้ ไตที่เปลี่ยนก็จะเสียไปน่ะ”
“พูดง่าย ๆ ก็คืออวัยวะของคนอื่น ร่างกายเราจะไม่ยอมรับ เว้นแต่ใช้ไตของตัวเองเปลี่ยนถึงจะไม่ต้องกินยา…แต่ตัวเองเปลี่ยนไตให้ตัวเองมันเป็นไปไม่ได้นี่นะ ก็เลยต้องใช้ไตของคนอื่นอย่างที่ลูกเห็นนี่ไง” บิดาพยายามอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ แต่ด้วยความที่คมสันเป็นเด็กก็เลยยิ่งฟังก็ยิ่งงง เขาจึงได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ไปตามเรื่อง
หลังจากบทสนทนาของพ่อลูกในวันนั้น เวลาก็ผันผ่านไปอย่างรวดเร็วจวบจนราวหนึ่งปีให้หลังนับจากวันที่บิดาของคมสันเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไต
บัดนี้คมสันพบว่าตัวเองกำลังยืนร่ำไห้อยู่หน้าเมรุเผาศพ ภาพในกรอบที่เขาถือคือรูปของบิดา
บิดาของเด็กน้อยเสียชีวิต!?
การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะสำเร็จลงอย่างดี ไตที่ได้รับมาใหม่ก็ทำงานอย่างไม่มีข้อผิดพลาด ส่วนภูมิคุ้มกันที่จะออกฤทธิ์ต่อต้านอวัยวะก็ไม่ปรากฏ นั่นเพราะบิดาของเขาไม่เคยขาดการกินยากดภูมิต้านทาน
ทว่าปัญหามันอยู่ที่ยากดภูมิคุ้มกันนั่นแหละ!
พ่อของคมสันป่วยหนักด้วยติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสโลหิต ซึ่งทั้งที่จริงแล้วในคนปกตินั้นการเจ็บป่วยคงไม่รุนแรงมากมายเท่านี้ นั่นเพราะคนทั่วไปมีภูมิต้านทานที่ใช้ต่อสู้กับเชื้อโรค
แต่พ่อของคมสัน…ไม่มี!
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้หัวหน้าครอบครัวต้องจบชีวิตลง ทิ้งหนี้สินก้อนโตจากการผ่าตัดเปลี่ยนไตเอาไว้ให้คนข้างหลังจัดการต่อ
จากวันที่สูญเสียบิดาไปอย่างไม่มีวันกลับ คมสันตั้งใจมุมานะเรียนหนังสือโดยหวังว่าวันหนึ่งจะปลดหนี้ให้แก่ครอบครัวได้ เด็กน้อยที่เติบใหญ่สามารถสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยหลังจากนั้น ชายหนุ่มได้เลือกเอกทางด้านวิศวะคอมพิวเตอร์
หลังจากที่จบปริญญาโทและปริญญาเอกจากสหรัฐอเมริกา คมสันสามารถพัฒนาซอฟแวร์ระบบปฏิบัติการพื้นฐานของคอมพิวเตอร์สำเร็จและนั่นยังผลให้เงินตราและชื่อเสียงหลั่งไหลเข้าหาคมสัน ชายหนุ่มสามารถปลดภาระหนี้และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ครอบครัวได้สำเร็จ
ทว่าคมสันยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขาสามารถสร้างโปรแกรมแอนตี้ไวรัสและไฟร์วอลล์ที่สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดของชีวิตคมสันเลยก็ว่าได้
ทว่า ขณะที่ชะตาชีวิตกำลังรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด คำกล่าวที่ว่า ‘จากหน้ามือเป็นหลังมือ’ นั้นคงจะมีจริง
โชคชะตาพลิกกลับทันควันเมื่อแพทย์ประจำตัวบอกผลการตรวจสุขภาพให้แก่คมสัน
“คุณคมสันครับ คุณเป็นโรคไตเรื้อรัง” เป็นคำบอกหลังจากที่นายแพทย์พยายามพูดปูทางเพื่อไม่ให้คนไข้ตื่นตระหนกตกใจ
“แล้วมีทางรักษาไหมครับ” เจ้าของสุดยอดซอฟแวร์ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วจากประสบการณ์ตรง
“ก็คงต้องฟอกเลือดด้วยไตเทียมไปก่อน ระหว่างนั้นผมจะหาไตที่มีลักษณะใกล้เคียงกับของคุณคมสันมาให้ครับ” แม้ไม่พูดตรง ๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าหมอหมายถึงการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ
“หมอครับ ถ้าเปลี่ยนไต ผมก็ต้องกินยากดภูมิฯใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มถาม เขารู้สึกว่าอดีตที่ไม่อยากคิดถึงกำลังหวนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
“แน่นอนครับ ยังไงก็ไม่ใช่ไตของเราเอง” เป็นคำตอบสุดท้ายจากแพทย์ประจำตัว
คืนนั้นคมสันฝันถึงประโยคที่พ่อเคยพูดไว้เมื่อครั้งเปลี่ยนไตเสร็จใหม่ ๆ
‘พูดง่าย ๆ ก็คืออวัยวะของคนอื่น ร่างกายเราจะไม่ยอมรับ เว้นแต่ใช้ไตของตัวเองเปลี่ยนถึงจะไม่ต้องกินยา…แต่ตัวเองเปลี่ยนไตให้ตัวเองมันเป็นไปไม่ได้นี่นะ ก็เลยต้องใช้ไตของคนอื่นอย่างที่ลูกเห็นนี่ไง’
ถ้าอย่างนั้นเขาจะทำอย่างไรดี?…ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเอาไตตัวเองที่วายไปแล้วมาเปลี่ยนให้ตัวเอง ชายหนุ่มหัวเราะเศร้า ๆ กับความคิดที่ไม่มีทางเป็นไปได้
แต่แล้วความหวังกลับเรืองรองขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาได้พบกับ ‘ดอลลี่’ บนหน้าหนังสือพิมพ์
ดอลลี่เป็นเพียงแกะตัวหนึ่ง แต่สาเหตุที่ได้ขึ้นหน้าปกหนังสือพิมพ์นั่นก็เพราะดอลลี่ไม่ได้เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่
แต่เกิดมาจากการโคลนนิ่ง (Cloning)
ข่าวการโคลนนิ่งนั้นมีออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีเสียงคัดค้านด้านจริยธรรมว่าไม่ควรที่จะมีการโคลนมนุษย์…ถึงแม้จะไม่มีข่าวเกี่ยวกับการจำลองแบบมนุษย์ก็ตาม แต่กระนั้นคมสันก็เชื่อว่าน่าจะมีคนแอบทดลองอยู่แน่ ๆ หรืออย่างน้อยก็น่าจะมีคนที่อยากทำการทดลอง เพียงแต่เขาเหล่านั้นอาจจะขาดแหล่งเงินทุน
และเงินทุนนั้น…คมสันมี!
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้เกิดทีมงานโคลนมนุษย์ขึ้นอย่างลับ ๆ โดยมีคมสันเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน
ซึ่งแน่นอน! ไม่ใช่ฟรี!?
หากแต่ชายหนุ่มต้องการที่จะใช้เซลล์ของตัวเองเป็นต้นแบบของการทดลอง และเมื่อร่างทดลองเติบโตขึ้น…อย่างน้อย ๆ ก็ตอนอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่น
เพียงแค่นี้เขาก็จะมีอวัยวะใหม่ไว้สำรอง!
ไม่เพียงไตเท่านั้น…หากการทดลองประสบผลสำเร็จ คมสันก็จะมีอวัยวะมากมายเพื่อการสำรองชีวิต อีกทั้งยังสามารถโคลนตัวเองขึ้นมาใหม่กี่ครั้งกี่หนก็ย่อมได้
“แล้วเด็กที่โคลนขึ้นมาล่ะครับ เขาจะไม่เจ็บปวดหรือรู้สึกไม่ดีหรือครับที่ต้องโดนผ่าตัด? อย่าลืมนะครับว่าเราจะใช้ไตตอนที่เขาโตเป็นวัยรุ่นแล้ว”
นั่นเป็นคำถามของทีมงานโคลนนิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหนักใจ เพราะถึงจะเป็น ‘ร่างสำรอง’ แต่เขาก็ไม่อยากเห็นตัวเองต้องมาเจ็บปวด
แต่ความกังวลของคมสันก็หมดไปเมื่อเขาได้ปรึกษาทีมงานผู้หนึ่งที่มีความรู้ด้านประสาทศัลยศาสตร์
“ง่ายมากมิสเตอร์คมสัน เราเพียงแค่ผ่าตัดสมองส่วน Frontal Lobe และ Limbic system ออก เพียงแค่นี้เขาก็จะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ส่วนเรื่องความเจ็บปวดทางกายนั้นแค่เราใช้มอร์ฟีนเยอะ ๆ ก็พอ”
“ตัดสมอง? แล้วไม่ตายหรือครับ?” ชายหนุ่มเอกวิศวะคอมฯถามงง ๆ เขาไม่แน่ใจว่าการผ่าตัดสมองออกจะไม่ทำให้เสียชีวิต
“โน ๆ ไม่ตายหรอกมิสเตอร์ เพราะสมองส่วนที่เป็นแกนของชีวิตน่ะ อยู่ตรงก้านสมองแถว ๆ ท้ายทอยโน่น ไม่มีปัญหา โนพรอบเบลม” ศัลยแพทย์สมองผู้เป็นหนึ่งในทีมวิจัยลับอธิบาย
เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้น การวิจัยโคลนนิ่งมนุษย์จึงได้เริ่มขึ้นโดยหนึ่งในยูนิตแรกนั้นมีเซลล์ต้นแบบมาจากผู้ให้ทุนวิจัย
เพียงเท่านี้คมสันก็เพียงรอเท่านั้น เขายอมอดทนฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ยอมอดทนที่จะดูแลรักษาสุขภาพให้ดีที่สุด
ทั้งหมดก็เพื่อรอวันนี้!
...
...
...
คมสันเสร็จสิ้นจากการเลี้ยงฉลองความสำเร็จให้แก่ทีมงานโคลนนิ่งที่อุตส่าห์พา ‘ร่างโคลน’ ที่ไร้จิตใจมาให้เขายลโฉมถึงเมืองไทย แม้ว่าจะผ่านด่าน ต.ม. มาได้ไม่ง่ายนัก แต่ด้วยใบรับรองแพทย์ปลอมที่อ้างว่าเป็นผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุทางสมองซึ่งต้องรับการบำบัดในประเทศบ้านเกิดก็เป็นใบเบิกทางที่ดี
“มิสเตอร์ไม่ดื่มเหล้าเลยนะ” หนึ่งในทีมงานถาม
“ก็ต้องดูแลตัวเองหน่อย ผมเป็นโรคไตวายนี่ แต่อีกไม่นานก็จะได้ดื่มได้กินเต็มที่เสียที” คมสันพูดพลางหัวเราะ เขาเหลือบตาไปมองร่างในล้อเข็นที่ได้แต่เหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“พวกคุณกลับไปก่อนก็แล้วกัน” เจ้าของทุนวิจัยหมายถึงให้ทีมงานกลับโรงแรมหรูด้วยรถลิมูซีนที่เขาเตรียมไว้
“แล้วมิสเตอร์ล่ะ?”
“ผมจะขับรถกินลมเล่นหน่อยน่ะ เดี๋ยวจะขอพาคมสัน B นั่งไปด้วยน่ะ” ชายผู้เป็นโรคไตบอกถึงความประสงค์
“ฮ้า! จะดีเรอะมิสเตอร์” คราวนี้ทุกคนแทบจะสร่างเมา
“ไม่เป็นไร ๆ ไม่มีใครสงสัยหรอก ถึงมีคนสังเกตก็คงคิดว่าเป็นพ่อลูกกันน่ะ” เจ้าของโครงการท้าทายพระผู้เป็นเจ้าโบกไม้โบกมือเพื่อไม่ให้ทุกคนวิตกกังวลจนเกินไป
“แต่ว่า…”
“เอาน่า คิดเสียว่าผมพาร่างโคลนไปนั่งรถเล่นล่ะกัน เพราะอีกไม่นานร่างโคลนก็จะต้องโดนผ่าเอาไตมาให้ผมแล้วนี่นะ ทำดีกับเขาหน่อย” ตอนท้ายคมสันกล่าวติดตลก ทว่ามันเป็นตลกที่ร้ายเหลือทน แผนการที่วางไว้ก็คือเปลี่ยนไตก่อนหนึ่งข้าง หลังจากนั้นพอร่างโคลนเติบโตราว ๆ สักสิบหกสิบเจ็ดปี
ค่อยผ่าเอามาอีกข้าง!
ถามว่าคมสันไม่กลัวว่าร่างเทียมของตนเองจะตายหรือ
ชายหนุ่มคงตอบไปว่า…กลัวทำไม ก็มันไม่มีสมองให้รับรู้แล้วนี่!
และคืนนี้เขาจะนั่งรถเล่นกับตัวเองเพื่อฉลองความสำเร็จที่กำลังจะมาถึง แน่นอนถึงทีมวิจัยจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะขัด
ด้วยเหตุนี้ร่างจริงจึงทำหน้าที่ขับรถ ขณะที่ร่างโคลนได้แต่นั่งเหม่อที่เบาะด้านข้าง
...
...
รถเมล์กำลังแล่นฉิวบนทางด่วน สภาพการจราจรบางเบาลงไปมากเนื่องเพราะเป็นยามค่ำคืน ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยสามารถใช้ความเร็วได้เต็มที่
ธเรษตรีซึ่งกำลังกลับจากร้านทำนายนั่งหลับนกอยู่ตรงที่นั่งริมหน้าต่างของรถเมล์ปรับอากาศที่ห้อตะบึงบนทางด่วน
ท่ามกลางนิทรารมณ์ที่เข้าใกล้ นักทำนายแห่งไพ่ทาโรต์เหลือบเห็นรถคันหนึ่งที่แล่นด้วยความเร็วในเลนข้าง ๆ
เด็กสาวรับรู้ด้วยสายตา…ทั้งที่ความจริงแล้วยากที่จะเห็นรายละเอียด
...แต่ไม่น่าเชื่อที่ธเรษตรีสามารถมองเห็นบุคคลที่นั่งอยู่ในรถคันดังกล่าว รถคันนั้นมีคนนั่งอยู่สองคน และก็เป็นสองคนที่เธอพึ่งเจอเมื่อตอนเย็น
คนที่กำลังขับคือชายสูงวัยท่าทางอมโรคคนนั้น…คนที่รับการทำนายไพ่ทาโรต์...เขาเลือกได้ไพ่หอคอยวินาศ (The Tower)!
ส่วนที่นั่งทางด้านข้างคือเด็กชายท่าทางเหม่อลอย...เด็กน้อยในรถเข็นผู้มีแผลเป็นบริเวณหน้าผาก
พริบตานั้น ด้วยอำนาจหยั่งรู้เหนือธรรมชาติ ธเรษตรีเกิดความเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดแทบจะในทันที เด็กสาวขนลุกซู่เมื่อรับรู้สิ่งที่ชายคนนั้นคิดจะทำ
“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำเช่นไร” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบาะหลัง
เด็กสาวนักพยากรณ์หันกลับไปดู เธอต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเบาะหลังที่เมื่อครู่ว่างเปล่า
บัดนี้มีคนนั่งอยู่ถึงสอง!…ชายชราชุดขาวดำคู่นั้น!?
“จงทำซะ! จงพิพากษามัน! นี่เป็นการทดสอบก่อนการตัดสินชะตากรรมที่ใกล้จะมาถึง” ชายชุดดำกล่าวเสียงกร้าว ดวงตาลุกวาวด้วยประกายประหลาด
ธเรษตรีหันกลับไปมองผู้โดยสารคนอื่น เหมือนไม่มีใครรู้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ไม่มีใครเห็นชายชุดขาวดำที่จู่ ๆ ปรากฏตัวบนรถเมล์
“ทำยังไง? ไม่เข้าใจ?” เด็กสาวระล่ำระลักด้วยความประหวั่น
คราวนี้ชายชราทั้งสองมองหน้ากัน ชุดขาวส่ายศีรษะช้า ๆ
“ทำเหมือนที่เจ้าเคยทำ”
พริบตา ธเรษตรีรู้สึกปวดศีรษะอย่างแรง ฉับพลันนั้นเธอรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เธอ ‘รับรู้’ เมื่อครู่กำลังก่อตัวรวมกลายเป็น ‘อนุภาค’ ในสมอง
มันคืออนุภาคที่ก่อกำเนิดจากการรับรู้...เด็กสาวรู้ว่าชายชื่อคมสันกำลังจะทำอะไร รวมถึงเหตุการณ์ในอดีตของคมสัน บัดนี้อนุภาคของความนึกคิดที่ก่อตัวในสมองธเรษตรี บัดนี้อนุภาคนั้นได้พุ่งออกไปเป็นเส้นตรงโดยมีจุดหมายอยู่ที่รถคันที่แล่นตีคู่อยู่เลนข้าง ๆ
ธเรษตรีรับรู้ได้ในทันที…นี่คือการสอดแทรกความคิด เหมือนในครั้งที่เคยช่วยเด็กสาวมัธยมที่เกือบถูกพาไปทำแท้ง...และบัดนี้ก้อนความคิดพุ่งตรงเข้าสู่รถข้าง ๆ ตรงสู่สมองอันพิการของเด็กชายผู้เป็นร่างโคลน
คมสันเร่งความเร็ว นั่นเพราะถนนบนทางด่วนมีรถเหลือน้อยเต็มที ที่สำคัญการได้ขับรถเร็ว ๆ ในช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ มันช่างสุดแสนจะสบายใจ
ชายหนุ่มถือพวงมาลัยมั่นขณะที่สายตาเหลือบไปทางร่างโคลนของตัวเองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าร่างเทียมยังคงนั่งนิ่ง ก็หันกลับมามีสมาธิกับถนนอีกครั้ง
เจ้าของกิจการซอฟแวร์และเจ้าของโครงการโคลนนิ่งมนุษย์ฮัมเพลงด้วยความสบายใจ เขาหันกลับไปมองร่างโคลนอีกครั้ง
คราวนี้คมสันสะดุ้งวาบ
ร่างเทียมวัยสิบขวบกำลังจ้องเขาอยู่!?
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มร้องออกมาพร้อม ๆ กับที่ร่างโคลนกระโจนเข้าใส่ มือของมันจับแน่นเข้าที่พวงมาลัยรถ
“คม...สัน...” เป็นเสียงแรกจากร่างเทียม
“แก…แกจะทำอะไร?” คมสันถามเสียงสั่น เขาสังเกตเห็นดวงตาร่างโคลนที่ประชิดต่อใบหน้า บัดนี้ไม่ได้ไร้แววเหมือนในตอนแรก…หากแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าและเคียดแค้น!
“ให้...ฉัน...เกิด...มา...ทำไม...” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ใบหน้าของมันยื่นเข้าใกล้คมสันมากขึ้นในขณะที่มือเล็ก ๆ ยังกำพวงมาลัยรถไว้แน่น
“ปล่อย! ปล่อยนะ!” คมสันร้องลั่น ช่วงถนนบริเวณนี้ยังเป็นเส้นตรงพอที่จะแล่นไปข้างหน้าได้ ทว่าอีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงทางโค้ง!
“ให้...ฉัน...เกิด...มา...ทำไม...” คำถามเดิมอีกครั้งแต่คราวนี้น้ำเสียงดังมากขึ้น
คมสันไม่ตอบแต่พยายามตั้งสมาธิไว้ที่ถนนทางด่วนข้างหน้า ชายหนุ่มย่ำเท้าที่เบรก ส่วนมือก็เกร็งจับพวงมาลัยไว้ไม่ให้เสียศูนย์ โชคดีที่ร่างเทียมยังเป็นแค่เด็ก เรี่ยวแรงจึงไม่มากพอที่จะต่อต้าน
“ให้ฉันเกิดมาทำไม!” เป็นคำถามจากร่างเทียมอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงกระชากเกือบเป็นตะโกน
ยิ่งกว่านั้นแรงยื้อยุดพวงมาลัยก็ดูจะเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย คมสันตัดสินใจที่จะหยุดรถและแอบซ้ายเพื่อจอดชิดข้างทาง
“ตาย...! ” เป็นคำที่น่าพรั่นพรึงจากปากร่างสังเคราะห์ มือข้างหนึ่งของมันเลื่อนจากพวงมาลัยไปที่เบรกมือ
ความเร็วของรถในตอนนี้ยังมากเกินกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง!
“อย่า…อย่า!” คมสันร้องห้ามเมื่อรับรู้สิ่งที่ร่างโคลนกำลังจะทำ
ช้าเกินกว่าจะแก้ เบรคมือถูกดึงขึ้นอย่างแรง
“เฮ้ย! ระวัง! อ๊ากกกกกก !” ชายหนุ่มร้องออกมาได้เพียงแค่นั้น รถหมุนคว้างทันทีด้วยการล็อกของล้อก่อนที่จะเหวี่ยงเข้าปะทะกับขอบทางด่วน จากนั้นจึงพลิกขึ้นในแนวดิ่งข้ามขอบถนน
...และร่วงหล่นลงยังพื้นด้านล่าง!
โครม! บรึมมมมม!
“เฮ้ย! อุบัติเหตุ!” เสียงคนในรถเมล์ร้องด้วยความตกใจ หลายคนกรีดลั่นเมื่อเห็นอุบัติเหตุสยองต่อหน้าต่อตา เสียงเซ็งแซ่ปลุกธเรษตรีตื่นจากห้วงความรู้สึกแปลกประหลาด สิ่งแรกที่เด็กสาวทำก็คือหันไปดูร่างชายชราลึกลับทั้งสองที่ตรงเบาะหลัง
ไม่มี!? และที่สำคัญดูเหมือนไม่มีใครรู้สึกถึงการมาเยือนของอาคันตุกะลึกลับ
“ว่าแล้ว...ขับรถส่าย ๆ” คนขับรถเมล์บอกกับพนักงานเก็บเงิน เขาค่อย ๆ แอบรถชิดขอบทางเหมือนกับรถคันอื่นที่จอดเพื่อลงไปชะโงกดูด้านล่าง
ทั้งนี้ทุกคนรวมทั้งธเรษตรีรู้แก่ใจว่าท่ามกลางรถที่ลุกไหม้ด้วยแรงระเบิดด้านล่างของทางด่วนนี้
ยากที่จะมีชีวิตใดรอดออกไปได้!
ธเรษตรีหนาวเยือกทั่วทั้งสรรพางค์กาย การตัดสินพิพากษาของเธอส่งผลรุนแรงร้ายกาจถึงขนาดนี้เชียวหรือ
แล้วถ้าหากในอนาคตอันใกล้...หากชะตากรรมแห่งการตัดสินเวียนมาบรรจบจริง ๆ แล้วล่ะก็ ตัวเธอจะมีกำลังใจพอที่จะตัดสินตัวเลือกที่ยากลำบากหรือไม่?
และเด็กสาวก็สำนึกด้วยญาณวิเศษในใจ
วันพิพากษากำลังกระชั้นเข้าใกล้ทุกขณะ!